ชายใส่แว่นดำตื่นเต้นและดีใจ“คุณเห็นหรือยัง?พวกเรามีคนเยอะขนาดนี้ คุณเป็นยอดฝีมือระดับที่สามแล้วยังไง?คุณรู้สึกกลัวแล้วใช่ไหม?ฮ่าๆๆๆ……”
หลี่เสว่เห็นคนเยอะขนาดนี้ก็รู้สึกกลัวทันที เธอจับแขนเสื้อของไป๋ยี่เฟยโดยไม่รู้ตัว“ที่รัก คนเยอะเกินไป คุณรีบหนีไปก่อน ฉันเป็นผู้หญิงท้องแก่ พวกเขาไม่กล้าทำอะไรฉันหรอก”
ไป๋ยี่เฟยรู้สึกประทับใจเมื่อได้ยินคำพูดของเธอ เขายิ้มให้หลี่เสว่“ที่รัก คุณไม่ต้องกลัว”
พวกเราไม่จำเป็นต้องหนี
“อันที่จริงครั้งนี้ฉันอยากจะสัมผัสการใช้ชีวิตของคนธรรมดาทั่วไป อยากรู้ว่าคนธรรมดาทั่วไปเมื่อเผชิญหน้ากับปัญหาแบบนี้ พวกเขาจะจัดการมันยังไง”
ระหว่างที่พูด เขาก็เดินไปหาคนกลุ่มนั้น
หลี่เสว่มองไป๋ยี่เฟยด้วยความไม่เข้าใจ เธอปล่อยมือจากแขนเสื้อของเขาโดยไม่รู้ตัว
ผู้คนตกใจมากๆจนไม่กล้าเดินเข้าไป และนักผจญเพลิงก็เตรียมที่จะช่วยเหลือผู้หญิงที่กำลังจะกระโดดตึก และพวกเขาก็เหลือบมองเหตุการณ์ของฝั่งนี้ด้วย
มีคนเห็นว่าอาจจะมีเหตุการณ์ไม่ดีเกินขึ้น ก็โทรศัพท์แจ้งตำรวจเลย
แต่เรื่องพวกนี้มันไม่สำคัญ
ไป๋ยี่เฟยเกินไปยังด้านหน้าของชายใส่แว่นดำและถาม:“คุณรู้จักไอ้หัวล้านหลิวไหม?”
“ใครเหรอ?”สีหน้าของชายใส่แว่นดำเคร่งขรึม“ไม่เคยได้ยิน!”
ไป๋ยี่เฟยรู้สึกประหลาดใจ“ขนาดไอ้หัวล้านหลิว คุณยังไม่รู้จัก คุณกล้ามากๆที่มาหาเรื่องที่นี่?”
“คุณหมายความว่าไง?”ชายใส่แว่นดำมองไป๋ยี่เฟยแล้วขมวดคิ้ว
ในเวลานี้ ชายที่ถือไม้กระบองกลุ่มนั้นหันไปทำความเคารพไป๋ยี่เฟยและตะโกน:“ลูกพี่ใหญ่!”
ชายใส่แว่นดำเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้เขาอึ้งไปเลย
ในเวลาเดียวกัน ไอ้หัวล้านหลิวก็เดินออกมาจากฝูงชน ด้วยท่าทางขี้เล่น“ฉันทำธุรกิจนานเกินไป จนคนอื่นๆจำฉันไม่ได้แล้วเหรอ!”
หลังจากพูดจบ เขาก็เดินมาอยู่ข้างๆไป๋ยี่เฟย และพูดด้วยรอยยิ้ม“เถ้าแก่ไป๋ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน!”
