หัวหน้าคนรับใช้คงจะตกใจที่เจ้าชายเสด็จมา จึงตะโกนเสียงดังชนิดที่คนรอบข้างได้ยินกันหมด
ไอซิสตกใจจนไม่สามารถตอบอะไรกลับไปได้ ออสการ์เองก็ไม่ต่างกัน
เพราะทั้งคู่คุยเรื่องการหมั้นกันเพียงแค่ผิวเผินเท่านั้น แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองไม่ได้ดีนัก
“เจ้าชายก็ต้องมาฉลองวันเกิดของดัชเชสแน่นอนอยู่แล้วค่ะ!”
มิเอลผู้ซึ่งไม่รู้ความจริงนั้นขึ้นเสียงสูง ในตอนนั้นเองไอซิสถึงได้รู้สึกตัว แล้วสั่งคนรับใช้ให้พาเขาไปข้างในโดยเร็ว
ทว่าหัวหน้าคนรับใช้ที่ได้รับคำสั่งไม่จำเป็นต้องทำตามคำสั่งนั้น เพราะเจ้าชายทราบแล้วว่าเธออยู่ไหน จึงก้าวเข้าไปหาโดยตรงอย่างไม่รอช้า
ไม่ว่าเหล่าคนชั้นสูงจะมีอิทธิพลอำนาจมากมายขนาดไหน แต่ราชวงศ์ก็คือราชวงศ์
เมื่อเจ้าชายผู้ที่จะขึ้นเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไปปรากฏตัว ทุกคนในงาน เริ่มจากไอซิส ต่อด้วยแขกทั้งหลายต่างก้มหัวโค้งคำนับอย่างสุภาพ
“ถ… ถวายบังคมค่ะ เจ้าชาย”
“ไม่เจอกันนานเลยนะ ดัชเชสไอซิส สุขสันต์วันเกิด”
“ขอบพระคุณค่ะ”
เขาฝากทิ้งไว้แค่เพียงคำทักทายอย่างตรงไปตรงมา แล้วเบนสายตาไปทางอื่น
ที่ที่สายตาเขาเบี่ยงไปคือมิเอลที่กำลังก้มโค้งลงไปจนมองไม่เห็นใบหน้าของเธอ เธอตัวสั่นระริกกับเจ้าชายที่เธอเพิ่งเคยเจอครั้งแรก
เจ้าชายเผยยิ้มราวกับรู้สึกว่าเธอดูน่าสงสาร
“เธอคือเลดี้มิเอล โรสเซนต์สินะ …แปลกจริง เหมือนเธอจะตัวเล็กลงนิดหนึ่งนะ”
ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงสนใจมิเอลแทนที่จะเป็นออสการ์ จริงอยู่ว่าตระกูลเธอร่ำรวยมาก แต่เธอก็ยังเป็นแค่บุตรสาวท่านเคานต์เท่านั้น
อย่าบอกนะว่าเพราะข่าวลือที่ว่าเธอสวยน่ะ หรือว่าเพราะเธอดูโดดเด่นและสง่างามทั้งที่ยังอายุน้อยเหรอ หรือถ้าไม่อย่างนั้น เขาจงใจจะทำให้ดัชเชสโมโหเหรอ คงไม่มีทางที่พวกเขาจะเคยเจอกันมาก่อนหรอกใช่ไหม?
ผู้คนที่มารวมตัวกันในสวนต่างก็จินตนาการกันไปต่างๆ นานา
ไอซิสเองก็เช่นกัน เธอกัดริมฝีปากพลางคิดสงสัยว่ามีอะไรเกิดขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งสอง
“ฉันได้ยินเรื่องของเธอมามาก แล้วก็คิดว่าเธอเองก็น่าจะอยากรู้เรื่องของฉัน”
มิเอลไม่เข้าใจว่าเจ้าชายต้องการจะสื่ออะไร ใจและตัวของเธอแข็งทื่อ เพราะเจอเจ้าชายครั้งแรก อีกทั้งยังเป็นเพราะเจ้าชายชวนเธอคุยต่อ แทนที่จะเป็นดัชเชส
“เพราะอย่างนั้น ฉันคิดว่าตอนนี้เราควรจะสนทนาแบบมองหน้ากันได้แล้ว เธอล่ะคิดว่าอย่างไร”
มิเอลส่ายหัวตอบเบาๆ
เธอไม่อยากเข้าไปข้องเกี่ยวกับเจ้าชาย มีออสการ์เพียงคนเดียวก็เกินพอแล้ว ถ้าเธอเข้าไปข้องเกี่ยวกับเขาผู้เป็นคู่ของดัชเชสล่ะก็… เธอจะต้องเสียออสการ์ไปอย่างแน่นอน
ทว่าเจ้าชายก็สั่งให้เธอเงยศีรษะขึ้นราวกับไม่ได้สนใจที่เธอพูด
คำสั่งของราชวงศ์นั้น ไม่สามารถปฏิเสธได้ ไม่ใช่แค่เธอเท่านั้น แต่เขาสั่งให้ทุกคนเงยหน้าขึ้น จึงต้องเงยหน้าขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน…!
เมื่อเธอค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ก็เห็นเจ้าชายที่มีสีหน้าแข็งกร้าวขึ้นเรื่อยๆ
ต้องมีอะไรบางอย่างผิดพลาดแน่ๆ
* * *
เรนออกจากคฤหาสน์และตรงดิ่งกลับราชวัง
วันนี้การจะก้าวเท้าไปยังห้องของเจ้าชายนั้นหนักเป็นพิเศษ เขาคิดว่าปกติเธอก็แปลกอยู่แล้ว แต่วันนี้เธอดูแปลกมากจริงๆ บุตรสาวของตระกูลโรสเซนต์เป็นหญิงที่ฉลาดจริงๆ เหรอ
เธอทำให้เขาผิดหวังทุกครั้ง แต่ตอนมื้อเย็นเมื่อวานยิ่งทำให้รู้สึกมากขึ้นไปอีก
เพราะถึงแม้เธอจะดูค่อนข้างรอบรู้เมื่อเทียบกับอายุ แต่ก็ไม่มากพอทีจะช่วยธุรกิจของท่านเคานต์ได้
‘กลับกลายเป็นว่า…’
กลับกลายเป็นว่าอาเรียที่ได้ยินมาว่าพื้นเพเป็นชนชั้นสามัญชนนั้นฉลาดกว่าเป็นกอง
ไม่ใช่ว่าเธอดูฉลาดเมื่อเทียบกับมิเอล แต่เธอน่าจะเป็นคนฉลาดจริงๆ แม้จะดูเหมือนว่าเธอไม่ค่อยอยากจะเปิดเผยความจริงนั้นออกมาเท่าไรนัก
อาเรียที่บางครั้งก็เสนอความเห็นที่ยอดเยี่ยมจนน่าตกใจ กลับมามีท่าทีสงบเสงี่ยมอีกครั้ง เหมือนไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรแบบนั้นออกไปตอนไหน ราวกับว่าเธอจงใจให้เขามองเธอเป็นเช่นนั้น
ทว่าเรนก็เข้าใจพฤติกรรมของเธอได้ในทันที เพราะพฤติกรรมชนแล้วหนีนั้นช่างไม่เป็นธรรมชาติ และเธอก็ดูเหมือนจะถูกอารมณ์พัดพาไปอย่างไรก็ไม่รู้ เธอคงจะควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ยากเพราะยังเด็กอยู่
‘อีกทั้งวันนี้ก็ยังมีปฏิกิริยาท่าทางแปลกๆ …’
พอยกเรื่องธุรกิจขนสัตว์ขึ้นมาพูด มิเอลก็มีสีหน้างุนงง ซึ่งเป็นสีหน้าของคนที่ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องนั้น
สีหน้าแข็งกร้าวของท่านเคานต์ สีหน้าลำบากใจของเคาน์ติส และสุดท้ายมีอาเรียเพียงคนเดียวที่นิ่งเฉยไม่สะทกสะท้าน
‘อย่าบอกนะว่า…’
คงเป็นไปไม่ได้หรอก พอลองมาคิดและเปรียบเทียบข้อมูลต่างๆ จนถึงตอนนี้ดูดีๆ ก็ได้ข้อสรุปออกมาว่าบุตรสาวที่ช่วยท่านเคานต์อย่างมากมายนั้นไม่ใช่มิเอล แต่คงจะเป็นอาเรียมากกว่า
จะเป็นอย่างนั้นไม่ได้สิ
เรนกุมขมับแล้วกรีดร้องในใจ หมายความว่าที่ผ่านมานั้นเดาผิดกันหมด แล้วเสียแรงลำบากไปฟรีๆ เหรอ
ถ้าเจ้าชายรู้ความจริงเรื่องนี้ล่ะก็… เขาอาจจะให้บทเรียนแก่พวกคนที่เรียกหญิงคนนั้นว่ามิเอลอย่างสาสมเลยก็เป็นไปได้
เช่นสั่งให้นับจำนวนดอกไม้ที่ผลิบานในเมืองทันทีว่าทั้งหมดได้กี่ดอก ให้เสร็จภายในวันพรุ่งนี้บ้างล่ะ หรือไม่ก็ให้นับจำนวนประชากรที่อยู่ในเมืองหลวงว่าปัจจุบันมีกี่คนบ้างล่ะ
และถ้าเอาผลที่ปลอมขึ้นมาเองไปให้ ก็จะโดนถามอยู่กว่าห้าชั่วโมงว่าทำไม อย่างไร อะไรเป็นเหตุทำให้ได้ผลลัพธ์นี้
เขามักจะรีดพวกสมุนของเขาด้วยวิธีนี้เป็นประจำ โดนเฆี่ยนตียังจะดีเสียกว่าเลย
‘…ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้สินะ คงมีแต่จะต้องถอยออกมาเท่านั้น แม้จะแค่ฉันคนเดียวก็เถอะ’
เขาไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนอกจากจะต้องรีบรายงานความจริงเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด แล้วรีบหลีกหนีความลำบากยุ่งยากออกไป แม้จะเพียงลำพังก็ตาม เขาคิดพลางปาดเหงื่อเย็นๆ ที่บริเวณหน้าผากและสันจมูก
ไม่เป็นไร มันจะไม่เป็นไร เดิมที เขาเพียงแค่เริ่มงานหลังจากได้รับคำสั่งจากเจ้าชายให้ไปตีสนิทท่านเคานต์กับมิเอล ลูกสาวของเขาเท่านั้น เขาตีสนิทท่านเคานต์ได้ตามคำสั่ง และยังได้รับน้ำใจไมตรีจากมิเอลอีก
ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือเขาได้ข้อมูลที่ว่าบางทีหญิงสาวที่เจ้าชายตามหาอยู่อาจจะเป็นอาเรีย ไม่ใช่มิเอล
กลับกัน เจ้าชายอาจจะชื่นชมเขาที่แก้ไขสิ่งที่คนอื่นพากันเดาอย่างผิดๆ ให้เป็นถูกก็ได้
ก๊อก ก๊อก
“ท่านอัสเทอโรพีครับ เรนเองครับ”
หลังจากเขาเคาะประตูอย่างความมั่นใจด้วยเหตุผลบางอย่าง ก็ได้ยินเสียงเรียกให้เข้าไปจากด้านใน
เรนเข้าไปข้างในอย่างมั่นใจ เพื่อรายงานข้อสรุปที่มีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง อัสเทอโรพีที่นั่งอ่านหนังสือบนโซฟาอยู่ขมวดคิ้วมองไปที่เรนที่กำลังเดินเข้ามา
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ”
“…ครับ”
“หน้าแบบที่ทำให้ฉันรู้สึกแย่น่ะ”
ฉันควรทำอย่างไรกับหน้าของตัวเองดี หรือว่าเป็นเพราะฉันตื่นเต้นเกินไปที่ค้นพบทางหนีเอาตัวรอดออกไปคนเดียวอย่างนั้นเหรอ เรนรายงานอัสเทอโรพี พลางจับโหนกแก้มของตนที่ยกตัวขึ้นมาสูง
“คุณหญิงมิเอลวันนี้ก็ดูไม่มีอะไรผิดปกติครับ ในความคิดกระหม่อมนั้น… คุณหญิงมิเอลดูเหมือนจะไม่ใช่คนที่เจ้าชายควรจับตามองครับ”
“ทำไมล่ะ?”
“กระหม่อมลองพูดคุยเชิงลึกดูอยู่สองสามครั้ง แต่คำตอบของเธอทุกครั้งจะเป็นอะไรที่ธรรมดาและเรียบง่ายมากเลยครับ”
“เธอเป็นหญิงที่รู้ทางหนีทีไล่ดีอย่างกับแมว บังอาจทำให้ฉันตกที่นั่งลำบากถึงสองครั้ง เรียกได้ว่าฉลาดเจ้าเล่ห์มากทีเดียว”
เขายิ้มเล็กๆ แต่ดูพึงพอใจ ราวกับกำลังคิดถึงหญิงสาวที่เข้ามาสร้างปัญหาให้เขา แล้วหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
“ดังนั้นก็เกลี้ยกล่อมเธอให้ดีล่ะ”
เขากล่าวหลังจากวางหนังสือลงบนโต๊ะทันทีด้วยความหงุดหงิดกังวลใจ
เรนสะดุ้งครั้งหนึ่ง เพราะตกใจกับน้ำเสียงนั้น รู้ทางหนีทีไล่ดีอย่างกับแมวอะไรกัน มิเอลคนนั้นน่ะเหรอ
มิเอลคนที่เรนเจอมานั้นใกล้เคียงกับหมีมากกว่าแมว หมีทึ่มที่ไม่มีอาวุธอะไรนอกจากรูปร่างใหญ่กับภูมิหลังที่ได้ติดตัวมาตั้งแต่เกิด เธอเรียนรู้นู่นนี่และพูดออกมาได้ดี แต่ข้างในกลวงไม่มีอะไรเลย แถมไหวพริบก็ไม่มีอีก
ตรงกันข้าม อาเรียต่างหากที่เหมือนแมวจริงๆ ทั้งสายตาที่มองจ้องราวกับเฝ้าสังเกตการณ์ด้วยหางตาที่ชี้ขึ้นนิดๆ เองก็เหมือน ทั้งการที่จู่ๆ เธอก็โผล่แทรกเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว และหายตัวไปในพริบตาเองก็ด้วย
เรนจึงคิดว่าหญิงสาวที่เจ้าชายพูดถึงจริงๆ นั้นไม่ใช่มิเอล แต่เป็นอาเรียต่างหาก
เป็นไปได้ว่าเจ้าชายอาจจะเข้าใจผิด หรือไม่ก็เข้าใจชื่อของพวกเธอสลับกัน
เรนกลืนน้ำลายดังอึก
“ท่านอัสเทอโรพี ขออภัยเป็นอย่างสูงครับ แต่จากที่กระหม่อมได้ไปเยือนคฤหาสน์ตระกูลโรสเซนต์อยู่หลายครั้งนั้น ส่วนตัวกระหม่อมคิดว่า… หญิงคนนั้นที่ฝ่าบาทกล่าวถึง ไม่ใช่คุณหญิงมิเอลครับ”
เรนรีบพูดต่อ เพราะเกรงว่าอัสเทอโรพีจะเริ่มหงุดหงิดอีกครั้ง
“กลับกัน กระหม่อมคิดว่าคุณหญิงอาเรียบุตรสาวคนโตน่าจะเป็นหญิงที่ฝ่าบาทกำลังหาอยู่มากกว่าครับ”
“อาเรีย”
“ใช่แล้วครับ เธอมาจากครอบครัวสามัญชน และเข้ามาเป็นบุตรสาวคนโตของตระกูลโรสเซนต์จากการที่ท่านเคานต์แต่งงานใหม่เมื่อ 2 ปีก่อนครับ”
“อ๋อ หญิงที่เขาลือกันคนนั้นนี่เอง”
ข่าวลือของอาเรียแพร่กระจายออกไปอย่างลึกและกว้างขวางขนาดที่อัสเทอโรพีสามารถนึกข่าวลือของเธอออกได้อย่างรวดเร็ว
กระทั่งข่าวลือที่ท่านเคานต์เสียสติไปแต่งงานกับแม่ม่ายโสเภณี จะว่าเป็นข้อมูลที่เจอตอนสืบเรื่องมิเอลก็ได้
“…เขาลือกันว่าเธอโดนวิญญาณร้ายเข้าสิง แต่อย่างที่ฉันได้บอกไปแล้วว่าหญิงที่ฉันตามหาอยู่คือหญิงงามที่พบได้ยากในราชอาณาจักร”
“กระหม่อมก็ได้ยินมาเช่นนั้น แต่ข่าวลือก็เป็นเพียงแค่ข่าวลือนะครับ”
กลับกัน รูปลักษณ์ของเธอก็เหมือนหญิงที่ฝ่าบาทอธิบายมามากกว่าเสียอีก พอเรนพูดเสริมดังนั้น อัสเทอโรพีก็ตกเข้าไปในห้วงความคิด
“ฝ่าบาท… ได้ถามชื่อของหญิงที่กำลังตามหาอยู่ตรงๆ กับเจ้าตัวหรือเปล่าครับ”
“…เปล่า ไม่ใช่อย่างนั้น ฉันแค่เห็นเธอขึ้นรถม้าของตระกูลโรสเซนต์ไปเท่านั้น”
“ถ้าอย่างนั้น กระหม่อมเกรงว่าหญิงที่ฝ่าบาทตามอยู่คงจะเป็นคุณหญิงอาเรียไม่ผิดแน่ครับ”
“แต่ฉันได้ยินว่าเธอมาจากสามัญชน”
ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเธอไม่น่าจะช่วยชี้แนะอะไรเกี่ยวกับธุรกิจของท่านเคานต์ได้ และตามเก็บข้อมูลก็ไม่น่าจะทันไม่ใช่เหรอ
ตอนแรกเรนก็คิดอย่างนั้น แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว เขารู้สึกอย่างนั้นเป็นพิเศษตอนไปร่วมมื้อเย็นวันนี้
‘เหมือนกับว่าท่านเคานต์จงใจยกคุณงามความดีของหญิงอาเรียเปลี่ยนให้เป็นของมิเอล เพื่อภาพลักษณ์ภายนอก’
และอาเรียก็มีท่าทีสงบเสงี่ยมราวกับเธอรู้เรื่องนั้นอยู่แล้ว
‘จะว่าไป… ตอนที่ท่านเคานต์พูดถึงธุรกิจขนสัตว์ เขาพูดแค่ว่า ‘ลูกสาว’ ไม่ได้พูดชื่อแบบเจาะจงนี่!’
อีกทั้งท่านเคานต์ชอบคุยโวโอ้อวดมิเอล เขาก็เลยคิดเองเออเองไปว่าน่าจะเป็นคนเดียวกัน แต่ไม่เคยได้ยินทั้งเคานต์พูดชื่ออย่างเจาะจงสักครั้ง
แน่นอนอยู่ที่เขาจะคิดว่าคนนั้นจะต้องมิเอลแน่ๆ เพราะอัสเทอโรพีกำลังตามหามิเอลอยู่
“คุณหญิงอาเรียที่กระหม่อมเจอนั้น สง่างามและเฉลียวฉลาดราวกับเกิดในตระกูลชนชั้นสูง ต่างจากข่าวลือที่ได้ยินมาอย่างสิ้นเชิงเลยครับ”
อัสเทอโรพีกลัดกลุ้มใจ เมื่อเรนเอาแต่ยืนยันเรื่องนั้นซ้ำไปซ้ำมา เพราะเรนคงไม่มีทางจะพูดเพ้อเจ้อไร้สาระแน่ๆ เว้นแต่อยู่ๆ เขาจะเสียสติไปแล้ว
“อย่างไรก็ดี กระหม่อมว่าฝ่าบาทควรจะพบเธอเองโดยตรงครับ”
“…นั่นสินะ ถ้านายพูดถึงขนาดนั้นแล้ว ก็คงต้องไปดูให้แน่ใจซะแล้วล่ะ จริงไหม”
ไม่มีใครยืนยันได้ด้วยการถามชื่อเธอโดยตรง มีแค่เจ้าชายและซอร์คอัศวินของเขาเท่านั้นที่เห็นหน้า
และด้วยความที่ทั้งสองไม่ได้ตรวจสอบหน้าตากับชื่อให้แน่ชัด มั่นใจเพียงแค่ว่าเป็นหญิงจากตระกูลโรสเซนต์ จึงคิดไปว่าหญิงคนนั้นคือมิเอล
“ถ้าอย่างนั้น งานเลี้ยงวันเกิดดัชเชสครั้งนี้เป็นอย่างไรครับ?”
“วันเกิดดัชเชสหรือ”
“ใช่แล้วครับ คุณหญิงมิเอลมีความสัมพันธ์กับบุตรชายคนโตของเฟรดเดอริก ดังนั้นเธอจะต้องมาร่วมงานแน่ครับ อาจจะลำบากสักหน่อย แต่กระหม่อมคิดว่าคงจะดีถ้าพระองค์โผล่ไปแค่ให้เห็นหน้าเพียงชั่วครู่ แล้วตรวจสอบดูครับ”
การเผชิญหน้ากับดัชเชสนั้นเป็นเรื่องที่น่าตะขิดตะขวงใจมากก็จริง แต่วันนั้นก็คงเป็นโอกาสเดียวที่เขาจะได้ยืนยันตัวตนของเธอ เพราะเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่เขาจะไปเยี่ยมตระกูลท่านเคานต์
อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้เขาปฏิบัติตามคำเรียกร้องของพรรคชนชั้นสูงอย่างสุภาพอ่อนน้อม ซึ่งต่างจากตอนแรก ฉะนั้นถึงเขาไปเยือนก็คงไม่ก่อให้เกิดความสงสัยอะไร
กลับกัน อาจจะดูเหมือนเป็นการยอมจำนน ทำให้พวกพรรคชนชั้นสูงตายใจก็เป็นไปได้
“โอเค ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามนั้นแล้วกัน”
……………………………………….