ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่ – ตอนที่ 982 สำนักเฟยซิง

หยุนอิงหยิบมือถือมาก้มหน้าดู จากนั้นสีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นไม่น่าดูขึ้นเรื่อยๆ

ต่อมาหยุนอิงก็พูดอะไรขึ้นมาอีก คนทั้งสองจึงต่างแยกย้ายกันไป

ไป๋ยี่เฟยกำลังสงสัยในเหตุการณ์นี้อยู่พอดี มือถือเขาก็ดังขึ้น เขาหยิบขึ้นมาก็เห็นเป็นจางหัวปินโทรมา

“สืบได้เรื่องแล้ว เจ้าของร้านกาแฟหยานหยู่ชื่อจ้าวหู่ มีร้านสาขาอยู่ที่เมืองเทียนเป่ยทั้งหมดแปดสาขา”

หลังไป๋ยี่เฟยฟังจบก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่เคยได้ยินคนที่ชื่อจ้าวหู่นี้เลย

จางหัวปินพูดต่ออีกว่า “เมื่อกี้ฉันลองสืบคนคนนี้ดู กลับไม่มีเรื่องอะไร แต่มีอยู่นิดหน่อยก็คือ เมื่อก่อนเขาเคยเป็นคนขับรถของตระกูลฉุง”

“คนขับรถของตระกูลฉุงแห่งเมืองหลวง?” ไป๋ยี่เฟยยืนยันอีกครั้งหนึ่ง

จางหัวปินตอบ “ใช่ เป็นคนขับรถให้ฉุงโยวหมิงลูกชายของฉุงเฉ่าซิน ทำอยู่แค่สองปี”

ไป๋ยี่เฟยพลันตกใจขึ้นมา

ฉุงโยวหมิง!

ในขณะนี้เอง จู่ๆ เขาก็คิดถึงเรื่องประหลาดบางอย่างในวันแต่งงานของฉุงโยวหมิงขึ้นมา

เขามักรู้สึกว่าจะต้องมีอะไรเชื่อมโยงกันอยู่ในนั้น แต่ในขณะเดียวกันก็นึกไม่ออก

ผ่านไปไม่นานนัก ภาพวงจรปิดในจอใหญ่ก็ปรากฏหยุนอิงกลับมาถึงหลันโปกั่งแล้ว

ด้วยเหตุนี้ไป๋ยี่เฟยจึงไม่มีเวลาคิดมากอีก รีบปิดกล้องวงจรปิด แล้วออกจากประตูห้อง ล็อคไว้อย่างดีแล้วกลับขึ้นมาชั้นบนใหม่อีกครั้ง

ไม่นานนัก หยุนอิงก็กลับมา

เธอเดินมาหยุดตรงระเบียงชั้นสอง แล้วก็มาหยุดตรงหน้าไป๋ยี่เฟย ยกมือฉีกหน้ากากหลี่เสว่ออก จากนั้นก็โยนแผ่นเหล็กแผ่นหนึ่งลงบนโต๊ะข้างตัวไป๋ยี่เฟย ถามเสียงต่ำว่า “นี่คือของของนาย?”

พอไป๋ยี่เฟยเห็นแผ่นเหล็กแผ่นนี้ ในใจก็เต้นรัว

เมิ่งหลินอยู่สำนักหนานเหมินแต่เป็นยอดฝีมือของแดนเทพยุทธ์ คิดว่าคนส่วนใหญ่คงจะรู้จักเขา และคุ้นเคยกับอาวุธของเขาเป็นอย่างดี

จนกระทั่งปัจจุบัน คงไม่มีใครรู้ว่าเมิ่งหลินตายแล้ว และไม่รู้ว่าเขาได้นำวิชาความรู้บางส่วนของเขาส่งต่อให้ไป๋ยี่เฟย

ดังนั้น หยุนอิงรู้ได้ยังไงกัน?