ชายใส่แว่นดำและลูกน้องทุกคนอึ้งไปเลย
พวกเขานึกว่าชายกลุ่มนั้นที่วิ่งเขามา เป็นคนของพวกเขาซะอีก
แต่ตอนนี้พวกเขารู้ว่า คนกลุ่มนั้นเป็นคนของไป๋ยี่เฟย
ดูเหมือนพวกเขาจะหาเรื่องกับคนที่พวกเขาไม่ควรไปยุ่งด้วย
“ฉันไม่อยู่ในวงการนักเลง ก็ไม่มีใครรู้จักฉันแล้วเหรอ พวกเจ้ามันเป็นพวกเศษสวะไม่มีสมองจริงๆ!”ไอ้หัวล้านหลิวมองพวกเขาด้วยสายตาดูถูก
ไอ้หัวล้านหลิวกลายเป็นนักธุรกิจตั้งแต่เขารับโปรเจกต์ของรีสอร์ท และเขาก็ไม่ค่อยสนใจเรื่องในวงการนักเลง ตอนนี้เขากลายเป็นนักธุรกิจเต็มตัวแล้ว
ในวงการนักเลง ถ้าวันนี้ไม่มีลูกพี่ใหญ่ พรุ่งนี้ก็คงเปลี่ยนลูกพี่ใหญ่คนใหม่
ไป๋ยี่เฟยมองไอ้หัวล้านหลิวและพูด:“ตอนนี้คุณเป็นนักธุรกิจเต็มตัวแล้ว อย่าไปยุ่งเรื่องในวงการนักเลงเลย”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ไอ้หัวล้านหลิวก็พูดด้วยรอยยิ้ม:“ใช่ๆ นั่นเป็นเพราะคุณกลับมา ฉันดีใจมากเกินไป”
เมื่อพูดจบเขาก็ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้ไป๋ยี่เฟย“พูดถึงเรื่องนี้ พวกเขามีความเกี่ยวข้องกับคุณด้วย”
ไป๋ยี่เฟยรับกระดาษใบนั้นด้วยความประหลาดใจ เมื่อดูจบสีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมทันที เงยหน้าและมองชายใส่แว่นดำ
ชายใส่แว่นดำตกใจมากๆจนเข่าอ่อนเมื่อถูกไป๋ยี่เฟยจ้องมอง เขารีบคุกเข่าต่อหน้าไป๋ยี่เฟย“พี่……ลูกพี่ใหญ่ ฉัน……ฉันผิดไปแล้ว ลูกพี่ใหญ่ปล่อยฉันไปเถอะ!”
ไป๋ยี่เฟยไม่ได้สนใจเขา แต่กลับฉีกกระดาษที่อยู่ในมือและพูดกับไอ้หัวล้านหลิว:“เรื่องนี้ฉันจะจัดการเอง คุณห้ามเข้ามายุ่ง”
ไอ้หัวล้านหลิวพยักหน้าทันที“รับทราบ”
ไป๋ยี่เฟยพูดเบาๆว่า:“โอเค พวกคุณแยกย้ายกลับไปได้แล้ว”
ดังนั้นไอ้หัวล้านหลิวก็โบกมือ คนกลุ่มนั้นก็แยกย้ายและออกจากโรงพยาบาลไปทั้งหมด
จู่ๆโรงพยาบาลที่ดูโล่งขึ้นมาเลย
ไป๋ยี่เฟยไม่ได้สนใจชายใส่แว่นดำและลูกน้องของเขา แต่เขาหันหลังและประคองหลี่เสว่แล้วเดินเข้าไปข้างในโรงพยาบาล
……
ไป๋ยี่เฟยและคนอื่นๆจากไปนานแล้ว แต่ชายใส่แว่นดำก็ไม่กล้าลุกขึ้นมา เพราะเขาหวาดกลัวมากๆ
สาเหตุที่เขาสามารถเป็นใหญ่ได้อย่างทุกวันนี้ ก็เพราะไอ้หัวล้านหลิวเปลี่ยนอาชีพเป็นนักธุรกิจ จึงทำให้เขาสามารถก้าวขึ้นมาเป็นลูกพี่ใหญ่แห่งวงการนักเลง?
และในเวลานี้ เขาตระหนักได้อย่างชัดเจน ถึงแม้ตอนนี้เขาจะเป็นลูกพี่ใหญ่แห่งวงการนักเลง เมื่อเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับไอ้หัวล้านหลิว เขาเทียบไม่ติดจริงๆ
……
หลังจากที่ไป๋ยี่เฟยกลับมา ผู้หญิงที่จะกระโดดตึกได้รับการช่วยชีวิตไว้ และถูกนำตัวส่งกลับมาที่ห้องผู้ป่วย
ภรรยาของเหล่าสวีกำลังนั่งปลอบใจเธออยู่
เมื่อพวกเขาเห็นไป๋ยี่เฟยกับหลี่เสว่เดินเข้ามา จู่ๆพวกเขาก็หยุดพูด และสายตาของพวกเขามีความกระตือรือร้นน้อยลงและมีเพียงความยำเกรง
ดูเหมือนว่าพวกเขาจะรู้ว่าไป๋ยี่เฟยไม่ใช่บุคคลธรรมดาทั่วไป และพวกเขาไม่ใช่คนระดับเดียวกันกับไป๋ยี่เฟย
……
ไป๋ยี่เฟยให้คนจัดห้องพักส่วนตัวให้กับหลี่เสว่ นอกจากนี้เขายังจ้างพยาบาลสองคนค่อยดูแลหลี่เสว่ด้วย เพราะว่าเธอใกล้จะคลอดบุตรแล้ว ห้ามประมาทเด็ดขาด
แต่ไป๋ยี่เฟยก็ยังพักอยู่ห้องผู้ป่วยทั่วไป เขาสัมผัสชีวิตของคนธรรมดาทั่วไป
ตอนดึก ทุกคนเข้านอนแต่หัวค่ำ ไป๋ยี่เฟยก็รู้สึกอ่อนเพลีย ก็เลยนอนหลับไป
แต่กลางดึกมีเสียงผู้หญิงร้องไห้ก็เลยทำให้เขาตื่น
ไป๋ยี่เฟยรีบลุกขึ้นนั่ง พบว่าผู้หญิงที่จะกระโดดตึกในตอนกลางวัน เธอร้องไห้อยู่ใต้ผ้าห่ม และผู้ชายที่ดูแลเธอก็ไม่รู้ว่าหายไปไหน
เขามองไปที่หน้าประตู มองเห็นเหล่าสวีและภรรยานอนหลับสนิท พวกเขาไม่ได้ถูกรบกวน
ดังนั้นไป๋ยี่เฟยก็นอนลง แต่ครั้งนี้เขาหันหน้าไปทางผู้หญิงคนนั้น ถามด้วยเสียงเบาๆ:“ร้องไห้เพราะความรักใช่ไหม?”
จู่ๆก็มีเสียงพูด ทำให้ผู้หญิงตกใจจนหยุดร้องไห้ จากนั้นเธอค่อยๆเปิดผ้าห่มออกและพบว่าไป๋ยี่เฟยกำลังมองเธออยู่ เธอรู้สึกเขินอายและพยักหน้าไปพร้อมกัน
ไป๋ยี่เฟยพูดเบาๆว่า:“ตอนนี้คุณเล่าเรื่องราวของคุณให้ฉันฟังได้ไหม?”
ผู้หญิงนิ่งไปสักพัก ดูเหมือนเธอจะลังเล ผ่านไปนานมากเธอจึงพูดว่า:“คุณอาจจะไม่อยากฟัง”
“เพราะอะไร?”ไป๋ยี่เฟยถาม“คุณยังไม่ได้เล่า แล้วรู้ได้ยังไงว่าฉันไม่อยากฟัง?”
