ไป๋ยี่เฟยมองเมิ่งเจียที่สั่นไปทั้งตัวแวบหนึ่ง กล่าวเสียงเรียบว่า “หวังว่าเธอจะเข้าใจมันจริงๆ”
หลังพูดจบเขาก็เปลี่ยนเป็นพูดว่า “รีบไปเถอะ อย่าบอกเรื่องในวันนี้กับใคร ไม่อย่างนั้นแม้แต่นายหญิงของเธอก็ปกป้องเธอไม่ได้”
……
หลังจากกลับไป ไป๋ยี่เฟยก็ส่งขนมให้หลิวเสี่ยวอิง ส่วนตนเองก็นั่งครุ่นคิดอยู่ข้างเตียง
ท่าทีของพวกหนานเหมินที่มีต่อเจิ้งซงดียิ่ง ไม่รู้ว่าควรให้ความสำคัญกับสถานที่อย่างเขตที่สองดี หรือคนอย่างเจิ้งซงดี
แต่สำหรับในตอนนี้ คนเหล่านั้นยังไม่ได้ย้ายเข้ามาในเขตที่สองแสดงว่าเจิ้งซงไม่ได้รับปากเงื่อนไขของพวกเขา และแสดงว่าเจิ้งซงคนนี้ยังไม่ได้สมคบคิดกับศัตรู ตรงจุดนี้กลับคุ้มค่าให้มั่นใจได้
เพียงแต่ในคำบอกเล่าของเมิ่งเจียเหมือนจะมีความคิดเห็นต่อเรื่องนี้
ไม่ว่าไป๋ยี่เฟยถามอะไรเธอก็ตอบแบบนั้น เช่นนี้เห็นทีแม้เมิ่งเจียจะเป็นบอดี้การ์ดของตระกูลเจิ้ง แต่ก็ไม่มีความภักดีใดๆ ต่อตระกูลเจิ้ง
เพราะตอนนี้เจิ้งซงยังไม่ได้ตอบรับเงื่อนไขของหนานเหมิน เมิ่งเจียก็เกิดความคิดเห็นต่อเรื่องนี้แล้ว
ดังนั้นไป๋ยี่เฟยจึงมีใจคิดอยากจะเข่นฆ่าขึ้นมา
แต่สุดท้ายก็แค่กล่าวเตือนเธอไปประโยคเดียว
เจิ้งซงรีบร้อนต้องการให้เจิ้งหยู่ยานแต่งออกไปขนาดนี้ ถึงขึ้นเห็นด้วยกับการให้ตนแสร้งทำตัวเป็นว่าที่เจ้าบ่าว นี่อาจจะเกี่ยวข้องกับบางอย่าง แต่ในด้านรูปธรรมเกิดอะไรขึ้น มีเพียงต้องสืบหาต่อไป
โดยเมิ่งเจียบอกว่าพรุ่งนี้จะมีแขกคนสำคัญมาเยี่ยม ทั้งยังต้องการให้ตนหายไป คิดว่าคงจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเจิ้งหยู่ยาน
“หรือว่าจะเป็นคนของสำนักหนานเหมิน?” ไป๋ยี่เฟยคาดเดา
หลิวเสี่ยวอิงกำลังกินขนมอยู่ หลังได้ยินคำพูดของไป๋ยี่เฟยก็ชะงักไป “หา?”
ไป๋ยี่เฟยส่ายหน้าพลางพูดว่า “อืม ไม่มีอะไร จริงสิ ตอนนี้พวกเรารีบนอนเถอะ ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้อาจจะได้เจอคนที่พวกเราตามหา”
“คุณ……” จู่ๆ หลิวเสี่ยวอิงก็ยืนขึ้นมากะทันหัน หันหลังให้ไป๋ยี่เฟยอย่างเขินอาย “คุณพูดอะไรนะ?”
ไป๋ยี่เฟยเห็นท่าทางเช่นนี้ของเธอก็ชะงักไป พร้อมกับที่ตนก็ได้สติคืนมา จะรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาเล็กน้อย
……
ภายในห้องมีเตียงเพียงสองหลัง
อู๋เฉียงครอบครองเตียงหลังหนึ่งไปแล้ว เตียงหนึ่งหลังที่เหลือ ไป๋ยี่เฟยยกให้หลิวเสี่ยวอิง
ส่วนตนย้ายเก้าอี้ยาวสองตัวมาต่อกันแล้วหลับไปบนนั้น
แต่ตอนกลางดึก เขาฝันถึงเรื่องหนึ่ง
เขาฝันว่าตนเองนอนอยู่บนเตียง และมีหลิวเสี่ยวอิงนอนอยู่ข้างๆ เขา
ไป๋ยี่เฟยพลันกลั้นหายใจทันที เขาไม่รู้ว่าทำไมเขามานอนอยู่ข้างกายหลิวเสี่ยวอิงได้ และหลิวเสี่ยวอิงกำลังใช้มือเท้ากอดก่ายเขาอยู่
เขาคิดจะทำให้ตนเองได้สติขึ้นมา แต่ร่างกายที่อ่อนนุ่มของหลิวเสี่ยวอิงคลอเคลียอยู่บนตัวเขา กลิ่นหอมเฉพาะตัวของหลิวเสี่ยวอิง ลอยเข้าจมูกเขา
เขาค่อยๆ ลังเลขึ้นมา
ลังเลไปลังเลมา มือเขาก็ค่อยๆ กอดหลิวเสี่ยวอิงไว้อย่างช้าๆ
ชั่วขณะที่กอดไว้อยู่นั้น เขาก็รีบปล่อยมือทันที
ไม่ได้ ทำไม่ได้ เขาไม่อาจทำเรื่องที่ผิดต่อเสว่เอ๋อ และไม่อาจทำให้เสี่ยวอิงเข้าใจผิดได้อีก
ในเวลานี้เอง จู่ๆ บนริมฝีปากก็สัมผัสได้ถึงความอ่อนนุ่มที่เคลื่อนเข้ามา
ไป๋ยี่เฟยเบิกตากว้างทันที หลังสูดลมหายใจเข้าอยู่สองสามครั้ง เขาก็ทนไม่ไหวอีกจึงกอดหลิวเสี่ยวอิงแล้วบดจูบอย่างบ้าคลั่ง
มือเขาค่อยๆ ยื่นเข้าไปในเสื้อของเธอ……
“โครม!”
ไป๋ยี่เฟยพลิกตัวตกลงไปบนพื้น พร้อมกับตื่นขึ้นมา
เขานั่งอยู่บนพื้นสักพัก พลันได้สติขึ้นมาว่าตนเองได้ฝันไป
เขาหันหน้าไปมองหลิวเสี่ยวอิงทันที พบว่าหลิวเสี่ยวอิงยังหลับอยู่บนเตียงอย่างปลอดภัย
พร้อมกับที่เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในใจก็ไม่อาจสงบได้อยู่นาน
เสี่ยวอิง ฉันขอโทษ
ไป๋ยี่เฟยแสดงความรู้สึกผิดกับตัวเองอยู่ในใจอย่างเงียบๆ
แม้นี่จะเป็นแค่ความฝันฉากหนึ่ง แต่เขายังคงหยาบคายกับหลิวเสี่ยวอิงอยู่ดี ในใจจึงรู้สึกละอายอย่างมาก
ไป๋ยี่เฟยยืนขึ้นมาอย่างแผ่วเบา เดินออกไปนอกห้อง หลังจากล้างหน้าอย่างง่ายๆ ก็เดินออกไปจากสถานีเก็บเศษเหล็ก
เวลานี้เอง หลิวเสี่ยวอิงก็ลืมตาขึ้น แย้มยิ้มกับปากประตู
อันที่จริงเมื่อกี้เธอตื่นแล้ว เพียงแต่แสร้งหลับเท่านั้นเอง
เธอคิดถึงคืนวันนั้น หลี่เฉียงตงบอกว่า “มีผู้หญิงมากกว่าหนึ่งคนก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร”
ตอนที่หลี่เสว่คลอดลูก หลี่เสว่บอกว่า “เสี่ยวอิง พวกเราถูกลิขิตไว้ว่าจะมีคนใดคนหนึ่งได้รับอันตราย แต่พวกเราคือพี่น้องที่ดีต่อกัน ไม่มีใครต้องการเห็นอีกฝ่ายได้รับอันตราย”
“ดังนั้น ฉันอยากถามอีกครั้ง เธอสนใจจะใช้สถานะร่วมกันไหม?”
ต่อมาเพราะเริ่มทำการผ่าตัด คำถามนี้จึงตกไป
แต่พวกเธอต่างเข้าใจความหมายของอีกฝ่าย
หลิวเสี่ยวอิงตื้นตันใจมากกับเรื่องนี้ หลี่เสว่สามารถทำได้ถึงขั้นนี้ ขนาดเธอเองก็ยังคิดไม่ถึง ขณะเดียวกันในใจเธอก็ไม่แน่ใจเช่นกัน
เพราะว่าเธอไม่รู้เลยว่าในใจไป๋ยี่เฟยเคยชอบเธอบ้างหรือไม่
ดังนั้นเธอจึงยืนกรานมาตลอดที่จะไปถามไป๋ยี่เฟยเพื่อเอาคำตอบ หลังจากรู้แล้ว เธอก็ดีใจทั้งน้ำตา
……
หลิวเสี่ยวอิงตื่นขึ้นมาเพิ่งจะล้างหน้าล้างตาเสร็จ จู่ๆ ประตูของสถานีเก็บเศษเหล็กก็ถูกเปิดออก
หลิวเสี่ยวอิงหันไปมอง เป็นผู้หญิงที่เธอไม่รู้จัก แต่เธอรู้สึกถึงภัยคุกคาม จึงรีบไปคว้ากระเป๋าตัวเองไว้ทันที
และคนที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าประตูก็คือเมิ่งเจียนั่นเอง
เมิ่งเจียลงมืออย่างรวดเร็ว เข็มเงินสามเล่มพลันแทงลงบนกระเป๋าของหลิวเสี่ยวอิงทันที
หลิวเสี่ยวอิงได้แต่ชักมือกลับ ทางหนึ่งถอยหลังทางหนึ่งถามอย่างระแวดระวังว่า “เธอเป็นใคร?”
เมิ่งเจียไม่ตอบ เพียงแค่เคลื่อนตัวไปด้านข้าง มีชายอีกคนหนึ่งเดินมาจากด้านหลังของเธอ ก่อนจะมองหลิวเสี่ยวอิงแล้วพูดว่า “เจ้าสวีลั่งคนนี้กินอยู่ในชามแล้วยังจะมองในหม้ออีก ถึงกับยังซ่อนไว้อีกคน!”
……
ไป๋ยี่เฟยมาถึงตระกูลเจิ้งเพียงคนเดียว โดยบอกกับบอดี้การ์ดที่เฝ้าอยู่หน้าประตูว่าต้องการมาหาเจิ้งหยู่ยาน
เพราะว่าเมื่อวานได้พบไป๋ยี่เฟยแล้ว จึงไม่ได้พูดอะไรมากอีก เพียงแค่ใช้วิทยุสื่อสารเพื่อรายงานเท่านั้น
ผ่านไปไม่นานเจิ้งหยู่ยานก็เดินลงมา หลังจากวิ่งมาหาแล้วก็ยังคล้องแขนไป๋ยี่เฟยไว้ กล่าวขึ้นอย่างดีใจเหลือเกินว่า “อาลั่ง คุณมาแล้ว”
ไป๋ยี่เฟยเห็นท่าทางตื่นเต้นของเธอ ก็ตอบเสียงเรียบว่า “คุณทำแบบนี้ นึกว่าพวกเราเป็นกันจริงๆ เสียอีก”
เจิ้งหยู่ยานกล่าวยิ้มๆ ว่า “ไอ้หยา แสดงละครสิ แน่นอนว่าต้องแสดงให้สมบทบาท อีกทั้งฉันยังคิดจะบอกบางอย่างกับคุณด้วย มหัศจรรย์มากจริงๆ
พูดพลางก็ลากไป๋ยี่เฟยเดินเข้าไปข้างในพลาง “ไป พาคุณไปเดินชมบ้านเราก่อน”
ตอนที่เดินไปหยุดอยู่หน้าประตูลิฟท์ ประตูลิฟท์เปิดออกก็พบกับมารดาของเจิ้งหยู่ยาน
พอนายหญิงเจิ้งเห็นคนทั้งสองก็ทำหน้าขรึมทันที “ปล่อยมือเดี๋ยวนี้!”
เจิ้งหยู่ยานจึงรีบปล่อยไป๋ยี่เฟยอย่างรวดเร็วเป็นพิเศษ แถมยังเอามือตัวเองไพล่ไว้ด้านหลัง ก่อนจะเรียกอย่างเกรงใจเล็กน้อยว่า “คุณแม่”
นายหญิงเจิ้งตำหนิเสียงเย็นว่า “ยังไม่ได้แต่งกันเลย อยู่ในที่มีคนมากมาย ไม่รู้จักรักษาระยะห่างกันบ้าง ไม่กลัวขายหน้าเลยใช่ไหม?”
เจิ้งหยู่ยานมองแม่ของเธอ ไม่กล้าพูดอะไร
นายหญิงเจิ้งทำสีหน้าเข้มงวด ทั้งยังใช้นิ้วจิ้มหน้าผากของเจิ้งหยู่ยาน “แกนี่จริงๆ เลย……แต่ละวันคอยแต่จะทำให้ฉันโกรธแทบตายอยู่แล้ว!”
“แม่~” เจิ้งหยู่ยานดึงมือนายหญิงเจิ้งแกว่งไปมา
นายหญิงเจิ้งแค่นเสียง จากนั้นก็หันหน้าไปมองไป๋ยี่เฟย “สวีลั่ง เธอตามฉันมานี่!”
พอจบก็กล่าวกับเจิ้งหยู่ยานอีกว่า “แกยืนรออยู่ตรงนี้ ห้ามหนีไปไหน”
พอไป๋ยี่เฟยได้ยินเช่นนี้ ก็ขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว เขารู้สึกราวกับเด็กที่ทำผิดอยู่บ้าง
เพราะว่านายหญิงเจิ้งเห็นว่าตนเองยังไม่ตาย ถึงกับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
ไป๋ยี่เฟยคิดไม่ตก ได้แต่ตามนายหญิงเจิ้งไปจนมาหยุดอยู่ตรงห้องกว้างโล่งห้องหนึ่ง พอเดินเข้าไปนายหญิงเจิ้งก็เอ่ยขึ้นเสียงเย็นว่า “พูดมา ต้องการเงินเท่าไหร่?”
ไป๋ยี่เฟยมองเธออย่างแปลกใจ “คุณน้า นี่คุณหมายความว่าอย่างไรครับ?”
“คุณน้า” นายหญิงเจิ้งหัวเราะเสียงเย็น “นายยังมีหน้าเรียกออกมาอีกเหรอ?”
ดูจากอายุเพียงอย่างเดียว บางทีไป๋ยี่เฟยในตอนนี้อาจจะแก่กว่านายหญิงเจิ้งหลายปีเสียด้วยซ้ำ ยิ่งไปกว่านั้นนายหญิงเจิ้งดูแลตัวเองอย่างดีมาก ดูอ่อนวัยเพิ่มมากขึ้น