เวลานี้ จู่ๆ เจิ้งซงก็ถามขึ้นมาว่า “เขาชื่ออะไร?”
เพิ่งจะสิ้นคำพูด เจิ้งหยู่ยานก็นิ่งไปทันที แม้แต่ไป๋ยี่เฟยก็นิ่งไปด้วยเช่นกัน
ตั้งแต่ต้นจนจบเจิ้งหยู่ยานไม่เคยถามชื่อไป๋ยี่เฟยมาก่อน ไป๋ยี่เฟยเองก็ไม่ได้เป็นฝ่ายบอก
เจิ้งหยู่ยานเอ่ยปากอย่างลังเลว่า “เขาชื่อ……”
ไป๋ยี่เฟยชิงพูดออกมาเองก่อนว่า “ผมชื่อสวีลั่งครับ”
หลังพูดจบ ไป๋ยี่เฟยก็ขมวดคิ้ว
อันที่จริงตอนที่เริ่มเข้าประตูมา ไป๋ยี่เฟยก็สังเกตเห็นว่าเจิ้งซงไม่ได้เป็นคนมีวรยุทธ และภายในห้องก็ไม่มีกลิ่นอายของผู้ฝึกยุทธใดๆ
แสดงว่าไม่มีคนของสำนักหนานเหมินอยู่แถวนี้ นี่จึงทำให้ไป๋ยี่เฟยค่อนข้างจะรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง
อีกทั้งดูจากท่าทางของเจิ้งซงแล้ว ดูอย่างไรก็เป็นเพียงนักธุรกิจคนหนึ่ง ไม่เข้ากันกับหลันเต่าและทุกอย่างของที่นี่อยู่เล็กน้อย
นี่คือจุดที่ไป๋ยี่เฟยรู้สึกสงสัย
ทางด้านเจิ้งซงพอได้ยินชื่อก็พยักหน้าอย่างเรียบเฉย “แกออกไปก่อน พ่อขอคุยกับเขาหน่อย”
เจิ้งหยู่ยานรู้สึกกังวลใจขึ้นมา “พ่อ……”
“ออกไป” น้ำเสียงของเจิ้งซงเข้มขึ้นมากกว่าเดิม
เจิ้งหยู่ยานยังคงไม่กล้าขัดคำสั่งบิดาของตนเอง ก่อนจะเดินออกไปจึงได้แต่กำชับว่า “อย่างนั้นพ่ออย่ารังแกเขาล่ะ”
หลังพูดจบก็พูดกับไป๋ยี่เฟยอีกว่า “ส่วนคุณก็อย่าไปยั่วโมโหพ่อฉันล่ะ”
……
ในห้องเหลือเพียงไป๋ยี่เฟยกับเจิ้งซง
เจิ้งซงยืนขึ้นเรียกไป๋ยี่เฟยนั่งลงบนโซฟาที่อยู่อีกด้านหนึ่ง
แต่ไป๋ยี่เฟยไม่ได้นั่งลง ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นเหมือนเดิม
เจิ้งซงยกน้ำชามาก็เห็นไป๋ยี่เฟยยังยืนอยู่จึงกล่าวว่า “มานั่งนี่สิ”
ไป๋ยี่เฟยรีบตอบทันที “ผู้อาวุโสยังไม่นั่ง ผู้เยาว์ย่อมไม่กล้านั่ง”
เจิ้งซงมองไป๋ยี่เฟยแวบหนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหน้าพูดว่า “นั่งเถอะ ไม่ต้องเคร่งครัดกฎเกณฑ์ขนาดนั้น อีกทั้งอายุพวกเราก็ไม่ได้ห่างกันเท่าไหร่”
พอได้ยินเช่นนี้ ไป๋ยี่เฟยก็รู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง
หลังผ่านการแปลงโฉมจากหลิวเสี่ยวอิง เขาก็กลายเป็นชายวัยกลางคนอายุสี่สิบกว่าปีคนหนึ่ง
หลังจากเห็นเจิ้งซงนั่งลง ไป๋ยี่เฟยก็นั่งลงเช่นกัน
เจิ้งซงยกชาขึ้นมาจิบไปหนึ่งอึก จากนั้นค่อยกล่าวขึ้นเสียงเรียบว่า “บอกมาตามตรงเถอะ หยู่ยานให้เงินคุณเท่าไหร่?”
