คนเหล่านั้นของนายหญิงเจิ้งล้วนฟังคำพูดของเจิ้งซง ดังนั้นคนผู้นี้เป็นใครไม่ต้องพูดก็เป็นที่เข้าใจได้
ไป๋ยี่เฟยยืนขึ้นทันที เดินไปยังตระกูลเจิ้งด้วยสีหน้ามืดครึ้ม
……
วันนี้เป็นวันแต่งงานของบุตรสาวตระกูลเจิ้ง
ในบ้านใหญ่ไปจนถึงด้านนอกล้วนติดอักษรมงคลสีแดงขนาดใหญ่เต็มไปหมด แต่ละคนเดินเข้าๆ ออกๆ ไม่มีว่างเว้น
เมื่อทำงานอยู่ด้วยกัน ย่อมจะพูดคุยสัพเพเหระกัน
“คิดไม่ถึงว่าคุณหนูรองจะแต่งงานทั้งแบบนี้!”
“นั่นนะสิ แถมยังแต่งให้กับคนแก่คนหนึ่งด้วย อายุเกือบเท่าเจ้าบ้านของเราเลยมั้ง?”
“ชู่ อย่าพูดแบบนี้!”
เจิ้งซงที่อยู่ชั้นบนสุดของบ้านใหญ่ตระกูลเจิ้ง มองผ่านหน้าต่างมายังลานกว้างที่อยู่ด้านนอกอาคาร เห็นคนมากมายตกแต่งสถานที่กันยุ่งวุ่นวายไปหมด ในแววตาเผยความรู้สึกอาลัยอาวรณ์และทอดถอนใจออกมา
ที่เขาอาลัยอาวรณ์ไม่ใช่เพราะวันนี้ลูกสาวตัวเองแต่งงาน เพราะอย่างไรพิธีแต่งงานวันนี้ก็ไม่ใช่เรื่องจริง ดังนั้นที่เขาอาลัยอาวรณ์เป็นเพราะสุดท้ายแล้วต้องมีสักวันที่ลูกสาวแต่งงาน
นายหญิงเจิ้งเองก็มาแล้วเช่นกัน เดินเข้ามายืนอยู่ข้างๆ เขาในใจก็อาลัยอาวรณ์มากเช่นกัน ทั้งยังมีความไม่ยินยอมอยู่เล็กน้อย “ฉันพูดจริงๆ นะ ไม่ใคร่ครวญดูอีกหน่อยเหรอ?”
“นั่นคือลูกสาวคนเดียวของเราเชียวนะ คุณตัดใจยกเธอให้แต่งงานกับ……คนที่อายุมากขนาดนั้นจริงๆ เหรอ?”
เจิ้งซงหันหน้าไปมองนายหญิงเจิ้งแวบหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “ที่รัก นี่มันเป็นเรื่องหลอก”
“หา?” นายหญิงเจิ้งพลันมึนงงไปทันที
เจิ้งซงพูดอีกว่า “เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องหลอก เป็นการแสดง”
นายหญิงเจิ้งชะงักไปเล็กน้อย “ความหมายของคุณคือ……”
เจิ้งซงถอนหายใจแล้วพูดขึ้นว่า “หลังจากที่คนหนานเหมินพวกนั้นมาหลันเต่า คนที่เขาติดต่อคนแรกสุดก็คือฉัน พวกเขาหมายตาความรุ่งเรืองของเขตที่สอง คิดจะให้ฉันเป็นหุ่นเชิดของพวกเขา”
“หากฉันยกลูกสาวให้แต่งกับพวกเขา อย่างนั้นฉันก็กลายเป็นนักโทษแล้ว!”
นายหญิงเจิ้งเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดีไปชั่วขณะ
การแต่งงานถึงกับเป็นเรื่องหลอก!
เพียงเพื่อเป็นข้ออ้างในการขวางความเกี่ยวดองกับหนานเหมินไว้!