ในเวลานี้เอง หยุนอิงก็หยิบมือถือออกมาส่งให้ไป๋ยี่เฟยดู

ไปยี่เฟยรับไปดู ปรากฏว่าเป็นคลิปวีดีโอท่อนหนึ่ง

ในคลิปคือดาดฟ้าของโรงแรมจินหาว บนดาดฟ้ามีไป๋ยี่เฟยรวมถึงพวกเหลียงเหว่ยชาวยืนอยู่

ไป๋ยี่เฟยในตอนนั้นกำลังถือมีดสั้นเล่มหนึ่งที่ใช้แผ่นเหล็กมาประกอบกัน โดยยืนคุมเชิงกับพวกเหลียงเหว่ยชาวอยู่

หยุนอิงหลุบตา จ้องไป๋ยี่เฟยแล้วกล่าวว่า “อย่ามาปฏิเสธกับฉัน ว่านี่ไม่ใช่ของของนาย”

แน่นอนว่าไป๋ยี่เฟยย่อมไร้หนทางปฏิเสธ จึงได้แต่พยักหน้าแล้วพูดว่า “เป็นของฉันจริงๆ”

หยุนอิงถามอีกว่า “แล้วเจ้าสิ่งนี้เรียกว่าอะไร?”

ไป๋ยี่เฟยส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “อันที่จริงก็ไม่ใช่ของฉันเสียทีเดียว ฉันแค่เห็นคนอื่นเคยใช้ รู้สึกว่ามันแปลกใหม่ดี เลยให้คนเลียนแบบขึ้นมาอีกอัน”

สิ้นคำพูด หยุนอิงก็หยิบแผ่นเหล็กขึ้นมาแล้วพิจารณาดูอยู่หลายครั้ง ก็พบว่าบนพื้นผิวมีรอยแตก ด้วยเหตุนี้เธอจึงพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ไม่ใช่ของจริงจริงๆ”

จากนั้นเธอก็วางแผ่นเหล็กลงอีกครั้ง ก่อนจะจ้องไป๋ยี่เฟยแล้วถามว่า “นายเคยเห็นมันที่ไหน? แล้วใครเป็นคนใช้มัน?”

ไป๋ยี่เฟยตอบด้วยสีหน้าไม่สนใจ “ชายทะเลที่หลันเต่าน่ะ ตอนนั้นเห็นชายชราสองคนกำลังต่อสู้กันอยู่ ต่อสู้กันอย่างเก่งกาจเชียวล่ะ เหมือนกับในหนังเลย”

หยุนอิงได้ยินเช่นนี้ ก็หรี่ตาแล้วถามว่า “หรือพวกเขาไม่เห็นนายใช่ไหม?”

“เห็นอยู่แล้วสิ” ไป๋ยี่เฟยมองหยุนอิงแวบหนึ่ง

หยุนอิงจ้องเขาเขม็งแล้วถามอีกว่า “แล้วนายมีชีวิตออกมาได้ยังไง?”

ไป๋ยี่เฟยตอบทันทีว่า “อันที่จริงเริ่มแรกเลยฉันพบชายชราที่ถืออาวุธชนิดนี้ กำลังปิ้งปลาอยู่ เพราะไม่ได้พกไฟแช็กมาจึงมายืมจากฉัน ต่อมายังให้ฉันช่วยเขาปิ้งปลาอีกด้วย”

หยุนอิงได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้ากล่าวว่า “สมเป็นเขา!”

นิ่งไปชั่วครู่ก็ถามขึ้นอีกว่า “แล้วเขาให้ของอะไรนายมาหรือเปล่า?”

“ไม่มีนะ” ไป๋ยี่เฟยส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “ไม่เพียงไม่ให้ เขายังไม่คืนไฟแช็กฉันด้วย”

หยุนอิงเห็นไป๋ยี่เฟยพูดเช่นนี้ ก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้

และไป๋ยี่เฟยก็ถามขึ้นด้วยท่าทางเหมือนประหลาดใจอย่างมากว่า “เธอรู้จักชายชราคนนี้เหรอ?”

หยุนอิงยิ้ม จากนั้นก็ตบไปที่บ่าของไป๋ยี่เฟยแล้วพูดว่า “นายนี่โชคดีชะมัด!”

ไป๋ยี่เฟยเผยสีหน้าสงสัยออกมา

หยุนอิงจึงพูดว่า “คนผู้นั้นชื่อเมิ่งหลิน เขาเป็นเจ้าสำนักของสำนักเฟยซิงแห่งหนานเหมิน แต่คนของสำนักนี้นิสัยค่อนข้างดุร้ายโหดเหี้ยม ดังนั้นจึงนับว่าพิเศษกว่าในบรรดาหลายๆ สำนัก”

“แน่นอนว่า สิ่งสำคัญที่สุดยังคงเป็นเพราะเมิ่งหลินเป็นผู้แข็งแกร่งแห่งแดนเทพยุทธ์”

“เขาอยู่แดนเทพยุทธ์?” ไป๋ยี่เฟยตกใจเล็กน้อย จากนั้นก็ทำท่าทางราวกับนึกอะไรออก “เมื่อก่อนฉันได้ยินว่าเมื่อสิบสองปีก่อน หนานเหมินบุกรุกหลันเต่า……”

หยุนอิงพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ใช่ ก็เขานี่แหละ สิบสองปีก่อนก็คือกลุ่มที่เขาเป็นคนนำ”

หยุนอิงในตอนนี้ไม่ได้สงสัยในคำพูดของไป๋ยี่เฟยแม้แต่น้อย เพราะไป๋ยี่เฟยพูดเรื่องจริงผสมกับเรื่องแต่ง จึงทำให้คนเชื่อใจเขาได้ง่ายดายขึ้นกว่าเดิม

จากนั้นหยุนอิงก็อธิบายอีกว่า “สำนักเฟยซิงคือสำนักที่ยึดถือในคุณธรรมประจำสำนักอย่างยิ่ง คนของสำนักพวกเขาล้วนสามัคคีกันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเขาเกลียดที่สุดก็คือคนทรยศกับขโมย”

“หากมีคนขโมยวิชาของพวกเขา อย่างนั้นพวกเขาทั้งสำนักก็ยินดีแลกทุกอย่างเพื่อขุดรากถอนโคนคนขโมย แน่นอนว่า หากเป็นเจ้าสำนักกับผู้อาวุโสของสำนักสั่งสอนด้วยตนเอง นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง”

“ดังนั้นหากเมิ่งหลินเป็นคนถ่ายทอดให้นายด้วยตนเอง พวกเขาจะไม่ซักถาม ยังจะเห็นนายเป็นศิษย์ของสำนักด้วย”

“คนคนนั้นที่นายบอกกับฉันไม่ได้จะมาปะทะกับนาย นี่เป็นเพราะเขาเห็นคลิปนี้ จึงคิดจะสืบเรื่องนี้ให้กระจ่างเท่านั้น”

“นี่เป็นของที่นายแค่เลียนแบบทำขึ้นมา แต่ก็ไม่เป็นไร นายหายห่วงได้เลย เขาไม่มีทางทำอะไรนาย”

หลังไป๋ยี่เฟยฟังจบ ก็พยักหน้าแล้วถามว่า “แล้วเธอบอกกับเขาว่าอะไร?”

“ก็ไม่ได้พูดอะไร” หยุนอิงโบกมือพลางนั่งลงข้างๆ “ฉันก็บอกกับเขาว่าจะช่วยเขาสืบดู ตอนนี้ความเข้าใจผิดได้รับการแก้ไขแล้ว เขาก็จะไม่มาสร้างความยุ่งยากให้นายอีก”

ไป๋ยี่เฟยพยักแล้วอีกครั้ง ไม่มีได้ถามอะไรมาก

จากนั้นเขาก็กลับห้องเพื่อไปดูหลี่เสว่กับลูก

พอไป๋ยี่เฟยเข้าไปก็เห็นหลี่เสว่กำลังป้อนนมลูกอยู่ ต่อมาสายตาเขาก็จ้องเขม็งไปยังหน้าอกของหลี่เสว่

หลี่เสว่เห็นเช่นนี้ ก็อดหน้าแดงขึ้นมาไม่ได้ แล้วก็ไม่อาจไม่สนใจลูกได้อีก จึงได้แต่ถูกไป๋ยี่เฟยจ้องมองอยู่เช่นนี้

ไป๋ยี่เฟยเห็นลูกตัวเองดูดนมอย่างเมามัน ทำให้เขารู้สึกปากคอแห้งผากขึ้นมากะทันหัน สายตาที่มองหลี่เสว่จึงยิ่งร้อนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

หลี่เสว่สังเกตเห็นสายตาของไป๋ยี่เฟย ก็อดถลึงตาใส่เขาแวบหนึ่งไม่ได้ก่อนจะพูดว่า “นี่ฟ้ายังสว่างอยู่เลยนะ!”

