ไป๋ยี่เฟยเห็นแล้วก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจมากขึ้น ในใจจึงไม่สงบเป็นอย่างมาก “เสี่ยวอิง พวกเรามาพูดคุยกันดีๆ เถอะ”
“แต่ ฉันหิวแล้ว” หลิวเสี่ยวอิงพูด
ไป๋ยี่เฟยเห็นเช่นนี้ก็ได้แต่พูดว่า “งั้นฉันไปซื้อของกินก่อน”
หลังพูดจบไป๋ยี่เฟยก็เดินออกมาจากสถานีเก็บเศษเหล็ก
ถนนเส้นนี้อยู่ในบริเวณชานเมือง สองข้างทางไม่มีร้านรวงเท่าไหร่นัก เขาจำได้ว่าถนนเส้นข้างๆ ดูเหมือนจะมีร้านขายขนมโดยเฉพาะอยู่ร้านหนึ่ง
เพียงแต่เขาเพิ่งจะเดินทะลุถนนเส้นนี้ไปก็ต้องหยุดเดินกะทันหัน จากนั้นก็เอ่ยขึ้นเสียงเรียบว่า “ไม่ต้องตามแล้ว ออกมาเถอะ”
ตอนที่เขาออกมาจากตระกูลเจิ้ง ก็รู้สึกได้ว่ามีคนกำลังตามเขาอยู่ แต่เพื่อไม่เปิดโปงตัวเองเขาจึงแสร้งทำเป็นไม่รู้ตัว
แต่ตอนนี้สถานที่แห่งนี้เปลี่ยวร้าง ทั้งรอบๆ ก็ยังปลอดคน จึงไม่ต้องพะว้าพะวังมากขนาดนั้นอีก
ไป๋ยี่เฟยรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นยอดฝีมือระดับที่สองชั้นต่ำ ในหลันเต่ามียอดฝีมือระดับที่สองไม่มากนัก แต่เขตที่สองดูเหมือนจะยังอีกหลายคน
จากนั้นก็มีผู้หญิงรูปร่างเซ็กซี่คนหนึ่งเดินออกมาจากหัวโค้งถนนน
หญิงสาวจ้องมองสำรวจไป๋ยี่เฟยขึ้นลงแวบหนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเย็นว่า “ไม่ใช่คนธรรมดาอย่างที่คิดจริงๆ”
หญิงสาวมีรูปร่างที่เซ็กซี่มาก แต่หน้าตากลับธรรมดายิ่ง เธอสวมชุดหนังที่ขับเน้นรูปร่างให้เด่นชัดมากยิ่งขึ้น
แต่เธอมองระดับที่แท้จริงของไป๋ยี่เฟยไม่ออกโดยสิ้นเชิง อีกทั้งหญิงสาวรู้ว่ายอดฝีมือระดับที่สองของเขตที่สองล้วนอยู่ในตระกูลเจิ้งทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นไป๋ยี่เฟยจะต้องไม่ใช่ยอดฝีมือที่เหนือกว่าระดับที่สองอย่างแน่นอน
ดังนั้นเธอจึงมองว่าไป๋ยี่เฟยอาจจะเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธระดับที่สามหรือสี่คนหนึ่งเท่านั้น
ไป๋ยี่เฟยหมุนกายมองเธอพลางถามเรียบๆ ว่า “เธอเป็นคนของใคร?”
หญิงสาวได้ยินเช่นนี้ สีหน้าก็พลันเย็นชาขึ้น “แกนับเป็นตัวอะไร? ถึงกับกล้ามาถามฉันแบบนี้?”
ไป๋ยี่เฟยเห็นเช่นนี้ ก็อดพูดยิ้มๆ ออกมาไม่ได้ “อย่างนั้นฉันจะเปลี่ยนคำพูดแล้วกัน ไม่ทราบว่าใครเป็นคนส่งคุณมา?”
หญิงสาวคิดไม่ถึงว่าไป๋ยี่เฟยยังจะพูดเช่นนี้ได้อีก สีหน้าจึงมีแววเคร่งเครียดสายหนึ่งวาบผ่าน จากนั้นก็แค่นเสียงเย็นชาว่า “ฉันคิดว่าแกควรจะห่วงว่าฉันจะมาฆ่าแกมากกว่าหรือเปล่า”
ไป๋ยี่เฟยกลับกล่าวขึ้นอย่างเรียบเฉยว่า “เอาล่ะ ฉันรู้แล้ว งั้นเธอคงจะเป็นคนที่เจิ้งหมิงส่งมาสินะ”
หญิงสาวชะงักไปทันที จากนั้นสีหน้าก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ “คนอย่างแกหลงตัวเองเกินไปหน่อยหรือเปล่า? แกนึกว่าแกเป็นใคร? แล้วก็ยังมี แกไม่ควรห่วงสถานการณ์ในตอนนี้หน่อยหรือ?”
ไป๋ยี่เฟยพูดอย่างไม่ยี่หระเลยสักนิดว่า “สถานการณ์ของฉันในตอนนี้ก็คือ ฉันต้องไปซื้อขนมมากิน ดูท่าทางเธอคงจะหิวแล้วเหมือนกันใช่ไหม ทำไมไม่ให้ฉันเลี้ยงขนมเธอล่ะ?”
“แก……” หญิงสาวโกรธแล้ว “อย่ามาทำเป็นแกล้งโง่กับฉัน!”
หลังพูดจบก็ยื่นมือมาตั้งท่าจะตบ
แต่มือของเธอกลับหยุดอยู่กลางอากาศ
ไป๋ยี่เฟยไม่ได้จับข้อมือของเธอ แต่เป็นบีบที่ลำคอของเธอแทน
หญิงสาวมองการเคลื่อนไหวของไป๋ยี่เฟยไม่ชัดเจนโดยสิ้นเชิง จึงถูกไป๋ยี่เฟยกุมชะตาชีวิตเอาไว้ได้
หญิงสาวตกตะลึง
ไป๋ยี่เฟยมองเธอก่อนจะถามเสียงเรียบว่า “ใครโง่กันแน่?”
หญิงสาวกัดฟันกรอด ในใจไม่ยินยอมเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นก็ขยับมืออีกข้างหนึ่งเล็กน้อย
พร้อมกับเกิดเสียงเบามากดังขึ้นสองสามเสียง
“ฟิ้วๆๆ ……”
เข็มเงินสองสามเล่มพุ่งออกมา
คนทั้งสองอยู่ใกล้กันมาก ต่อให้เป็นยอดฝีมือระดับที่สองก็ยากจะหลบพ้น
แต่ไป๋ยี่เฟยกลับโบกมือเบาๆ ทีหนึ่ง เข็มเหล่านั้นก็เปลี่ยนทิศทางยิงลงไปที่พื้นแทน
หญิงสาวมองการเคลื่อนไหวนี้ของไป๋ยี่เฟยด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“แก……แกเป็นระดับที่สองชั้นสูง?”
เวลานี้ในที่สุดเธอก็เผยสีหน้าอันหวาดกลัวออกมา ไม่ใช่หยิ่งยโสเหมือนก่อนหน้านี้อีก
ไป๋ยี่เฟยมองเธอพลางหัวเราะเสียงเย็นชา จากนั้นก็ปล่อยมือก่อนจะพูดว่า “ในเมื่อรู้แล้ว งั้นก็อย่าคิดหนีเชียว ไม่อย่างนั้นเธอตายแน่”
พอหญิงสาวได้ยินเช่นนี้ก็ตัวสั่นระริก
ไป๋ยี่เฟยเป็นยอดฝีมือระดับที่สองชั้นสูง เธอจะกล้าหนีได้ยังไง?
หญิงสาวพูดอย่างลนลานว่า “ขอ……ขอโทษ ฉัน……ฉัน……”
ไป๋ยี่เฟยกลับไม่ได้สนใจเธอ แต่เดินไปที่ร้านขนมแทน
หญิงสาวเห็นเช่นนี้ก็ลังเลไปชั่วขณะ สุดท้ายยังคงไม่ได้เดินตามไป
แต่หลังจากที่ไป๋ยี่เฟยซื้อขนมเดินกลับมา หญิงสาวรู้สึกว่าเธอยังคงต้องตามไปอยู่ดี
เพราะอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นยอดฝีมือระดับที่สองชั้นสูง เธอหนีไม่พ้นโดยสิ้นเชิง
คนทั้งสองหนึ่งนำหน้าหนึ่งตามหลังเดินกลับไป จากนั้นก็มาหยุดตรงที่ที่ปลอดคน ไป๋ยี่เฟยหมุนตัวมาถามว่า “ชื่อเธอล่ะ?”
“เมิ่งเจีย”
ไป๋ยี่เฟยถามอีกว่า “ทำหน้าที่อะไรในตระกูลเจิ้ง?”
“บอดี้การ์ดข้างกายคุณหนูรอง” เมิ่งเจียตอบ
“เจิ้งหมิงส่งเธอมา?”
“ไม่ใช่” เมิ่งเจียสายหน้า “นายหญิงเป็นคนส่งฉันมา”
เธอลังเลเล็กน้อยก็กล่าวอีกว่า “คุณชายหมิงยังไม่กล้าขัดใจคุณหนูรอง”
พอได้ยินเช่นนี้ ไป๋ยี่เฟยก็เลิกคิ้ว
มารดาของเจิ้งหยู่ยานเป็นคนสั่งการ ในเรื่องนี้เขากลับไม่ได้เหนือความคาดหมายเท่าไหร่นัก ที่เหนือความคาดหมายคือเจิ้งหมิงถึงกับไม่กล้าลงมือกับตนเอง
จู่ๆ เขาก็แปลกใจอย่างมาก เจิ้งหมิงอยู่ในตระกูลเจิ้งมีสถานะเป็นอย่างไรกันแน่?
แต่ที่เขารู้สึกสนใจมากกว่ายังคงเป็นคนเหล่านั้นของสำนักหนานเหมิน
ไป๋ยี่เฟยถามเสียงเข้มลึกว่า “ระยะนี้มีคนของสำนักหนานเหมินมาที่นี่บ้างไหม? หรือกำลังติดต่อกันอยู่?”
พอสิ้นคำ เมิ่งเจียพลันเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงทันที
“คุณ……คุณรู้ได้ยังไง?”
พอได้ยินเช่นนี้ ไป๋ยี่เฟยก็ขมวดคิ้ว “แสดงว่าเธอเคยพบกันแล้ว?”
เมิ่งเจียพยักหน้าแล้วพูดว่า “ก่อนหน้าที่คุณหนูรองจะหนีการแต่งงานฉันเคยพบหนหนึ่ง”
ไป๋ยี่เฟยกล่าวเสียงเข้ม “เล่ามาให้ละเอียด!”
“ตอนนั้นหนานเหมินสองสามคนมาพบหน้าเจ้าบ้าน คิดจะร่วมมือกับเจ้าบ้าน แต่ถูกเจ้าบ้านปฏิเสธ”
“คนของหนานเหมินเสนอเงื่อนไขอย่างหนึ่งให้ตระกูล บอกว่าจะไม่บีบเจ้าบ้านให้ร่วมมือก่อนชั่วคราว โดยให้เขามองดูการเปลี่ยนแปลงอย่างสงบ รอจนฝั่งนี้สิ้นสุดสงครามแล้วค่อยทำการตัดสินใจ”
ตอนที่คนของหนานเหมินเหล่านั้นจากไป เมิ่งเจียอยู่ข้างกายนายหญิงพอดีก็เลยได้รู้
พอได้ยินเช่นนี้ไป๋ยี่เฟยก็ยิ่งขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม สำนักหนานเหมินปฏิบัติกับเขตที่หนึ่งแตกต่างกับเขตที่สองอย่างชัดเจนเกินไป
เขตที่หนึ่งย้ายเข้าบ้านใหญ่ตระกูลจางทันที เหยียดหยามได้ตามอำเภอใจ ออกคำสั่งได้ตามแต่ประสงค์ ส่วนเขตที่สองมีท่าทีดียิ่ง ขอความร่วมมือ ถึงขั้นยังเสนอเงื่อนไขให้อีกด้วย
แต่สถานะเขตที่สองก็แตกต่างจากเขตที่หนึ่งมากเช่นเดียวกัน เจิ้งซงอยู่เขตที่สองมีอำนาจบารมีสูงมาก หากคิดจะดึงเขาลงไป เกรงว่าพวกชาวเมืองเหล่านี้ของเขตที่สองคงไม่มีทางยอมแพ้เช่นกัน
หนนี้ที่พวกเขามาเขตที่สอง คนสำนักหนานเหมินได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เสียใหม่ ดูเหมือนว่าพวกเขาต้องการการสนับสนุนจากเจิ้งซง
“แล้วเธอรู้ไหมว่าคนพวกนั้นอยู่ที่ไหน?” ไป๋ยี่เฟยถาม
เมิ่งเจียส่ายหน้าพลางพูดว่า “เรื่องนี้ฉันไม่มีสิทธิ์รู้”
หลังไป๋ยี่เฟยได้ยินก็ผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็เป็นไปตามความคาดหมายเช่นกัน
แต่เมิ่งเจียพูดอีกว่า “วันนี้นายหญิงมอบหมายงานให้ฉันเป็นพิเศษ พรุ่งนี้ที่ตระกูลต้องต้อนรับแขกคนสำคัญ โดยก่อนที่แขกจะมาจำเป็นต้อง…..”
เมิ่งเจียนิ่งไปเล็กน้อย มองไป๋ยี่เฟยแวบหนึ่งอย่างระมัดระวังถึงค่อยพูดว่า “ต้องการให้คุณตาย!”
ไป๋ยี่เฟยได้ยินก็แปลกใจเล็กน้อย “ดังนั้น เธอจึงไม่ได้จะฆ่าฉันเพราะฉันคบกับเจิ้งหยู่ยาน?”
เมิ่งเจียทั้งโบกมือทั้งส่ายหน้า “เรื่องนี้ฉันไม่รู้จริงๆ”
ไป๋ยี่เฟยเห็นเช่นนี้ ก็อดพูดยิ้มๆ ไม่ได้ “เธอช่างซื่อตรงจริงๆ ถามอย่างไรก็ตอบอย่างนั้น”
เมิ่งเจียรีบตอบทันที “อยู่ต่อหน้าคุณฉันไม่กล้าโกหกหรอก”
ตอนที่เพิ่งเริ่มพบไป๋ยี่เฟย เมิ่งเจียยังหยิ่งยโสอยู่มาก ตอนนี้กลับมีสีหน้าหวาดกลัว ทำท่าทางเคารพนบนอบ
ไป๋ยี่เฟยเองก็ไม่คิดเช่นกันว่าเมิ่งเจียจะพูดคำโกหก แต่เพราะว่าเธอพูดความจริง จู่ๆ ไป๋ยี่เฟยก็มีใจคิดจะฆ่าขึ้นมา
แน่นอนว่าเป็นเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น ใจที่คิดจะเข่นฆ่านี้ก็ถูกเขากดข่มลงไป
ไป๋ยี่เฟยกล่าวเตือนอย่างเรียบเฉยว่า “คนเราต่างเคยทำผิดพลาดได้ แต่ความผิดบางอย่าง ต่อให้ตายก็ไม่อาจทำผิดได้ เข้าใจไหม?”
เมิ่งเจียถูกน้ำเสียงของไป๋ยี่เฟยทำให้ตกใจจนรีบพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ใช่ๆๆ เข้าใจแล้วๆ”