จู่ๆ นายหญิงเจิ้งก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ทว่าจู่ๆ เจิ้งซงก็เอ่ยขึ้นมาว่า “แต่ฉันรู้สึกว่าสวีลั่งคนนี้ไม่ธรรมดา เมื่อวานให้คนไปสืบเขา กลายเป็นว่าสืบอะไรไม่ได้เลย”
นายหญิงเจิ้งได้ยินเช่นนี้กลับไม่ได้สนใจ “ตรงนี้คุณวางใจ ฉันเคยทดสอบดูแล้ว ฝีมือเขาอย่างมากก็แค่ระดับที่สี่”
เจิ้งซงยังคงส่ายหน้า เขาคิดถึงประโยคสุดท้ายที่ไป๋ยี่เฟยพูดเมื่อวานว่ามีนัยยะแอบแฝงอยู่จริงๆ แต่เขายังไม่ค่อยแน่ใจนัก
ดังนั้นเจิ้งซงจึงกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ทำอะไรก็ระวังหน่อย คนคนนี้ดูเยือกเย็นเกินไป”
พอพูดมาถึงตรงนี้ นายหญิงเจิ้งจึงพยักหน้า “แน่นอน”
ในเวลานี้เอง จู่ๆ พี่สะใภ้ของเจิ้งหยู่ยานก็ผลักประตูเปิด วิ่งเข้ามาอย่างร้อนอกร้อนใจก่อนจะพูดว่า “คุณพ่อ คุณแม่ พี่ส้าวหายตัวไป!”
พี่ส้าวที่เธอเรียก ก็คือพี่ชายแท้ๆ ของเจิ้งหยู่ยาน เจิ้งส้าว
นายหญิงเจิ้งเห็นเธอมีท่าทางร้อนรนสูญเสียกิริยาเช่นนี้ ก็อดตำหนิขึ้นมาไม่ได้ว่า “ร้อนรนอะไรขนาดนั้น ตัวเขายังจะหายไปที่บ้านตัวเองได้อีกเหรอ?”
พี่สะใภ้เจิ้งหยู่ยานเอ่ยขึ้นอย่างร้อนใจจริงๆ “คุณแม่ คุณก็รู้ว่าพี่ส้าวให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์มาตลอด แต่วันนี้แม้แต่เสื้อผ้ายังไม่เปลี่ยนก็หายตัวไปแล้ว”
เจิ้งซงได้ยินเช่นนี้ ก็อดเลิกคิ้วขึ้นมาไม่ได้
ในเวลานี้เอง จู่ๆ ก็มีเสียงกึกก้องดังเข้ามา
“โครม!”
“พลั่ก!”
พวกเจิ้งซงรีบมองไปทางนอกหน้าต่างอย่างรวดเร็ว
จู่ๆ คนจากหนานเหมินกลุ่มหนึ่งก็มาปรากฏตัวที่ใต้บ้านใหญ่ตระกูลเจิ้ง พวกเขารื้อของตกแต่งสถานที่เหล่านั้นลงมาหมด แถมยังเตะคนที่ทำหน้าที่ตกแต่งเหล่านั้นลงไปนอนกองกับพื้น
และมีคนที่สะดุดตามากคนหนึ่งยืนตะโกนด่าเสียงดังอยู่ที่ลานกว้างใต้อาคาร
เจิ้งซงกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “สุดท้ายก็ยังมาจนได้”
นายหญิงเจิ้งก็มีสีหน้าท่าทางเคร่งขรึมขึ้นมาบ้างแล้วเช่นกัน “คุณคะ ฉันจะไปพาคนมาไล่พวกเขาไป”
เจิ้งซงส่ายหน้าพลางพูดว่า “ไปด้วยกันเถอะ พวกเขาพุ่งเป้ามาที่ฉัน”
……
พวกเจิ้งซงลงมาชั้นล่าง มาหยุดอยู่ที่ลานกว้าง
หลังลงมาก็มองเห็นชายที่ร้องตะโกนอยู่บนลานกว้างได้ชัดขึ้นแล้ว ดูจากอายุน่าจะประมาณยี่สิบกว่าปี แต่หน้าตาอัปลักษณ์
“เจิ้งซง แกดูแคลนฐานะท่านชายสามแห่งหนานเหมินอย่างฉันใช่ไหม?”