ไป๋ยี่เฟยถูกเสียงนี้ดึงสติกลับมา จึงยิ้มแล้วเดินเข้าไป

เพิ่งจะเดินเข้าไป หลี่เสว่ก็ถามเขาขึ้นมากะทันหันว่า “อีกนานแค่ไหนกว่าจะไป?”

ไป๋ยี่เฟยพลันชะงักไป ความร้อนแรงเมื่อสักครู่หายไปในพริบตา เขาโอบกอดหลี่เสว่ไว้เบาๆ แล้วพูดว่า “อีกห้าชั่วโมง”

“แล้วอันตรายไหม” หลี่เสว่ถามด้วยความกังวลเต็มใบหน้า

ไป๋ยี่เฟยส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า “อีกฝ่ายเป็นเพียงยอดฝีมือระดับต่ำชั้นหนึ่งเท่านั้น บอดี้การ์ดข้างกายเขาก็มีไม่มาก ฝีมือล้วนด้อยกว่าผม ดังนั้นจะไม่มีอันตรายแน่”

“อืม” หลี่เสว่วางใจลงมาเล็กน้อย แต่เธอยังคงเอ่ยเตือนว่า “ยังคงระวังไว้หน่อยดีกว่า”

“ผมรู้แล้ว” ไป๋ยี่เฟยพยักหน้า กอดหลี่เสว่ไว้อย่างแผ่วเบา หลี่เสว่เองก็พิงอยู่กับหัวไหล่ไป๋ยี่เฟยเช่นกัน

เสพสุขช่วงเวลาอบอุ่นและหอมเย็นอยู่พักหนึ่ง หลี่เสว่ก็ถามอีกว่า “ทางด้านเสี่ยวอิงคุณยังไปอีกไหม?”

“ไม่ไปชั่วคราว” ไป๋ยี่เฟยถอนหายใจแล้วพูดว่า “ตอนนี้หลิวโก๋จงยังโกรธอยู่ หากผมไปอีกล่ะก็ เรื่องจะกลายเป็นแก้ไขยากขึ้นกว่าเดิม”

“อืม”

……

ก่อนออกเดินทางหยุนอิงตั้งใจแปลงโฉมให้ไป๋ยี่เฟยเป็นพิเศษ ให้เขาติดหน้ากากแผ่นหนึ่ง เปลี่ยนเป็นคนอีกคนหนึ่ง

ไป๋ยี่เฟยยังคงเลื่อมใสต่อวิชานี้อย่างมาก แต่หลังจากที่เขาขึ้นเครื่อง เขาก็เดินเข้ามายังที่ที่หยุนอิงจัดไว้ให้เขาทันที

เพิ่งเริ่มขึ้นเครื่อง เขาจึงไม่ได้สนใจรอบกายเท่าไหร่นัก คิดจะหลับตาพักเหนื่อยสักพักหนึ่งก่อน

หลังจากเครื่องบินบินขึ้นอย่างคงที่แล้ว ไป๋ยี่เฟยก็ลืมตามองไปรอบๆ ผลสุดท้ายการมองของเขาต้องชะงักอยู่ที่เดิม

เวลานี้คนที่นั่งอยู่ข้างๆ เขา ถึงกับเป็นชายสำนักเฟยซิงคนนั้น

พึงรู้ไว้ว่าไป๋ยี่เฟยตอนนี้ผ่านการแปลงโฉมมา กลายเป็นคนอีกคนหนึ่งไปแล้ว แต่ชายสำนักเฟยซิงคนนี้ถึงกับยังจำเขาได้!

นี่แสดงถึงอะไร?

นี่แสดงว่าเจ้าหมอนี่ต้องเป็นคนที่หยุนอิงจัดแจงให้มาที่นี่อย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นเขาจะจำตนเองได้ยังไง แถมยังบังเอิญนั่งอยู่ข้างกันอีกต่างหาก?

ชายคนนั้นเห็นไป๋ยี่เฟยลืมตาแล้ว ก็พูดกับเขายิ้มๆ ว่า “คุณตื่นแล้วเหรอ?”

ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่

ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่

ลูกเขยแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงที่ถูกคนอื่นหัวเราะเยาะ ตัวตนที่แท้จริงของเขาคือ……

Comment

Options

not work with dark mode
Reset