“หา?” ไป๋ยี่เฟยชะงักไปเล็กน้อย
เจิ้งซงยิ้มเย็นพลางกล่าวว่า “ลูกสาวของฉัน ฉันย่อมรู้จักดี แม้ภายนอกจะมีนิสัยเปิดเผย แต่ในความเป็นจริงก็เป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่งเท่านั้น หนีออกไปแค่ไม่กี่วัน เธอไม่มีทางไปหลงรักชายแปลกหน้าคนหนึ่งอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าแน่”
“เธอแค่อยากจะหลุดพ้นจากการบังคับแต่งงานของฉัน ดังนั้นถึงได้หาคนมาเล่นละคร ฉันพูดถูกไหม?”
พอไป๋ยี่เฟยได้ยินเช่นนี้ก็เงียบไปชั่วขณะ จากนั้นก็คิดว่ายังไม่ได้สืบถามข่าวของพวกสำนักหนานเหมินเลย จึงกล่าวขึ้นว่า “ผมคิดว่าคุณเข้าใจผิดแล้ว พวกเราเป็น…….”
“แม้กระทั่งชื่อของคุณเธอก็ยังไม่รู้ อย่าว่าแต่คำพูดเหล่านี้เลย” เจิ้งซงพูดตัดบทไป๋ยี่เฟยทันที
ไป๋ยี่เฟยพลันเงียบไป
ละครฉากนี้ของเจิ้งหยู่ยานกับไป๋ยี่เฟยยังไม่ได้เตรียมการมาดี มีพิรุธมากเกินไป ขอเพียงเป็นคนมีสมองสักหน่อยก็มองออกได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเจิ้งซงยังเป็นนักธุรกิจที่ฉลาดมากคนหนึ่ง
ไป๋ยี่เฟยก็ไม่รู้เช่นกันว่าควรจะพูดอะไรดี แต่คำพูดต่อมาของเจิ้งซง กลับทำให้ไป๋ยี่เฟยรู้สึกสงสัยขึ้นมา
เจิ้งซงพูดอย่างเคร่งขรึมและจริงจังว่า “เงินที่เธอรับปากว่าจะให้คุณ ผมจะเพิ่มให้คุณอีกเท่าหนึ่ง แต่คุณจะต้องทำบางอย่างให้ได้ นั่นก็คือจงแสดงละครครั้งนี้ให้สมจริง”
“หมายความว่ายังไง?” ไป๋ยี่เฟยรู้สึกมึนงงอยู่บ้าง
ตามเหตุผลแล้วในฐานะผู้ปกครองเมื่อรู้ว่าไป๋ยี่เฟยทำตัวเหลวไหลไปกับเจิ้งหยู่ยาน ก็ควรจะโกรธไม่ใช่เหรอ?
แล้วทำไมยังต้องเพิ่มเงินให้อีก แถมยังให้เขาเล่นละครให้สมจริงด้วย?
ไป๋ยี่เฟยถามอย่างลังเลเล็กน้อยว่า “คุณมองออกแล้ว?”
เจิ้งซงยิ้มเย็นพลางกล่าวว่า “หากเป็นเรื่องจริง คุณคิดว่าผมจะพูดแบบนี้กับคุณเหรอ?”
พอไป๋ยี่เฟยได้ยินเช่นนี้ ก็เงียบไปชั่วขณะจากนั้นจึงกล่าวว่า “เพราะอะไร?”
เจิ้งซงกลับไม่ได้ตอบเขาพูดเพียงว่า “ลองชิมชานี้ดูสิ”
ไป๋ยี่เฟยนั่งนิ่งไม่ขยับ
เจิ้งซงเองก็ไม่ได้ให้เขาดื่มชาอีกเช่นกัน เพียงแต่กล่าวเสียงราบเรียบว่า “ผมจะจัดงานแต่งให้พวกคุณโดยเร็วที่สุด เวลาน่าจะเป็นอีกสามวันให้หลัง”
“โดยก่อนที่จะยกเลิกการแต่งงาน ระหว่างนี้คุณห้ามแตะต้องเธอ และห้ามเผยพิรุธใดๆ ออกมา ไม่อย่างนั้นล่ะก็……”
“คงมีแต่ความตายเท่านั้น”
ไป๋ยี่เฟยไม่ได้ซักถามต่อว่าเพราะอะไร ดังนั้นเขาจึงได้แต่ถามว่า “ถ้าอย่างนั้นต้องใช้เวลานานเท่าไหร่?”
พอเจิ้งซงได้ยินเช่นนี้สีหน้าก็คลายลงเล็กน้อย แต่กลับเผยแววห่อเหี่ยวใจออกมาสายหนึ่ง ผ่านไปสักพัก เขาถึงได้ถอนหายใจออกมาก่อนจะกล่าวว่า “ผมเองก็หวังว่าจะสิ้นสุดโดยเร็วที่สุด”
“คุณให้หยู่ยานพาคุณไปเดินดูรอบๆ ทำความคุ้นเคยก่อน” หลังเจิ้งซงพูดจบก็กล่าวกับไป๋ยี่เฟย
ไป๋ยี่เฟยเห็นแล้วในใจก็บังเกิดความสงสัยขึ้นมามากมาย แต่เขาก็รู้เช่นกันว่า ถามเจิ้งซงไป เจิ้งซงก็คงไม่มีทางบอก สู้ถามเจิ้งหยู่ยานยังดีกว่า ดังนั้นหลังจากพยักหน้าแล้วก็เดินออกมา
พอผลักประตูเปิดออกก็มองเห็นเจิ้งหยู่ยานที่กำลังรอคอยอย่างกระวนกระวายใจอยู่ตรงหน้าประตู
หลังเจิ้งหยู่ยานเห็นเขาก็ถามอย่างกังวลอยู่บ้างว่า “พวกคุณพูดอะไรกันเหรอ?”
ไป๋ยี่เฟยตอบยิ้มๆ ว่า “คุยเรื่องแต่งงานน่ะ”
“หา?” เจิ้งหยู่ยานชะงักไปเล็กน้อย “นี่คงไม่ใช่หรอกมั้ง พ่อฉันเขา……”
ในเวลานี้เอง เสียงหนึ่งก็ดังมาจากด้านข้าง
“หยู่ยาน!”
คนทั้งสองหันไปมองพร้อมกัน ก็พบหญิงวัยกลางคนในชุดหรูหราเดินมาพร้อมกับชายหนุ่มคนหนึ่ง
หลังหญิงวัยกลางคนเห็นเจิ้งหยู่ยาน สีหน้าก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“คุณแม่!”
เจิ้งหยู่ยานก็ตื่นเต้นเล็กน้อยเช่นกัน รีบวิ่งเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว
หญิงวัยกลางคนจับตัวเจิ้งหยู่ยานไว้ พูดอย่างดีใจระคนต่อว่าว่า “ลูกคนนี้ หนีออกไปตั้งหลายวัน ไม่รู้จักกลับบ้านกลับช่อง ทำให้แม่เป็นห่วงแทบตาย”
เจิ้งหยู่ยานก้มหน้าตอบว่า “แม่คะ หนูผิดไปแล้ว หลายวันมานี้หนูสบายดีมาก”
จากนั้นชายหนุ่มคนที่อยู่ข้างกายหญิงวัยกลางคนก็มองไป๋ยี่เฟยแวบหนึ่ง ก่อนจะถามว่า “หยู่ยาน คนนี้คือใครกัน?”
พอเจิ้งหยู่ยานได้ยินเช่นนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะนิ่งขึงไป
หลังมารดาของเจิ้งหยู่ยานมองเห็นไป๋ยี่เฟยก็ชะงักไปเล็กน้อย
เจิ้งหยู่ยานไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรไปชั่วขณะ ความจริงที่เธอออกไปข้างนอกมาสองสามวันก็เพื่อพาผู้ชายสักคนกลับมา แถมยังเป็นผู้ชายที่แก่กว่าเธอสิบยี่สิบปีอีกด้วย
เจิ้งหยู่ยานลังเลอยู่พักหนึ่ง คิดจะบอกแผนการกับแม่เธอเสียเลย จึงเขยิบเข้าไปใกล้แล้วพูดเสียงเบาว่า “แม่คะ แม่อย่าบอกพ่อนะ เขาคือ……”
ทว่าในเวลานี้ ไป๋ยี่เฟยได้พูดตัดบทเจิ้งหยู่ยานทันที “คุณน้า สวัสดีครับ ผมคือว่าที่เจ้าบ่าวของหยู่ยาน เมื่อกี้ได้พบคุณลุงแล้ว คุณลุงวางแผนจะให้พวกเราแต่งงานกันในอีกสามวัน”
เมื่อสักครู่เจิ้งซงเพิ่งบอกว่าห้ามเผยพิรุธออกมาต่อหน้าผู้ใด จะต้องแสดงละครนี้ให้สมจริง
แม้ว่าไป๋ยี่เฟยจะไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้ แต่ตอนนี้เขายังสืบไม่เจอคนของหนานเหมิน ดังนั้นจึงแสดงต่อไปเสียเลย
และที่เขายืนกรานจะทำเช่นนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะอู๋เฉียง
พึงรู้ไว้ว่าเมื่อสองฝ่ายต่อสู้กัน ความตายถือเป็นเรื่องปกติ
แต่อู๋เฉียงตายอย่างน่าเวทนายิ่ง วิธีการของฝ่ายตรงข้ามโหดเหี้ยมเกินไป สิ่งนี้ทำให้เขารับไม่ได้โดยสิ้นเชิง
ความโกรธและเคียดแค้นเช่นนี้ไม่อาจรอได้ ยิ่งรอแม้แต่นาทีเดียวก็ยิ่งทรมาน ยิ่งกว่านั้นไป๋ยี่เฟยยังนำร่างของอู๋เฉียงมาด้วย เพื่อเตือนสติตนเองตลอดเวลาให้ไปแก้แค้น
ดังนั้นในเมื่อต้องเล่นละคร อย่างนั้นละครนี้ก็ต้องเล่นให้สมจริง
พอมารดาของเจิ้งหยู่ยานได้ยินเช่นนี้สีหน้าก็แปรเปลี่ยนไปอย่ามาก มองไป๋ยี่เฟยอย่างตื่นตะลึง ก่อนจะถามเจิ้งหยู่ยานอีกครั้งว่า “อะไรนะ? เขาพูดว่าอะไรนะ?”
เจิ้งหยู่ยานคิดจะอธิบาย “คุณแม่คะ ไม่ใช่แบบนี้……”
ไป๋ยี่เฟยตัดบทเธออีกครั้งว่า “หยู่ยาน ผมรู้ว่าคุณอาย ไม่เป็นไร ช้าเร็วพวกเราก็ต้องแต่งงานกัน จริงสิ ผมควรจะเรียกคุณว่าแม่ ใช่ไหมครับ?”
“ขอโทษด้วย ฉันยังรู้สึกไม่ชินนิดหน่อย”
เจิ้งหยู่ยานเห็นเช่นนี้สีหน้าก็พลันขาวซีด
แต่มารดาของเธอโกรธจนเสียกิริยาไปแล้ว “แกหุบปากให้ฉันเดี๋ยวนี้ แกคิดว่าแกเป็นใคร แกไม่ดูสารรูปตัวเองบ้างเลยเหรอ แกแก่กว่าฉัน ยังมีหน้ามาเรียกฉันว่าแม่ แกมีความละอายใจบ้างไหม?”