พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย – ตอนที่ 48

* * *

ไม่มีเรื่องราวเกี่ยวกับเรนอยู่ในจดหมายตอบกลับจากออสการ์ เธอไม่รู้ว่าเขาจงใจเลี่ยงหรือไม่สนใจกันแน่ แต่เธอไม่สามารถกล่าวถึงเรนเป็นครั้งที่สองได้ ดังนั้นเรื่องราวของเรนจึงหายออกจากจดหมายที่เธอคุยกับเขาไปเองโดยปริยาย ทั้งที่เธออุตส่าห์หวังให้เขาใส่ใจแท้ๆ

เธอใช้เวลาในช่วงฤดูหนาวหมดไปกับการปรึกษาปัญหารักของซาร่า คาบเรียนของเหล่าไวเคาน์ติสทั้งหลาย และการเรียนรู้ศาสตร์แขนงต่างๆ ด้วยตัวเอง ตั้งแต่ที่ธุรกิจขนสัตว์เฟื่องฟูขึ้นจนไม่มีเวลาให้ไปใส่ใจธุรกิจอย่างอื่น ท่านเคานต์ก็ทำงานอยู่แต่ในเมืองหลวง

ด้วยเหตุนี้เธอจึงไม่ได้เจอหน้าท่านบ่อยนัก แม้แต่ในเวลามื้อเย็นก็ตาม แต่หากมีโอกาสได้ร่วมทานอาหารกันในบางครั้ง ท่านก็มักจะแอบถามเผื่อเธอจะมีข้อมูลอื่นใดอีก

“อีกไม่นานก็จะเข้าฤดูใบไม้ผลิแล้ว บรรดาชนชั้นสูงคงเปลี่ยนขนสัตว์กันมากขึ้นสินะ”

“จริงด้วยค่ะ อยากให้ถึงฤดูใบไม้ผลิเร็วๆ จังเลยนะคะ”

แม้คำตอบของมิเอลจะไร้ซึ่งปฏิภาณไหวพริบใดๆ แต่ท่านเคานต์ก็ยังยิ้มตอบกลับไปโดยไม่ได้แสดงความไม่พอใจออกมา

ไม่ว่าจะพูดหรือทำอะไรก็ยังดูน่ารักเพราะเป็นลูกสาวของตัวเองสินะ ใบหน้าของอาเรียผู้ไม่เคยได้รับความรักอย่างไร้ข้อกังขาแม้แต่จากแม่ของตนเองนั้นมีแต่ความสงสัย

“ท่านกำลังคิดถึงอนาคตของธุรกิจขนสัตว์อยู่หรือครับ”

เรนที่ไม่ได้ร่วมทานมื้อเย็นด้วยกันมานานเอ่ยถามขึ้น เขาเอ่ยถามท่านเคานต์ก็จริง แต่สายตาของเขากลับเอาแต่มองมิเอลและอาเรียสลับกันไปมา ดูเหมือนเขากำลังคาดหวังว่าพวกเธอจะตอบอย่างไร

“ใช่น่ะสิ เพราะตอนนี้กิจการขนสัตว์อยู่ตัวแล้วยังไงล่ะ ความนิยมในเมืองหลวงก็ผ่านไปแล้ว ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่จะต้องขยายกิจการออกไปโดยรอบและหันไปสนใจธุรกิจอื่นๆ บ้างแล้ว”

ตอนนี้ด้วยทรัพย์สินที่มีก็ถือว่าเป็นที่สุดในจักรวรรดิอย่างไม่มีที่ติแล้ว แต่เหตุใดยังต้องขยายกิจการเช่นนั้นอีก

หรือเพราะต้องการกวาดสินค้าทั้งหมดของจักรวรรดิมารวมไว้ด้วยกัน เขาได้แต่ส่ายหน้าเมื่อเห็นท่าทีที่ไม่ยอมลดราวาศอกของท่านเคานต์

“แล้วเลดี้มิเอลคิดว่ายังไงหรือครับ”

เรนที่ยังทดสอบหล่อนไม่เลิกไม่แล้วเอ่ยถามขึ้นมา ช่างน่าแปลกใจจริงๆ ที่จนป่านนี้แล้วเขาก็ยังไม่ยอมแพ้ แม้จะได้ยินคำตอบที่น่าผิดหวังมาหลายรอบแล้วก็ตาม

จริงอยู่ที่เขาไม่แสดงความสนใจมากเท่ากับตอนแรก แต่มิเอลก็ยังเป็นคนแรกที่เขาถามเสมอ ราวกับว่าเขายังมีความคาดหวังอยู่แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม

“นั่นสินะคะ ถ้าเข้าฤดูใบไม้ผลิ พวกเสื้อนอกหนาๆ ก็จะไม่จำเป็นแล้ว ถ้าอย่างนั้นลองหาวัสดุบางๆ ดูไหมคะ”

“วัสดุบางๆ… อย่างนั้นหรือครับ”

“ใช่ค่ะ อย่างเช่น ผ้าไหมที่สามารถขับสีออกมาได้ดี หรือว่าผ้ากำมะหยี่ที่เนื้อสัมผัสนุ่มให้ความรู้สึกดีก็น่าจะดีเหมือนกันนะคะ”

ใบหน้าที่เริ่มแข็งทื่อของเรนมองผ่านไปหาซุปอ่อนนุ่มซึ่งเป็นเครื่องเคียงแทน แม้ซุปจะมีบร็อคโคลี่ที่เขาไม่ชอบอยู่ด้วย แต่ไม่รู้ทำไมมันถึงได้หวานแบบนี้ นี่หล่อนยังคิดว่าสิ่งที่หล่อนพูดออกมาเมื่อครู่นี้เป็นความคิดที่ดีอยู่อีกหรือ

“เป็นความคิดที่ดีนี่ คนที่ชอบผ้าไหมกับกำมะหยี่ก็มีอยู่เยอะแยะ และยังถูกนำมาใช้เป็นวัสดุทำเดรสก็หลายครั้ง”

“โดยส่วนตัวแล้วลูกคิดว่าผ้าไหมน่าจะดีเพราะเนื้อผ้าเบาบางค่ะ ทั้งยังสามารถกันแดดในหน้าร้อนได้ด้วยนะคะ”

“เป็นความคิดที่ดีมากทีเดียว”

มันเหมาะสมแล้วหรือที่หล่อนแนะนำผ้าที่ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายมาใช้ในการวางแผนธุรกิจใหม่ เธอพยายามกลั้นหัวเราะแล้วก้มหน้าก้มตาทานอาหารต่อไป แต่จู่ๆ ก็รู้สึกถึงสายตาที่จับจ้องมา

เมื่อเงยหน้าขึ้นมา จึงได้เห็นว่าทั้งเรนและท่านเคานต์กำลังมองมาทางเธอ

“เลดี้อยากพูดอะไรหรือไม่…”

“อาเรีย พ่ออยากรู้ว่าลูกคิดเห็นอย่างไร”

อ้อ วัสดุสำหรับธุรกิจใหม่คงไม่เพียงพอสินะ ไม่รู้สิคะท่านพ่อ ท่านพ่อหวังให้ลูกที่โดนมิเอลแย่งความดีความชอบเรื่องธุรกิจขนสัตว์ไปคนนี้ตอบว่าอย่างไรดีหรือคะ

ยิ่งไปกว่านั้นคือเธอไม่อยากได้ความสนใจจากเรนมากไปกว่านี้อีกแล้ว เพราะเธอพอใจแล้วที่แยกเขาออกมาจากมิเอลได้ เธอคิดว่าหากได้รับความสนใจมากจนเกินไป มันจะกลายเป็นอุปสรรคขัดขวางสิ่งที่เธอจะทำในวันข้างหน้า

“ลูกก็คิดเช่นเดียวกับมิเอลค่ะ กำมะหยี่กับผ้าไหมก็น่าจะดีนะคะ เพราะชุดเดรสที่ทำมาจากกำมะหยี่ก็งดงามมากทีเดียวเชียวค่ะ”

แววตาของบุรุษทั้งสองมีแต่ความผิดหวัง ทั้งที่เธอก็มีความเห็นเช่นเดียวกับมิเอล แต่เหตุใดฝั่งหนึ่งจึงได้รับคำชื่นชม แต่อีกฝั่งกลับต้องเผชิญกับแววตาผิดหวังกันนะ

ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีทางอื่นอีกแล้ว นอกจากต้องสนองตอบความคาดหวังของพวกเขา

“อ้อ! จะว่าไป…”

เมื่อเธอปริปากพูดราวกับเพิ่งนึกอะไรบางอย่างได้ สายตาของท่านเคานต์กับเรน และแม้แต่เคาน์ติสกับมิเอลก็จับจ้องมาที่อาเรียเป็นตาเดียว

อาเรียยิ้มอ่อนโยนจนตาเป็นสระอิ

“ลูกเองก็อยากได้เดรสกำมะหยี่อยู่เหมือนกันนะคะ ลูกว่ามันเหมาะกับช่วงเปลี่ยนฤดูกาลพอดิบพอดีเลยล่ะค่ะ”

“เหมาะจริงๆ ด้วยค่ะพี่”

“ใช่ไหมล่ะ”

มิเอลยิ้มกว้างให้กับคำเสนอโง่ๆ ของนางมารร้าย เป็นไง พอใจหรือยังล่ะ แล้วก็คงผิดหวังกันน่าดูเลยสินะคะ สุภาพบุรุษทั้งสอง

ท่านเคานต์ไม่ได้พูดอะไรกับอาเรียอีก นั่นเพราะเขายังเป็นท่านพ่อที่แสนใจดีสำหรับคนเปิดประเด็นเรื่องไร้สาระอย่างมิเอลน่ะสิ

หลังจากเสร็จสิ้นมื้ออาหารอันเงียบเชียบสำหรับมิเอลแล้ว เธอก็กลับขึ้นห้องเพื่อดื่มชาก่อนนอน ขณะที่เธอกำลังดื่มชาสมุนไพรหอมกรุ่นไปพลางอ่านหนังสือไปพลางอยู่นั้น แอนนี่ที่คอยยืนรับใช้อยู่ข้างๆ ก็บิดนิ้วตัวเองไปมาท่าทีกระวนกระวาย

“มีอะไร เธออยากจะพูดอะไรหรือเปล่า”

“เอ่อ คือว่าดิฉัน…”

เจ้าหล่อนที่ตอนนี้เริ่มคุ้นชินกับใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางแล้ว ทำเหมือนผิวขาวนวลที่ปกปิดรอยกระอยู่นั้นเป็นของหล่อนมาตั้งแต่แรก

หล่อนยังไม่รู้ว่าจะอ้างกับมิเอลอย่างไรหรือจะบอกข้อมูลไปตามจริง แต่ตอนนี้หล่อนคือผู้ที่ใกล้ชิดของอาเรียอย่างเห็นได้ชัด จึงนึกอยากอวดความงามของตนเองให้สาวใช้คนอื่นๆ ได้เห็นบ้าง

“พูดมาเถอะ ไม่ต้องอ้ำอึ้ง”

“คือว่าดิฉันอยากไปงานเทศกาลที่จะจัดในสัปดาห์หน้าน่ะค่ะ บางทีถ้าจะขอลาสักวัน… ไม่สิ สักครึ่งวันก็ยังดี จะได้ไหมคะ”

“งานเทศกาลหรือ”

ถึงเวลานั้นแล้วสินะ จะมีการจัดงานเทศกาลเพื่อต้อนรับฤดูใบไม้ผลิในวันหยุดสุดสัปดาห์ของช่วงเปลี่ยนผ่านจากฤดูหนาวสู่ฤดูใบไม้ผลิเป็นประจำทุกปี

มันคือเทศกาลของสามัญชนทั่วๆ ไปที่จะเปิดการแสดงกันบนถนนและมีพ่อค้าแม่ขายแผงลอยเข้าร่วมมากมาย แต่เพราะมีทิวทัศน์สองข้างทางให้ชมมากมาย บรรดาชนชั้นสูงจึงมักจะแวะไปบ่อยครั้ง

เมื่อสมัยยังเป็นเด็กนั้น อาเรียยากจนทั้งยังอันตรายเกินกว่าจะไปคนเดียวเธอจึงไม่ไปเข้าร่วมเลย และแม้จะมาเป็นชนชั้นสูงแล้วเธอก็ไม่อยากไปข้องเกี่ยวกับชีวิตของสามัญชนอีกจึงไม่เคยแวะชมอยู่ดี

แน่นอนว่าตอนนี้เธอก็ใช่ว่าจะสนใจมันเป็นพิเศษ แต่ก็รู้ดีว่ามันเป็นความบันเทิงเริงรมย์เพียงไม่กี่อย่างที่ชาวสามัญชนนับนิ้วรอคอย เธอจึงตอบรับคำขอของแอนนี่ด้วยความยินดี

“ถ้าอย่างนั้นก็ไปเถอะ เธอจะพักสักสองวันเลยก็ได้ ไปเที่ยวให้สนุกก็แล้วกัน”

“…จริงหรือคะ”

“อืม เจสซี่พักนานแล้วไว้ฉันเรียกหล่อนมาแทนก็ได้ คงจะเบื่อน่าดูแล้วล่ะ”

ต่อให้เจสซี่จะอยากไปเที่ยวงานเทศกาลอีกคนก็ไม่เป็นไร เพราะถึงไม่มีการปรนนิบัติจากพวกหล่อน เธอก็ไม่ได้ลำบากลำบนอะไรมากนัก

ทั้งเรื่องการทำความสะอาดและน้ำล้างหน้าเธอก็สามารถสั่งเอากับสาวใช้ของคฤหาสน์ได้ ส่วนเรื่องดื่มชาหรือเปลี่ยนเสื้อผ้า เธอก็สามารถทำได้ด้วยตัวเองอยู่แล้ว

เธอมีศักดิ์เป็นถึงธิดาในตระกูลท่านเคานต์ ดังนั้นหากเธอมาทำงานที่ควรจะเป็นของสาวใช้มันจะดูไม่งาม แต่ก็คงดีกว่าให้มีข่าวลือไปว่าเธอข่มเหงรังแกบรรดาสาวใช้ทั้งยังทำตัวเลวทราม

และเพื่อให้ตัวเองดูน่าสงสารด้วย สองแก้มของแอนนี่เป็นสีกุหลาบแดงระเรื่อ

“ขอบคุณจริงๆ ค่ะ เลดี้!”

“โธ่ อะไรกัน ต่อไปถ้าอยากพักก็บอกฉันได้นะ ฉันมีคนรับใช้อยู่สองคน ถึงจะลาพักไปสักคนฉันก็ไม่ได้ลำบากอะไรเลย”

“เลดี้…!”

หากจะให้นิยามใบหน้าของแอนนี่ด้วยคำเพียงคำเดียว ก็คงจะเป็นคำว่าซาบซึ้งกระมัง เพราะแทบจะไม่มีเจ้านายคนไหนที่จะอนุญาตให้สาวใช้ลาพักได้ง่ายดายอย่างอาเรีย

อาเรียในอดีตคอยแต่จะสั่งให้สาวใช้บางคนทำเรื่องไร้สาระอยู่ทั้งวี่ทั้งวัน และยังคอยหาความผิดที่พวกหล่อนไม่เคยกระทำมาเป็นเหตุให้ได้ระบายอารมณ์อีกด้วย แม้จะดูเกินกว่าเหตุ แต่นอกจากเธอแล้วก็ยังมีชนชั้นสูงที่ใช้คนในอาณัติของตนเองเป็นถังขยะระบายอารมณ์อยู่อีกหลายคนเช่นกัน

ตำแหน่งงานในตระกูลชนชั้นสูงใช่ว่าจะมีได้ง่ายๆ ดังนั้นจึงมีคนส่วนใหญ่ที่อดทน แต่กลับเป็นสาวใช้ของชนชั้นสูงเสียอีกที่มักจะลาออกไปอย่างไร้เยื่อใยเมื่อมีโอกาส

“อ้อ แล้วก็”

“คะ”

“เธอเอาเสื้อผ้าฉันไปใส่ด้วยก็ได้นะ ถ้าเธอจำเป็นต้องใช้ พวกเสื้อผ้าที่ฉันได้มาเป็นของขวัญอาจจะไม่ได้ แต่พวกที่ฉันซื้อมาเองนั่นไม่เป็นไรหรอก เครื่องประดับก็เหมือนกัน”

“…จะ จริงหรือคะ!”

ใบหน้าของแอนนี่ดูตกใจราวกับนี่เป็นเรื่องที่หล่อนไม่เคยคาดคิดมาก่อน อย่างมากที่สุดก็มีแต่สิ่งที่เธอซื้อมาจากบูทีค ตอนนี้มันก็คือเสื้อผ้าที่เธอไม่คิดจะใส่ และจะไม่ใส่อีกแล้วทั้งนั้น ฉะนั้นมันจึงเป็นของที่พอจะกำจัดออกไปได้

เธอไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้ แต่เธอก็คล้ายจะโอ้อวดออกไป เพราะมันก็ไม่ได้มีอะไรเสียหายหากเธอจะทำดีกับสุนัขรับใช้ของมิเอล

หล่อนแต่งหน้าและติดเข็มกลัดสีทองเดินไปเดินมา ทำให้มีสาวใช้บางคนที่นึกอิจฉาอยู่บ้าง ทั้งที่อายุก็ยังน้อย แต่กลับแต่งตัวสะสวยและยังได้ติดสอยห้อยตามไปงานสมาคมกับเจ้านายอีกด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น นางมารร้ายยังทำตัวเรียบร้อยและสงบเสงี่ยมต่างจากเมื่อครั้งอดีต เจ้านายที่พาหล่อนไปงานเทศกาลทั้งวันนั้นมีอยู่มากมาย แต่หากเธอให้หล่อนได้ลาพักและให้ยืมกระทั่งเสื้อผ้า สุดท้ายผลประโยชน์ก็มาตกที่เธอเองทั้งนั้น ดังนั้นการลาพักของแอนนี่ก็คือการประชาสัมพันธ์ดีๆ นี่เอง

“ถ้าได้ไปเที่ยวกับสาวใช้ที่ใจตรงกันก็คงจะดีสินะ”

“ฮ่าๆ ใช่ค่ะ เลดี้ว่าไหมคะ”

แน่นอนว่าในตระกูลโรสเซนต์ไม่มีสาวใช้ที่สามารถสนุกกับงานเทศกาลไปพร้อมเธอเลย เพราะทั้งท่านเคานต์และเคาน์ติสต่างก็ใจแคบเรื่องวันลาพักของสาวใช้กันทั้งคู่ ส่วนมิเอลก็คงไม่ปล่อยให้สาวใช้ของตัวเองได้ตามแอนนี่ที่ได้รับวันลาพักจากนางมารร้ายไปเป็นแน่

วันเทศกาลใกล้เข้ามาทุกที อาเรียใช้เวลาทั้งวันไปกับเจสซี่หลังจากที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันมานาน ทางด้านแอนนี่หรือก็วุ่นวายอยู่กับการแต่งตัวสวยงามและออกจากคฤหาสน์ไปตั้งแต่เช้าแล้ว