“ฉันยอมเกี่ยวดองกับพวกแก มองเห็นค่าสัตว์เลื้อยคลานอย่างพวกแก พวกแกถึงกับยังกล้าตบตาพวกเรา คิดว่าพวกเราเป็นคนโง่ใช่ไหม?”
“ต้องการแต่งงานนักใช่ไหม?”
“งั้นแกก็เรียกว่าที่เจ้าบ่าวของลูกสาวแกมาให้ฉัน ตามกฎของหนานเหมินเรา ให้เขามาต่อสู้ตัดสินกับฉัน คอยดูฉันจะอัดเขาจนฟันร่วงหมดปาก!”
พอได้ยินเช่นนี้นายหญิงเจิ้งสีหน้าพลันไม่สู้ดีขึ้นมาทันที นอกจากกังวลถึงถ้อยคำดูถูกของพวกเขาแล้ว ยังกังวลถึงไป๋ยี่เฟยด้วย “คุณคะ คนเหล่านี้ขั้นต่ำสุดก็เป็นยอดฝีมือระดับที่สามแล้ว!”
“คนที่ตะโกนเรียกอยู่นั่นก็เป็นยอดฝีมือระดับที่หนึ่ง นี่จะเทียบกันได้ยังไง?”
เวลานี้ เจิ้งหยู่ยานได้ยินถึงการเคลื่อนไหวก็วิ่งออกมาเช่นกัน “คุณพ่อ เกิดเรื่องอะไรขึ้นคะ?”
หลังเจิ้งซงออกมา ที่ด้านหลังยังตามมาด้วยบอดี้การ์ดกลุ่มใหญ่ มีคนมากมาย พริบตาก็ดึงดูดความสนใจของผู้คน
ชายหน้าตาอัปลักษณ์คนนั้น พอเคลื่อนสายตามองเห็นเจิ้งซง ก็ยิ้มอย่างเหยียดหยามออกมา พลางถามว่า “แกก็คือเจิ้งซง?”
“สามหาว แกเป็นตัวอะไรกัน ถึงกับกล้า……” ที่ข้างกายเจิ้งซงมียอดฝีมือระดับที่สามคนหนึ่ง เดินออกมาปกป้องเขาโดยสัญชาตญาณ เพียงแต่ยังไม่ทันพูดจบ ก็ได้ยินเสียงแหวกสายลมดังขึ้นมา
“ฟึบ!”
ความเร็วสายหนึ่งที่ทำให้คนมองเห็นเงาร่างไม่ชัด วิ่งออกมาจากในกลุ่มคนที่อยู่ทางฝั่งของหนานเหมิน พริบตาก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าคนผู้นี้ จากนั้นก็มีเท้าข้างหนึ่งเตะไปที่ช่องท้องของเขา
“พลั่ก!”
“อั่ก!”
ยอดฝีมือระดับสามคนนั้นไม่ได้ตั้งตัวโดยสิ้นเชิง ก็ถูกเตะกระเด็นออกไปทันที ทั้งยังกระอักเลือดออกมาคำโต
การเคลื่อนไหวที่มาอย่างกะทันหันเช่นนี้ทำให้คนทั้งหมดทำสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา
พวกบอดี้การ์ดของเจิ้งซงรีบล้อมวงกันปกป้องพวกเขาไว้
คนหนานเหมินที่ลงมือคนนั้นมองพวกเขาแล้วเย้ยหยันว่า “อาศัยแค่สัตว์เลื้อยคลานตัวเล็กๆ อย่างพวกแก ยังกล้ามาเอะอะโวยวายต่อหน้าท่านชายสามของเราอีกหรือ?”
เจิ้งซงผลักบอดี้การ์ดตรงหน้าออก มองชายอัปลักษณ์คนนั้นแล้วพูดว่า “นายคือจีเอร์ท่านชายสามแห่งหนานเหมิน?”
ท่านชายสามแห่งหนานเหมือนที่ชื่อว่าจีเอร์คนนี้ ก็คือคู่หมายของเจิ้งหยู่ยานก่อนหน้านี้
ตอนนี้จีเอร์ไม่มองเจิ้งซงโดยสิ้นเชิง แต่จ้องเจิ้งหยู่ยานตาไม่กะพริบแทน
อยู่ที่หนานเหมินเหตุเพราะเขตพื้นที่และสภาพดินฟ้าอากาศ คนส่วนใหญ่จึงล้วนมีสีผิวออกดำ ดังนั้นตอนที่เห็นเจิ้งหยู่ยานที่ทั้งขาวและมีน้ำมีนวล จึงแทบน้ำลายหก
เจิ้งซงเห็นสายตาหยาบคายของเขาก็ขมวดคิ้ว ขวางเจิ้งหยู่ยานไว้ที่ด้านหลังของตนเอง จากนั้นก็เอ่ยขึ้นเสียงดังว่า “ขอโทษด้วย คุณชายจีเอร์ ลูกสาวมีคู่หมายแล้ว ตระกูลเจิ้งเราไม่ขออาจเอื้อม”
จีเอร์ไม่อาจมองเจิ้งหยู่ยานได้อีก จึงค่อยชักสายตากลับมา ก่อนจะเย้ยหยันออกมาว่า “ได้สิ ให้ว่าที่เจ้าบ่าวของเธอออกมา พวกเรามาสู้ตัดสินกัน!”
เจิ้งซงหน้าขรึมลง โดยไม่รอให้เขาเอ่ยปาก จีเอร์ก็แสยะยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “ที่หนานเหมินของเราแก้ปัญหาเช่นนี้มาตลอด เพราะอย่างไรคนอ่อนแอก็ไม่มีสิทธิ์ได้ครอบครองผู้หญิง!”
พอคนตระกูลเจิ้งได้ยินคำพูดอวดดีของเขา แต่ละคนก็โกรธแค้นถึงขีดสุด
แต่พวกเขาไม่อาจทำอะไรได้อีก เพราะอย่างไรพวกนั้นแต่ละคนก็มีฝีมือแข็งแกร่ง พวกเขาดูถูกไม่ได้โดยสิ้นเชิง
เจิ้งซงสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วพูดว่า “ที่นี่เป็นแผ่นดินใหญ่ภาคเหนือ ไม่ใช่แผ่นดินใหญ่ภาคใต้ของพวกคุณ ในเมื่อพวกคุณมาแล้ว ก็ควรทำเรื่องต่างๆ ตามกฎเกณฑ์ของแผ่นดินใหญ่ภาคเหนือเรา”
จีเอร์กลับยิ้มเย็น กล่าวขึ้นอย่างอวดดีเป็นที่สุดว่า “นี่มันเกี่ยวอะไร อีกไม่นานที่นี่ก็จะเป็นดินแดนของแผ่นดินใหญ่ภาคใต้ของเราแล้ว!”
“อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังไม่ใช่!” เจิ้งซงกล่าวขึ้นอย่างเย็นชา “ดังนั้น โปรดกลับไปซะ!”
บอดี้การ์ดคนหนึ่งรีบเดินขึ้นหน้าผายมือข้างหนึ่งออกมาแล้วกล่าวว่า “เชิญ!”
จีเอร์มองบอดี้การ์ดคนนั้นพลางยิ้มเย็น ทั้งยังเดินไปหยุดตรงหน้าเขา ตบไหล่เขาแล้วพูดว่า “อาศัยอะไรที่ฉันต้องฟังแกด้วย?”
บอดี้การ์ดคนนั้นรู้สึกผิดปกติ สีหน้าเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงพร้อมกับถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว