แสงเทียนสว่างไสวผ่านโคมไฟเวทมนตร์สีเงินที่ให้ความสว่างจ้าไปทั้งห้อง นักเวทฝึกหัดทั้งสามคนกำลังทำแบบฝึกหัดเรื่องเวทมนตร์ระดับฝึกหัด ‘เวทสาดพิษ’
ด้วยการเพิ่มความเข้าใจในเวทระดับฝึกหัด นักเวทฝึกหัดทั้งสามจะมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับสัญลักษณ์ของธาตุบางตัวดียิ่งขึ้นและถือเป็นการฝึกการใช้เรขาคณิตพื้นฐาน
หนุ่มสาวทั้งสามแม้จะดูเหนื่อยล้าเต็มทีก็ตามยังคงทำงานต่อไปอย่างขะมักเขม้น
ณ ตอนนั้นเอง มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
แอนนิคลุกขึ้นยืนในทันทีและเริ่มมองไปรอบๆ ด้วยความสงสัย
“ท่านอีวานส์หรือเปล่านะ?” เลย์เรียถาม เริ่มรู้สึกกังวลขึ้นมา ทั้งเลย์เรียและไฮดี้วางปากกาขนนกลง
ภายในเจ็ดวันที่ผ่านมา ลูเซียนบังคับให้พวกเขาทำแบบฝึกหัดและฝึกร่ายคาถาไม่เว้นแต่ละวัน หนุ่มสาวทั้งสามคนรู้สึกเหนื่อยล้าหมดแรง ถึงขนาดแค่ได้ยินเสียงฝีเท้าลูเซียนใกล้เข้ามาก็ทำให้ทุกคนเป็นกังวล
อย่างไรก็ตาม ตอนนั้นเอง พวกเขาก็เห็นผลความก้าวหน้าอันยิ่งใหญ่ที่สร้างมากับมือ ความสุขจากการร่ายคาถาอาคมยากๆ สำเร็จทำให้พวกเขาตื่นเต้นและมีแรงบันดาลใจมาก
“ไม่ ท่านอีวานส์คงจะเดินเข้ามาเลย” แอนนิคส่ายหน้า “เดี๋ยวข้าดูเอง”
แต่เมื่อยืนขึ้น เขารู้สึกวิงเวียนเล็กน้อย และก็เห็นว่าบรรยากาศข้างนอกมืดแล้ว
พอเข้าเปิดประตูออกไป เขาต้องแปลกใจที่พบว่าเป็นสปรินต์นั่นเองที่เคาะประตู และข้างๆ เขาก็ยังมีแคทรีนาอยู่ด้วย
“หวัดดี…” แอนนิคไม่แน่ใจว่าทำไมทั้งสองคนถึงมาอยู่ที่นี่ เขาจึงทักทายไปอย่างลังเลๆ “มีอะไรให้ข้าช่วยไหม?”
อันที่จริง แอนนิคไม่อยากยอมรับว่าตอนที่เขาเห็นสปรินต์และแคทรีนาร่ายคาถาอาคมอย่างคล่องแคล่ว เขาชื่นชมทั้งคู่มาก นอกจากนี้ แอนนิคยังต้องยอมรับว่าสปรินต์และแคทรีนาฉลาดกว่าเขาจริงๆ เนื่องจากความคิดและความเชี่ยวชาญของทั้งสองคนไม่ต้องใช้ความพยายามมากมายนัก
“ฮ่า? พูดอะไรของเจ้านะ แอนนิค?” สปรินต์ประหลาดใจมากแต่ก็ยังมีอารมณ์ขัน “แบบฝึกหัดพวกนี้ทำให้สมองเจ้าเลอะเลือนหรือไง? เรากำลังจะเดินทางไปสภาเวทมนตร์กันคืนนี้!”
“เดี๋ยว… เดี๋ยว… วันนี้นะหรือที่เราจะเดินทาง?” แอนนิคดูท่าทางตกใจสุดๆ
“แบบฝึกหัดที่หนึ่ง… ที่สอง…” ไฮดี้รีบนับจำนวนกระดาษแบบฝึกหัดที่กองอยู่ตรงหน้านาง และนางก็เงยหน้าขึ้นมาพูดเสียงดัง “ตายแล้ว… ใช่ เราจะเดินทางกันวันนี้! ไม่อยากจะเชื่อว่าข้าจะลืม!”
“ข้าก็ลืมเหมือนกัน…” เลย์เรียก็ตอบรับ ด้วยสีหน้าซีดเซียวหลังจากถูกฝังอยู่ท่ามกลางแบบฝึกหัดจำนวนนับไม่ถ้วน
“แอนนิค ไฮดี้ เลย์เรีย… ดูพวกเจ้าตอนนี้สิ” แคทรีนาพูดออกมาด้วยความภูมิใจและเห็นใจ “อาร์คานาเป็นศาสตร์ใหม่สำหรับท่านอีวานส์ ถ้าเขาไม่ได้ชี้นำทางที่ถูกต้อง พวกเจ้าต้องบอกเขา อย่าปล่อยให้เขาทรมานเจ้าแบบนี้”
“แล้วพวกเจ้าก้าวหน้าขึ้นบ้างไหม? ขอโทษนะ ข้าดูไม่ออกเลย” สปรินต์พูดอย่างอวดดี
“ข้าขอแย้งเจ้าหน่อยนะ สปรินต์” เลย์เรียส่ายหน้า “ถ้าข้าจะบอก เจ็ดวันก่อน ข้าไม่รู้เรื่องจริงๆ ว่าอาร์คานาคืออะไร แต่ตอนนี้ ข้ารู้สึกว่ากำลังมาถูกทางแล้ว”
“ใช่แล้ว ท่านอีวานส์เป็นนักเวทตัวจริง เขารู้ว่าเขากำลังทำอะไร เราก้าวหน้าไปมาก” แอนนิคพยักหน้าเห็นด้วย
“โถ จริงหรือ?” สปรินต์พูดจบก็พ่นลมหายใจออกทางจมูกอย่างสบประมาท
“จริงหรือ? อย่าบอกว่าเจ้ามองไม่ออก สปรินต์” ไฮดี้ตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง “วันก่อนในห้องฝึกซ้อม เจ้าก็เห็นแล้วว่าพวกเราร่ายคาถาเป็นยังไง ความก้าวหน้าของพวกเราก็มาจากท่านอีวานส์คนเดียว”
ภายในห้วงความคิดของหนุ่มสาวทั้งสามคน พวกเขาเห็นพ้องต้องกัน ถึงแม้จะเคารพอีวานส์อย่างยิ่ง แต่ก็จะดีกว่าไหมหากแบบฝึกหัดที่ต้องทำน้อยลงกว่านี้สักนิด
“พวกดื้อด้าน…” สปรินต์หันหลังกลับไป “เชิญทรมานตัวเองต่อไปเถอะ”
“สี่ทุ่มตรง ในห้องอ่านหนังสือ เราจะรวมตัวกันที่นั่นแล้วไปพร้อมกัน” แคทรีนายังจำได้ดีว่าสปรินต์กับนางมาหาสามคนนี้ทำไม “ไม่เป็นไรหรอกถ้าพวกเจ้าสามคนยังตามหลังข้าอยู่ ตอนเราไปถึงสภาเวทมนตร์ เราจะถูกส่งไปสำนักต่างๆ เพื่อการศึกษาอาร์คานาและเวทมนตร์อย่างเป็นระบบ”
ทั้งแคทรีนาและสปรินต์ก็เดินออกจากห้องไป
“พวกเขาไม่เชื่อเรา!” ไฮดี้บ่น
“ก็ไม่เป็นไร… สักวัน พวกเขาจะเห็นเอง” แอนนิคกระตุ้นสหายร่วมวิชา “ตอนนี้ ไม่มีเวลามาโกรธหรือหงุดหงิดแล้วละ เราต้องทำแบบฝึกหัดที่เหลือให้เสร็จก่อนออกเดินทาง”
ทั้งเลย์เรียและไฮดี้นั่งลงและพูดขึ้นพร้อมกัน “ลุย”
…
เมื่อแอนนิคทุ่มเทสมาธิกับแบบฝึกหัดเต็มร้อย มีคนบางคนมาตบบ่าเขาเบาๆ
ก่อนที่ลูเซียนจะมาดูความเรียบร้อยของนักเวทฝึกหัดทั้งสามคน เขาห้ามใจที่จะไม่ลองฝึก ‘ฌานสมาธิบรูค’ ในห้องของเขาก่อนสักหน่อย
แนวคิดหลักของ ‘ฌานสมาธิบรูค’ คือการค้นหาความถี่เฉพาะในการสั่นสะเทือนของพลังวิญญาณ ซึ่งไม่ได้สัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมฌานสมาธิเฉพาะมากเท่าไร ดังนั้น จึงสามารถใช้กับวิธีการฌานสมาธิอื่นๆ ได้เช่นกัน รวมถึงฌานสมาธิโหราศาสตร์และฌานสมาธิธาตุเวทมนตร์ของลูเซียน
หลังจากการฝึกช่วงสั้นๆ ลูเซียนพบว่า ‘ฌานสมาธิบรูค’ เป็นประโยชน์มากยิ่งกว่าการเข้าฌานสมาธิแบบโบราณอย่างน้อยสิบเท่า ลูเซียนเชื่อว่าตราบเท่าที่เขาตั้งใจฝึกต่อไป เขาจะสามารถบรรลุเป้าหมายระดับพลังวิญญาณและความเข้มแข็งของวิญญาณในการเลื่อนชั้นเป็นนักเวทระดับสอง
“ท่าน… ท่านอีวานส์” แม้ว่าลูเซียนจะดูใจดีและอ่อนโยน แอนนิคมักประหม่าทุกครั้งเวลาอยู่ต่อหน้าเขา “เกือบ… เสร็จแล้วขอรับ”
“ข้ายังเหลืออีกสองสามหน้าค่ะ…” เลย์เรียเองก็เป็นกังวลเช่นกัน
ตอนนี้ ลูเซียนกำลังอารมณ์ดีตั้งแต่เขาได้ศึกษา ‘ฌานสมาธิบรูค’ เขาโบกมืออย่างเมตตาแล้วบอกกับลูกศิษย์ “ไม่ต้องกังวล ข้ารู้ว่าพวกเจ้าทั้งสามคนทำงานหนัก แต่เดี๋ยวเราจะออกเดินทางคืนนี้แล้ว พวกเจ้าสามารถส่งแบบฝึกหัดคืนพรุ่งนี้”
“วิเศษเลย!” ไฮดี้ยิ้มกว้างออกมา
ทั้งแอนนิคและเลย์เรียก็ท่าทางดีใจเช่นกัน
“ยังมีเวลาเหลืออีกครึ่งชั่วโมงก่อนสี่ทุ่ม ไหนเรามาคุยกันหน่อย” ลูเซียนนั่งลงบนเก้าอี้ยาว “พูดกันตรงๆ นะ พวกเจ้าสามคนรู้สึกว่าแบบฝึกหัดพวกนี้โหดไปหรือเปล่า?”
“แม้พวกเราจะเหนื่อยนกันทุกคน ข้าคิดว่าคุ้มค่าขอรับ” แอนนิคตอบโดยไม่ต้องคิด เขารู้สึกได้ถึงความก้าวหน้าของตัวเองอย่างชัดเจนภายในระยะเวลาเพียงเจ็ดวัน
“ก็ไม่เลวร้ายเกินไป… ข้ารู้ว่าเราต้องทำงานหนักเพื่อให้มีพื้นฐานความรู้แข็งแรงพอในการศึกษาอาร์คานา” เลย์เรียหน้าแดง “แต่ถ้าลดจำนวนลงสักนิดก็ดีนะเจ้าค่ะ…”
“แต่ถ้าลดจำนวนลงสักนิด เราจะมีความสุขมากขึ้น!” ไฮดี้พูดต่อ
“ช่วงเริ่มต้นเป็นช่วงที่ยากที่สุด ในอนาคต เราจะเน้นการฝึกปฏิบัติมากขึ้น และแบบฝึกหัดทฤษฎีน้อยลง” ลูเซียนยิ้ม “และเมื่อเจ้าสามคนกลายเป็นนักเวทตัวจริงแล้ว เราจะรู้ว่าความรู้ที่กำลังเรียนอยู่ตอนนี้ไม่ซับซ้อนเลยแม้แต่น้อย”
“จริงหรือเจ้าค่ะ?” ไฮดี้ถามด้วยความเป็นกังวล “ถ้างั้นข้าจะพยายามเต็มที่เจ้าค่ะ…”
“ข้าก็เชื่อเช่นนั้น และความรู้จะงอกเงยขึ้นเสมอ ข้าคิดว่าอาจจะอีกในร้อยหรือสองร้อยปีต่อจากนี้ ความรู้ที่นักเวทชั้นสูงต้องยึดถือจะเป็นนามธรรมและยากมากขึ้น ทั้งในระดับจุลภาคและมหภาค”
“เป็น… ไปได้ไหมขอรับที่ข้าจะได้เป็นอัศวิน?” แอนนิคถามพึมพำออกไปโดยไม่ทันได้คิด
และทั้งเลย์เรียและไฮดี้แทบจะรู้สึกเหมือนกัน
ลูเซียนมองที่รูปร่างผอมบางของแอนนิคและส่ายหน้าอย่างขำๆ “ข้าเกรงว่า น่าจะยากมากๆ เลย
หนุ่มสาวทั้งสามคนหัวร่อต่อกระซิก แอนนิคเองก็หัวเราะออกมา
“เราน่าจะทุ่มเทกับเส้นทางเวทมนตร์ของเราเองดีกว่า” ไฮดี้บอกกับสหายร่วมวิชา “เจ้ารู้ไหมว่านักเวทตัวจริงส่วนใหญ่รวยๆ และมีบารมีในโฮล์มกันทั้งนั้น?”
“เอาละ เอาละ…” ลูเซียนตัดบทแล้วยิ้มออกมา “เกือบจะสี่ทุ่มแล้ว ไปที่ห้องอ่านหนังสือกันเถอะ”
…
ท่ามกลางความมืด เรือเล็กสองลำกำลังแล่นไปตามลำคลอง มุ่งหน้าออกสู่ท่าเทียบเรือ
หลังจากมาถึงท่าเทียบเรือ เรือทั้งสองลำยังแล่นเลยออกไปสู่มหาสมุทร
ไม่นาน เรือใบสามเสาก็ปรากฏให้เห็นท่ามกลางความมืด
ทอมหันไปพูดกับลูเซียนด้วยน้ำเสียงจริงจัง “การเดินทางลำบากหน่อยนะ เพราะเรามีผู้ทรยศ ศาสนจักรพบเส้นทางลับของเราหลายสาย เราต้องอาศัยแผนสำรอง
“ศาสนจักรจะทำอะไร? แผนสำรองเป็นอย่างไร?” ลูเซียนถาม เขาต้องการเข้าใจสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอย่างละเอียดถี่ถ้วน
“เรือเหาะเทพ… แล่นบนอากาศ ศาสนจักรใช้เรือเหาะที่มีค่าในการลาดตระเวนด้านบน” ทอมอธิบายอย่างเร็ว “ส่วนบนท้องทะเล มีกองเรือประจำการของ ‘อัศวินหมวกนักบุญ’ และใต้ทะเล มีอสูรกาย ‘คัวโทน’ ที่เปลี่ยนความเชื่อและเลือกรับใช้ศาสนจักร เราต้องติดสินบนคัวโทนบางตัว แต่พวกมันก็อาจถูกจับตรึงกับตะแลงแกงเพลิงไปแล้วตอนนี้”
“ปิดกั้นทุกช่องทางเลยสิ… โชคดีที่ยังไม่มีเรดาร์ในโลกนี้” ลูเซียนพึมพำกับตัวเอง “แล้วเราจะทำอย่างไรละตอนนี้?”
ทอมชี้ไปที่เรือใบสามเสาที่อยู่ไม่ไกลจากพวกเขา “เรือสินค้าลำนี้เป็นของไวเคานต์ไรต์ และเรามีความสัมพันธ์ทางการค้ากับเขาที่แน่นแฟ้น เราจะลงไปในห้องใต้ท้องเรือ”
“เรือลำนี้ปลอดภัยหรือ?” ลูเซียนถาม
“ไม่มีอัศวินและบาทหลวงหน้าไหนลงในไปห้องใต้ท้องเรือสกปรกๆ และตรวจตราลูกเรือและทาสกลิ่นตัวเหม็นบนเรือนั้นหรอก ถ้าเราโชคดีและระวังตัวมากพอ เราจะปลอดภัย ข้าเตรียมน้ำเตรียมอาหารให้ทุกคนแล้ว” ทอมกล่าว
……………………………………….