อาเรียเลือกเสื้อผ้าที่ถูกที่สุดในบรรดาเสื้อผ้าที่เธอมีไปใส่แล้ว ทำให้หล่อนต้องหยิบตัวอื่นไปใส่แทน เพราะยิ่งคนที่ถูกใช้เพื่อการประชาสัมพันธ์อย่างหล่อนได้แต่งตัวสวยงามเท่าไหร่ สถานะของอาเรียก็จะยิ่งสูงขึ้นตามไปด้วย

“เจสซี่ แล้วเธอไม่อยากไปงานเทศกาลกับเขาบ้างหรือ”

อาเรียที่เอาแต่อ่านหนังสืออยู่เฉยๆ ทั้งวันเพราะไม่มีกำหนดการอะไรเอ่ยถามขึ้น เจสซี่ออกอาการตกใจพร้อมกับโบกมือไปมาเพราะไม่คิดว่าจะได้ยินคำถามแบบนี้จากอาเรีย

“ไม่ค่ะ! ดิฉันไม่เป็นไรค่ะ เลดี้”

“จริงหรือ”

“…เอ๊ะ”

“เธอหมายถึงไม่ได้ไปก็ไม่เป็นไร หรือว่าไม่อยากไปล่ะ”

“อ๋อ…”

หากหล่อนอยากไป เธอก็เต็มใจให้ไป เพราะถึงหล่อนจะไม่ใช้วันลา หล่อนก็ยังออกไปสักพักได้อยู่

เธอถามอีกครั้งเมื่อหล่อนเอาแต่ลังเลจนตอบไม่ได้ จากนั้นหล่อนจึงได้เผยความในใจออกมาอย่างระมัดระวัง

“ถึงจะอยากไป… แต่ดิฉันก็ต้องอยู่ดูแลเลดี้นะคะ”

“ถ้าเธออยากไปก็ไปได้นะ”

“…!”

“ถ้าอยากไปก็ไปเถอะ เพราะยังไงฉันก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นต้องทำแล้วนอกจากอ่านหนังสือ”

ชาก็ดื่มจนเบื่อจะตายแล้ว เบื่อจนไม่อยากจะดื่มอีกแล้วจนถึงเวลาเข้านอน เพราะอย่างนั้นเธอจึงไม่ต้องการการปรนนิบัติจากเจสซี่แล้ว ในขวดน้ำก็มีน้ำใหม่เติมไว้จนเต็ม แค่นี้ก็พอดื่มแล้วล่ะ

“แต่ดิฉันเป็นห่วงเลดี้… อีกอย่างแอนนี่ก็ออกไปด้วยเหมือนกัน…”

“เธอจะเป็นห่วงทำไม ในเมื่อฉันก็อยู่แต่ในคฤหาสน์”

เพราะหากคิดดูดีๆ การที่เธออยู่ในคฤหาสน์ก็ปลอดภัยและไม่มีอะไรให้ห่วงที่สุดแล้ว

เจสซี่ไม่สามารถตอบอะไรกลับไปได้อย่างง่ายดายทั้งที่อาเรียก็บอกให้ไปได้ แต่แล้วจู่ๆ หล่อนก็ปรบมือราวกับเพิ่งคิดบางอย่างขึ้นมาได้

“ถ้าอย่างนั้น เลดี้ก็ไปด้วยกันดีไหมคะ”

“ไปไหน”

“งานเทศกาลไงคะ! ตอนนี้ยังสว่าง ไม่มีอันตรายอะไรหรอกค่ะ ช่วงงานเทศกาลแบบนี้มีทหารรักษาการณ์อยู่เยอะเชียวล่ะค่ะ”

นี่เธอบอกให้ฉันไปงานเทศกาลหรือ ฉันนี่น่ะหรือ ฉันไม่เคยคิดจะไปเลยสักครั้งเดียว

“เลดี้ไม่อยากไปหรือคะ”

