เพราะว่าชายหนุ่มคนนี้ที่อยู่ตรงหน้าเธอไม่ได้ชอบเลยแม้แต่น้อย กลับรังเกียจเขาเป็นอย่างมากแทนเสียด้วยซ้ำ
เธอคือประธานของโหวจวี๋กรุ๊ป คือหญิงแกร่งที่มีทั้งหน้าตาที่งดงาม ทั้งมีความสามารถ แล้วก็มีสถานะคนหนึ่ง
แต่หญิงแกร่งก็คือผู้หญิง
ในใจของเธอก็ปรารถนาที่จะมีคนหนึ่งที่สามารถรักใคร่เอ็นดูตนเอง ปรารถนาว่าตนเองจะสามารถมีคนหนึ่งที่พึ่งพาได้ ปรารถนาที่จะมีคนสามารถคอยรับฟังความในใจในยามที่เธอเหนื่อย
และคนๆนั้นที่เธอปรารถนาภายในจิตใจ ไม่ใช่คนนี้ที่ยืนอยู่ข้างกายของเธอ
ดังนั้น “ยินดี” สองคำนี้ไม่ว่าอย่างไรเธอก็พูดไม่ออก
หวังเจียจุ้นมองความลังเลของหลงหลิงหลิงออก แนบรอยยิ้มไปด้วย เอ่ยคำข่มขู่ไปด้วยว่า “พ่อแม่คุณยังมองดูอยู่นะ?”
หลงหลิงหลิงตกใจในทันที หันไปทางพ่อแม่ของตนเอง
ในใจของเธอเกิดความทรมานและขัดขืนขึ้นอีกครั้ง สุดท้าย เธอทำได้เพียงหลับตาลง เอ่ยขึ้นในใจว่า ยอมรับชะตากรรมเถอะ!
“ฉัน…” ตอนที่หลงหลิงหลิงลืมตาขึ้นอีกครั้งไม่ได้มีความลังเลและขัดขืนอีกต่อไปแล้ว
แต่ในตอนที่เธอกำลังจะเอ่ยปาก กลับมีคนขัดจังหวะเธอขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“รอก่อน!”
เสียงนี้ดังมาก ดึงดูดความสนใจจากทุกคน
หวังเจียจุ้นมองไปด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์
หลงหลิงหลิงก็ตกตะลึงไปทั้งใบหน้าเช่นเดียวกัน
จากนั้นกลุ่มคนก็ค่อยๆแยกออก มีคนสวมชุดสูทรองเท้าหนังสิบกว่าคนมาถึงที่ใจกลางงาน และคนที่เดินนำหน้าสุดคิดไม่ถึงว่าจะเป็นไป๋หยุนเผิง
หวังเจียจุ้นเห็นแล้วคำรามเสียงดังออกไปว่า “แกเป็นใคร? มาที่นี่คิดจะก่อเรื่องหรอ?”
ไป๋หยุนเผิงมองดูหวังเจียจุ้นอย่างเยือกเย็น “แกคือหวังเจียจุ้น?”
หวังเจียจุ้นเอ่ยด้วยความโมโหในทันที “ใช่!แกคิดจะทำอะไรกันแน่?”
ไป๋หยุนเผิงพยักหน้าเล็กน้อย นัยน์ตาทั้งสองข้างที่เยือกเย็นเปล่งประกายจิตสังหารออกมา เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น “เรื่องของแกกับลูกชายฉันเดี๋ยวค่อยคิดบัญชีทีหลัง สำหรับตอนนี้ แกยังไม่มีสิทธิ์พูดจากับฉัน!”
พูดจบ คนภายในงานก็ช็อกกันไปเป็นแถบ
ต้องรู้ว่าไป๋หยุนเผิงเป็นถึงหัวหน้าตระกูลไป๋หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองหลวง และคนที่เขาพามาด้วยที่ด้านหลังยังมีเย่เจี่ยและเย่ฮวนแห่งตระกูลเย่ รวมไปถึงหลินขวางผู้นำตระกูลหลิน
นอกเหนือจากนี้ยังมีหวังโหลวประธานเฟยเสว่กรุ๊ปอีกคน
คนเหล่านี้ต่อให้ถือออกมาเดี่ยวๆ ก็สามารถทำให้วงการธุรกิจของทั้งมณฑลเจียงเป่ยสั่นคลอนได้
แต่พี่ใหญ่เหล่านี้มารวมตัวกันทั้งหมด
“พระเจ้า นั่นคือสามตระกูลใหญ่แห่งสี่ตระกูลใหญ่เลยนะ!”
“วันนี้คนใหญ่คนโตมากมายขนาดนี้จะทำอะไรกันแน่นะ?”
“เกรงว่าจะมีละครสนุกให้ดูแล้ว!”
หวังเจียจุ้นในใจกลับไม่ยอม คิดจะเอ่ยปากพูดอะไร แต่กลับถูกมือหนึ่งรั้งเอาไว้ นี่คือพ่อของหวังเจียจุ้น “แกหุบปาก!”
หวังเจียจุ้นมองไปทางพ่อของเขาแวบหนึ่งอย่างไม่เข้าใจ
จากนั้นพ่อของหวังเจียจุ้นก็มาถึงยังด้านหน้าของเขา เอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าที่ถ่อมตนเป็นอย่างยิ่ง “หัวหน้าตระกูลไป๋ วันนี้เป็นวันมงคลใหญ่ของลูกชายผม หัวหน้าตระกูลทั้งหลายมาด้วยตนเอง เพิ่มแสงสว่างให้กับตระกูลหวังของเราจริงๆครับ!”
“พี่สือชิ่งเกรงใจเกินไปแล้ว แต่พวกเราในวันนี้ไม่ได้มาเพื่อดื่มเหล้ามงคล” ไป๋หยุนเผิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
แม้ว่าตระกูลหวังจะผงาดขึ้นมาอย่างกะทันหัน แต่คนจำนวนมากภายในงานต่างไม่รู้ว่าหัวหน้าตระกูลหวังมีชื่อว่าอะไร
ดีที่เมื่อครู่นี้ไป๋หยุนเผิงเรียกชื่อของเขา คนในงานในที่สุดถึงได้รู้ว่าหัวหน้าตระกูลหวังชื่อหวังสือชิ่ง
หวังสือชิ่งเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัยเล็กน้อย “งั้นเขามาที่นี่คือต้องการทำอะไรล่ะครับ?”
ไป๋หยุนเผิงไม่ได้ตอบกลับในทันที แต่หันกลับไปพยักหน้าให้กับสองคนที่อยู่ทางด้านหลัง
จากนั้นก็มีชายสองคนที่สวมชุดเครื่องแบบเดินขึ้นมา ไป๋หยุนเผิงจึงเอ่ยว่า “แนะนำกับคุณสักหน่อย พวกเขาคือเจ้าหน้าที่รับรองเอกสารจากสำนักงานรับรองเอกสาร”
ในขณะที่พูดไปด้วยก็หยิบแฟ้มเอกสารแฟ้มหนึ่งออกมา ยื่นให้กับหวังสือชิ่งที่อยู่บนเวที “คุณสามารถลองดูให้ดีได้ ในนี้คือสำเนาของเอกสารรับรอง”
หวังสือชิ่งขมวดคิ้วขึ้นมาในทันที “นี่คืออะไร?”
หวังเจียจุ้นเห็นดังนั้นก็รีบมารับไปในทันที แล้วก็ยื่นให้กับหวังสือชิ่ง
หวังสือชิ่งกำลังแกะเอกสาร ยังไม่ทันได้ดู ไป๋หยุนเผิงก็เอ่ยปากขึ้นมาก่อนว่า “นี่คือสัญญาการโอนเฟิงหั่วกรุ๊ป”
“แกว่าอะไรนะ?” หวังเจียจุ้นสีหน้าเปลี่ยนมหันต์
ไป๋หยุนเผิงเพียงแต่เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มที่ราบเรียบ “หุ้นในเฟิงหั่วกรุ๊ปของพวกคุณตระกูลหวังมีสี่สิบเอ็ดเปอร์เซ็นต์ แต่สัญญาการโอนเหล่านี้บวกเข้าด้วยกัน หุ้นมีห้าสิบเอ็ดเปอร์เซ็นต์”
ประโยคนี้พูดออกไป ทั้งงานก็เกิดความโกลาหลขึ้น
สีหน้าของหวังเจียจุ้นก็เปลี่ยนไปจนไม่น่าดูขึ้นมา เขาชี้ไป๋หยุนเผิงตะคอกด้วยความโมโหว่า “แกแม่งพูดจาซี้ซั้ว!วันนี้เป็นวันแต่งงานของฉัน พวกแกก็คือจงใจมาก่อความวุ่นวาย เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย รีบมาไล่พวกมันออกไป!”
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งหลายของโรงแรมโป๋หย่ามองหน้ากัน ไม่มีใครกล้าขึ้นไปไล่เลยแม้แต่น้อย
นั่นเป็นถึงหัวหน้าตระกูลสามตระกูลใหญ่ในสี่ตระกูลใหญ่เลยนะ!
สำหรับเสียงเอ็ดตะโรของหวังเจียจุ้นไป๋หยุนเผิงไม่คิดที่จะสนใจ แต่เอ่ยกับหวังสือชิ่งด้วยสีหน้าที่นิ่งเฉยแทนว่า “จริงหรือเท็จ คุณลองดูสัญญาการโอนที่อยู่ในมือก็รู้แล้ว ผมก็พาเจ้าหน้าที่รับรองเอกสารมาด้วย มีปัญหาอะไรล้วนถามพวกเขาได้”
สีหน้าของหวังเจียจุ้นซีดเผือดในทันที
แต่ยังไงก็ตามสิ่งที่ทำให้ทุกคนตกใจก็คือปฏิกิริยาตอบสนองของหวังสือชิ่ง
หลังจากที่เขาดูสัญญาการโอนเสร็จ ก็หัวเราะอย่างสบายใจมาก “ที่แท้ที่พี่ไป๋มาฉากใหญ่ขนาดนี้ก็เป็นเพราะเฟิงหั่วกรุ๊ปหรอครับ หากรู้ว่าจะเป็นแบบนี้ พี่ไป๋บอกกับผมก็ได้นะครับ ผมสามารถเหลือหุ้นไว้ให้กับพวกพี่ล่วงหน้าได้”
ประโยคนี้พูดออกไป ไป๋หยุนเผิงและคนอื่นๆต่างก็เกิดข้อสงสัยแล้ว
คำพูดนี้ของเขาหมายความว่ายังไงกัน? หรือว่าจะมีทางหนีทีไล่อะไร?
หลังจากที่ไป๋หยุนเผิงนิ่งเงียบอยู่ชั่วขณะ ก็เอ่ยต่อไปว่า “ผมแนะนำให้เรียกประชุมคณะกรรมการบริษัทตอนนี้ พี่หวางว่ายังไงล่ะ?”
หวังสือชิ่งไม่ได้มีสีหน้าลนลานและโมโหเลยแม้แต่น้อย ถึงขั้นยังหัวเราะพร้อมกับเอ่ยว่า “นั่นก็ได้ครับ แต่ว่า ผมไม่เห็นด้วย”
ไป๋หยุนเผิงเห็นท่า ก็อุทานออกมาอย่างประชดประชัน “ในมือของเรามีหุ้นทั้งหมดห้าสิบเอ็ดเปอร์เซ็นต์ ผมถึงจะเป็นคนที่มีสิทธิในการพูดที่แท้จริง และตอนนี้ฉันกำลังบอกให้คุณทราบ ไม่ได้ต้องการความยินยอมจากคุณ”
แต่ทว่าหวังสือชิ่งกลับเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าที่นิ่งเฉย “ผมทางนี้มีสัญญาการโอนหุ้นเพียงแค่สี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์”
เห็นดังนี้หวังโหลวก็รีบยืนออกมาพูดขึ้นในทันที “หุ้นอีกหกเปอร์เซ็นต์ที่เหลือ อยู่ในมือของโหวจวี๋กรุ๊ปในเครือเฟยเสว่กรุ๊ป”
หวังสือชิ่งอยู่ๆก็หัวเราะขึ้นมาอย่างกะทันหัน จากนั้นหันหน้าไปถามหลงหลิงหลิง “พวกคุณมั่นใจว่าหุ้นหกเปอร์เซ็นต์นั่นอยู่ในมือของพวกคุณหรอ?”
ประโยคนี้พูดออกไป ทุกคนต่างก็ตกตะลึง
ไป๋หยุนเผิงแอบเอ่ยขึ้นในใจว่าไม่ดีแล้ว!
วินาทีต่อมา หวังสือชิ่งเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่นิ่งเฉย “ตามที่ผมรู้ มีหุ้นหกเปอร์เซ็นต์ที่ถูกโหวจวี๋กรุ๊ปในเครือเฟยเสว่กรุ๊ปรับซื้อไป”
“และตอนนี้ ลูกสะใภ้ของผมหลงหลิงหลิง เธอยังไม่ได้ลาออกจากตำแหน่งประธานโหวจวี๋กรุ๊ป ถ้างั้น หุ้นหกเปอร์เซ็นต์ที่เหลือนั่น ควรจะเป็นหลงหลิงหลิงที่เป็นผู้ตัดสินใจกระมัง?”
ได้ยินคำพูดนี้ ทุกคนก็ตกตะลึงขึ้นมาอีก
ก็แม้แต่หลงหลิงหลิงเองสีหน้าก็เปลี่ยนตามไปด้วย
เวลานี้ หวังสือชิ่งก็เดินมาถึงด้านหน้าพ่อแม่ของหลงหลิงหลิงอย่างกะทันหัน หัวเราะพร้อมกับเอ่ยว่า “ชิงแก หลิงหลิงนี่สุดยอดจริงๆเลยนะ อาศัยเพียงแค่เธอคนเดียวก็สามารถควบคุมชะตาของเฟิงหั่วกรุ๊ปได้ ต่อไปมาถึงบ้านตระกูลหวังของพวกเรา พวกเราตระกูลหวังจะต้องปฏิบัติต่อเธออย่างดีแน่นอน”
ในขณะที่พูด ก็ยังตบบ่าพ่อของหลงหลิงหลิงไปด้วย
หลงหลิงหลิงมองดูฉากนี้ เข้าใจเลยว่า หวังสือชิ่งกำลังข่มขู่เธอ เธอไม่สามารถมีการโต้แย้งใดๆได้ ไม่เช่นนั้น หวังสือชิ่งสามารถเอาชีวิตพ่อของเธอได้ตลอดเวลา
ในเวลานี้ ไป๋หยุนเผิงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่เยือกเย็น “หลิงหลิงเป็นถึงคนของพวกเราตระกูลไป๋ จะสนับสนุนแน่นอนก็ต้องสนับสนุนตระกูลไป๋!”
หวังสือชิ่งสีหน้าไม่เปลี่ยน เอ่ยถามหลงหลิงหลิงด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นแบบนี้หรอ?”
“หลิงหลิง งั้นเธอก็บอกกับทุกคน ว่าเธอสนับสนุนตระกูลหวัง? หรือว่าสนับสนุนตระกูลไป๋?”
ใบหน้าของหลงหลิงหลิงเผยความดิ้นรนขัดขืนออกมา
ไป๋ยี่เฟยเชื่อใจเธอมาก ธุระเกี่ยวกับโหวจวี๋กรุ๊ปทั้งหมดต่างก็ให้เธอมีอำนาจเต็มในการจัดการ เขาไม่มีการมากแทรกแซง ถ้างั้นกรรมสิทธิ์หุ้นที่อยู่ในมือเธอตอนนี้ ก็ต้องเป็นสิทธิ์ในการตัดสินใจของเธอเองเป็นธรรมดา
แต่ว่า พ่อแม่ของเธอ…
หลงหลิงหลิงหลับตาลงด้วยความหดหู่ เอ่ยขึ้นด้วยลำคอที่แห้งผากว่า “ตระกูลหวัง”
สองคำที้ง่ายดาย นี่เป็นการตัดสินชะตาของทั้งสองฝ่าย
คนภายในงานไม่มีใครไม่ช็อก
ไป๋หยุนเผิงยิ่งเบิกตาโพลง
เย่ฮวนก็คำรามด้วยน้ำเสียงที่โมโหว่า “หลงหลิงหลิง!ทำไมเธอถึงเนรคุณได้?