ผู้หญิงฝืนยิ้มและพูด:“เมื่อเทียบกับเรื่องของคุณ ประสบการณ์ชีวิตของฉันมันเป็นเรื่องเล็กมากๆและเทียบไม่ติด”
เมื่อไป๋ยี่เฟยได้ยินคำพูดนี้ก็ถอนหายใจและพูดเบาๆว่า:“ประสบการณ์ชีวิตไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ มันก็เหมือนกัน”
“ทุกคนมีประสบการณ์ชีวิตที่ไม่เหมือนกัน มีเพียงตัวเองเท่านั้นที่จะสามารถบอกได้ว่ามันเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ ก็เหมือนกับฉัน ฉันโดนบังคับให้เผชิญกับประสบการณ์ชีวิตแบบนี้ ตั้งแต่เด็กก็มีชีวิตที่ลำบาก มันทำให้ฉันยิ่งแพ้ก็ยิ่งกล้าหาญ ฉันรับแรงกดดันจากปัญหาต่างๆได้มากกว่าคนทั่วไป”
“แต่คุณไม่เหมือนกับฉัน ฉันคิดว่าคุณน่าจะถูกปกป้องและดูแลเป็นอย่างดี ทำให้คุณเจอปัญหาเล็กน้อยก็ยอมแพ้อย่างง่ายดาย”
“ถ้าเปลี่ยนเป็นฉัน เติบโตมาในสภาพแวดล้อมเดียวกับคุณ การรับแรงกดดันจากปัญหาต่างๆของฉันก็คงพอๆกับคุณ”
หลังจากที่ผู้หญิงฟังคำพูดของเขาจบ ก็พูดเบาๆ:“คุณพูดจาเก่งมากๆ”
ไป๋ยี่เฟยอดไม่ได้ที่จะยิ้ม ถ้าเขาเป็นคนที่พูดจาเก่งจริงๆ ก็คงจะจัดการเรื่องของความรักได้ดีกว่านี้
ตอนนี้เขากลัวการเผชิญหน้ากับหลิวเสี่ยวอิง ถึงแม้เขาจะพยายามเอาชนะใจตัวเองก็ตาม และหลายวันนี้เขาไม่กล้าเอ่ยถึงเรื่องของหลิวเสี่ยวอิงเลย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่กล้าเผชิญหน้ากับหลิวเสี่ยวอิงจริงๆ
หลังจากนั้น ผู้หญิงคนนั้นก็เหมือนคิดได้ ก็เลยเล่าเรื่องของตัวเองให้ไป๋ยี่เฟยฟัง
……
ไป๋ยี่เฟยกำลังฟังเรื่องที่ผู้หญิงคนนั้นเล่าอยู่ ในขณะเดียวกันก็มีผู้หญิงรูปร่างบอบบางเดินมาที่ห้องของหลี่เสว่
เธอคือหลิวเสี่ยวอิง
หลิวเสี่ยวอิงนั่งลงบนโซฟาและเงียบ
หลี่เสว่มองหน้าเธอและเงียบเหมือนกัน
ไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหน จู่ๆหลี่เสว่ก็พูดขึ้นมา:“ไป๋ยี่เฟยรับปากฉันไว้ในตอนกลางวัน เรื่องนี้ให้ฉันเป็นคนจัดการ”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ดวงตาของหลิวเสี่ยวอิงก็แดงก่ำขึ้นมาทันที
ดวงตาของหลี่เสว่ก็แดงก่ำเหมือนกัน
ดวงตาของผู้หญิงทั้งสองคนก็มีน้ำตา แต่พวกเธอก็พยายามกลั้นมันไว้ ไม่ให้น้ำตาไหลออกมา
“เสี่ยวอิง เธอพูดกับฉันมาตามตรง ในใจของเธอ ไป๋ยี่เฟยสำคัญมากแค่ไหน?”หลี่เสว่พยายามกลั้นเสียงสะอื้นและถามหลิวเสี่ยวอิง
เมื่อหลิวเสี่ยวอิงได้ยิน ก็ตอบด้วยน้ำเสียงสะอื้น:“สำคัญนิดเดียว”
หลังจากพูดจบ หลิวเสี่ยวอิงก็ไม่สามารถกลั้นน้ำตาของตัวเองอีก น้ำตาก็ไหลออกมา น้ำตาไหลลงที่ต้นขาของเขาทีละหยดๆ ทำให้กางเกงของเธอเปียกไปด้วย
หลี่เสว่มองปุ๊บก็รู้ว่าเธอไม่ได้พูดความจริง เธอหายใจเข้าลึกๆและพูด:“ถ้าตอนนี้ผู้ชายสามารถมีภรรยาได้หลายคน ฉันคิดว่าฉันคงเกลี้ยกล่อมให้เธอแต่งงานกับสามีของฉัน แต่……ตอนนี้มีคู่สมรสได้เพียงคนเดียว”
“เสี่ยวอิง ฉันขอโทษ ฉันขอโทษเธอจริงๆ เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวอะไรกับไป๋ยี่เฟยเลย เป็นเพราะตอนนั้นฉันพยายามจับคู่ให้พวกเธอ ไม่งั้นก็คงจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้……”