มันคือคำถามเดียวกับที่อาเรียเพิ่งถามตัวเองไปเมื่อครู่นี้เอง

เมื่อลองมาคิดว่าตนอยากไปหรือไม่… เธออาจจะอยากไปตอนที่เธอเองยังเด็กมากก็ได้ แต่เธอไปไม่ได้นี่สิ

กระทั่งหลังจากเข้ามาในตระกูลท่านเคานต์แล้วก็เช่นกัน เธอไม่เคยไปเพราะคิดแค่ว่าเธอกลายมาเป็นชนชั้นสูงแล้ว ดังนั้นเธอควรจะหลีกเลี่ยงการละเล่นของสามัญชนทั่วไป

‘ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้… ตอนนี้ฉันไปได้แล้วใช่ไหม’

หัวใจพลันเต้นรัวเร็วทันทีเมื่อคิดได้ดังนั้น สองแก้มเริ่มแดงเรื่อ ทำให้เจสซี่เริ่มเตรียมตัวออกไปก่อนที่จะได้ยินคำตอบด้วยซ้ำ

อาเรียมองดูชุดออกไปข้างนอกและบรรดาเครื่องประดับที่หล่อนนำมา ก่อนจะลุกจากที่ไปพร้อมกับคำว่า ‘รอก่อน’

“…เลดี้ หรือว่าเลดี้จะไม่ออกไปด้วยกันหรือคะ”

เจสซี่หน้าหม่นลงอีกครั้ง ทั้งที่ในอดีตเธอเคยทำตัวเลวร้ายใส่หล่อนขนาดนั้น แต่ดูเหมือนหล่อนก็ยังหวังอยากไปเที่ยวเล่นกับเจ้านายอยู่อย่างนั้นสินะ ในอดีตนั่น เด็กแบบนี้ถูกทอดทิ้งอย่างโหดร้ายแบบนั้นได้อย่างไรกันนะ

“เปล่าสักหน่อย แต่ชุดพวกนี้มันสะดุดตาเกินไปต่างหาก ฉันใส่ชุดง่ายๆ ออกไปกันเถอะ”

เพราะคงไม่ดีแน่หากมีข่าวลือออกไปว่าชนชั้นสูงออกไปเดินเที่ยวเล่น หลังจากที่เธอพูดเสริม หน้าตาของเจสซี่ก็ดูสดใสขึ้นมาทันที

“เลดี้!”

“เตรียมตัวเร็วๆ เข้า เพราะฉันต้องรีบกลับมาก่อนตะวันจะตกดิน”

“รับทราบค่ะ!”

………………………

พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย

พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย

เมื่อมารดาที่เป็นโสเภณีได้แต่งงานกับท่านเคานต์ อาเรียจึงได้ยกระดับฐานะทางสังคมอย่างรวดเร็ว เธอใช้ชีวิตอย่างหรูหราอู้ฟู่ ก่อนจะตกหลุมพลางของมิเอล น้องสาวบุญธรรม และถูกฆ่าตายท่ามกลางสายตาเย็นชาและคำเยาะเย้ยถากถาง ทันใดนั้น นาฬิกาทรายก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าราวกับภาพลวงตา และเธอก็ได้ย้อนเวลากลับมาอย่างปาฏิหาริย์…! “ข้าอยากเป็นผู้ที่งามสง่าเหมือนกับมิเอล น้องสาวของข้า” เพื่อต่อกรกับนางร้าย เธอจึงต้องร้ายยิ่งกว่า! เธอเลือกเส้นทางชีวิตใหม่เพื่อแก้แค้นคนที่บีบให้เธอเข้าสู่เส้นทางแห่งความตาย! เรื่องราวของนางร้ายที่ร้ายยิ่งกว่านางร้ายจึงเริ่มต้นขึ้น พร้อมกับการแก้แค้นอันซับซ้อนที่ซุกซ่อนอยู่ในความงดงามที่อันตราย!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset