ในห้องอาหารส่วนตัวบนชั้นสอง เกรนนิวฟ์กำลังพ่นควันสีดำหนาจากการสูบซิการ์ ก่อนจะออกความเห็นอย่างหยาบคาย “ท่านหญิงนักดนตรีผู้นี้ดีกว่าพวกสาวๆ ที่อยากกระโจนมานั่งตักข้าทันทีที่ได้รับของขวัญไม่กี่ชิ้นเป็นไหนๆ”
“แต่ว่า… นายท่านขอรับ ข้าไม่คิดว่าท่านหญิงเกรซจะชอบท่านสักเท่าไรนะขอรับ” ผู้อารักขาที่อยู่ใกล้ที่สุดกระซิบบอกกับเขา
เกรนนิวฟ์ไม่ได้หัวเสียกับคำพูดนั้น กลับหัวเราะร่า “เจ้าจะไปรู้อะไร ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของความรู้สึกอยากเอาชนะ! เจ้าเข้าใจไหม… การเอาชนะท่านหญิงผู้สงวนตัวด้วยเสน่ห์ของข้าเองน่ะ ฮ่าๆ!”
“เสน่ห์…” ผู้อารักขาหมดคำจะกล่าว ทว่า ในฐานะคนใกล้ชิดของเกรนนิวฟ์ เขารู้ดีว่านิสัยหยาบคายทั้งหมดของเกรนนิวฟ์นั้นเป็นเพียงการอำพราง หากว่าเขาเป็นคนไม่เอาไหนเลยจริงๆ เขาจะกลายเป็นหนึ่งในผู้กุมความลับในเมืองสเติร์กได้อย่างไร
ในตอนนั้นเองที่เกรซกลับเข้ามา
เกรนนิวฟ์รีบดับซิการ์ในมือกับที่เขี่ยบุหรี่แล้วเอ่ยถาม “เกรซ เหตุใดดวงตาเจ้าถึงแดงเช่นนั้นกัน เกิดอะไรขึ้น”
“ไม่มีอะไรหรอกเจ้าค่ะ แค่รู้สึกตาแห้งนิดหน่อย” เกรซหาข้ออ้างมาตอบได้อย่างง่ายดาย
“ข้าจะให้แพทย์ประจำตระกูลข้าส่งยาไปให้ในคืนนี้แล้วกัน ดวงตาเจ้าจะได้ดีขึ้น” เกรนนิวฟ์ดูท่าทางเป็นห่วงเป็นใย
“ขอบคุณเจ้าค่ะ ท่านเกรนนิวฟ์” เกรซพยักหน้า จากนั้นนางก็ยื่นเศษกระดาษที่พับไว้เรียบร้อยแน่นหนาให้เขาพร้อมกับหยิบแก้วไวน์ด้วยมือซ้าย
เกรนนิวฟ์นึกว่าความพยายามของเขาเห็นผลในที่สุด แต่สุภาพสตรีคนงามเพียงเขินอายเกินกว่าจะแสดงความรักที่มีต่อเขาโดยตรง เขาคิดว่าสิ่งที่เกรซเพิ่งยื่นให้นั้นเป็นข้อความบอกรักสั้นๆ
เกรซจิบไวน์ขณะที่เกรนนิวฟ์เปิดข้อความออกอ่าน จากนั้นนางจึงอธิบาย “ท่านเกรนนิวฟ์เจ้าคะ นี่เป็นข้อความถึงท่าน จากสุภาพบุรุษท่านหนึ่งที่ข้าพบตอนอยู่ข้างล่าง”
“หืม…” เกรนนิวฟ์ประหลาดใจเล็กน้อย และเมื่อเขาได้อ่านข้อความบนเศษกระดาษนั้นดีๆ คิ้วก็พลันขมวดเข้าหากันเล็กน้อย แต่ไม่นานสีหน้าเขาก็กลับมาเป็นดังเดิม “ฮะๆ… คนรู้จักในอดีตน่ะ… ชวนให้นึกถึงเรื่องในอดีตเสียจริง” เกรนนิวฟ์โบกมือสบายๆ แล้วเผากระดาษแผ่นนั้นด้วยไม้ขีดไฟ จากนั้นจึงถามนางด้วยใบหน้ายิ้มๆ “เกรซ สุภาพบุรุษผู้นั้นดูเป็นอย่างไรเช่นนั้นหรือ”
“ผมดำ… ตาดำ ดูน่านับถือเจ้าค่ะ ข้าต้องขออภัยด้วย ข้าไม่นึกว่าข้อความนี้จะกวนใจท่านเกรนนิวฟ์ ข้านึกเพียงว่านี่เป็นการช่วยเหลือชายผู้นั้นเล็กๆ น้อยๆ เพราะเขาดูสุภาพมีมารยาทมากเจ้าค่ะ” เกรซกล่าวขอโทษขอโพย
คำบรรยายรูปลักษณ์ของลูเซียนที่นางกล่าวนั้นคลุมเครืออย่างยิ่ง ผมดำ ตาดำ ดูน่านับถือ… นั่นคือทั้งหมดที่เกรนนิวฟ์จะทราบได้จากนาง
“ไม่ต้องกังวลไปหรอก เกรซ! ไม่มีอะไรสำคัญเลย” เกรนนิวฟ์โบกมืออีกครั้ง “อย่าให้เขามาทำลายมื้อค่ำแสนโรแมนติกของเราเลยนะ”
เกรซพยักหน้า ภายในใจนางรู้สึกโล่งอกเล็กน้อย ในเมื่อนางทำหน้าที่ตามที่ท่านอีวานส์สั่งแล้ว ก็ได้แต่หวังว่านางจะยังรักษาชีวิตดั่งฝันของนางต่อไปได้
…
ในมุมมืดใกล้ๆ กันกับร้านฉลาม ลูเซียนที่เปลี่ยนรูปลักษณ์ด้วยการใช้ ‘เวทแปลงกาย’ เวทมนตร์ระดับหนึ่ง กำลังจับตามองขณะที่เกรนนิวฟ์ไปส่งเกรซกลับบ้านด้วยเรือหัวแหลมลำหรู
“ออกมาเถอะ สหาย ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ตรงนั้น” จู่ๆ ลูเซียนก็กล่าวกับความมืดรอบกาย
เงาร่างสีดำปรากฏขึ้นบนกำแพงแล้วเดินออกมา “เป็นเจ้าที่สะกดรอยตามมาตลอดสินะ”
ผู้พูดเป็นชายวัยกลางคน ใบหน้าเขาตอบเล็ก และเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนก็ยาวถึงหัวไหล่ ดวงตาสีน้ำตาลของเขามีประกายเฉียบแหลม และลูเซียนก็รู้ดีว่าเขาหาใช่หนึ่งในผู้อารักขาของเกรนนิวฟ์
“เจ้าใช่นักเวทหรือไม่” ชายวัยกลางคนถาม พลางจ้องมองชายหนุ่มผมดำตาดำตรงหน้า
“แน่นอน หากไม่ใช่นักเวทแล้ว ทำไมข้าถึงต้องวุ่นวายติดต่อกับท่านเกรนนิวฟ์เพื่อเดินทางไปยังเมืองอัลลินด้วยเล่า”
ในขณะที่เขาพูด ลูเซียนไม่ได้อำพรางคลื่นพลังที่เขาเรียกเตรียมไว้เพื่อร่ายคาถาเลย
“เช่นนั้นหรือ แต่ว่า…” ชายวัยกลางคนแย้มยิ้ม “แต่ว่าเจ้าอาจจะเข้าใจอะไรผิดไปหน่อย สหาย เกรนนิวฟ์หาใช่ผู้ประสานงานจากสภาเวทมนตร์ไม่ เป็นข้าต่างหาก โปรดเรียกข้าว่าฝีพาย”
ด้วยเวทมนตร์ที่ใช้ สีหน้าของลูเซียนจึงดูแข็งกระด้างเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะแปลกใจ แต่ใบหน้าเขาก็ไม่ได้แสดงออกอะไรนัก
“ไม่ใช่เจ้าเพียงผู้เดียวที่ได้รับข้อมูลมาผิดๆ ความจริงแล้ว มีผู้คนมากมายคิดว่าเกรนนิวฟ์คือผู้ประสานงาน” ฝีพายกล่าวเสริม “นั่นก็พอจะเข้าใจได้ ในเมื่อเขาเป็นผู้มีอิทธิพลในการรักษาความลับใต้ดินของเมืองสเติร์ก ดังนั้นเราจึงสะกดรอยตามและจับตามองเขาตลอดเวลาเช่นกัน เพื่อที่จะค้นหาคนอย่างพวกเจ้าอย่างไรล่ะ”
ลูเซียนไม่ได้รู้สึกประหม่ากับข้อเท็จจริงที่ว่าเขาอาจส่งข้อความไปให้ผิดคน ในเมื่อข้อความที่เขาทิ้งไว้ในกระดาษแผ่นนั้นหาได้มีอะไรพิเศษ แต่เป็นเพียงการขอความช่วยเหลือของนักเวททั่วไป ในจดหมายนั้น ลูเซียนเรียกเกรนนิวฟ์ว่า ‘ผู้ประสานงานสภาเวทมนตร์’ ออกไปตรงๆ แทนที่จะเรียกชื่อเขา และทิ้งสถานที่กับเวลานัดพบไว้ด้วย
ทว่า ลูเซียนไม่ได้คาดหวังหรอกว่าเกรนนิวฟ์จะส่งใครสักคนมาพบเขาตามที่เขาระบุไว้ในข้อความ อย่างไรเสีย มันก็ถือว่าเป็นเรื่องเสี่ยงเกินไปสำหรับเขา จุดประสงค์ที่แท้จริงคือ เขาอยากจะบอกเกรนนิวฟ์ว่ามีใครบางคนกำลังสะกดรอยตามเขา เพื่อให้เขาลอบส่งคนมาสืบหาว่าคนผู้นั้นคือใคร
แล้วจากนั้นลูเซียนก็จะจงใจปล่อยให้พวกเขาหาเขาเจอเพื่อที่จะติดต่อกับคนของเกรนนิวฟ์ด้วยวิธีที่เสี่ยงน้อยกว่า
ขณะเผชิญหน้ากับชายวัยกลางคนผู้นี้ ลูเซียนไม่คิดจะเชื่อคำพูดของเขาทั้งหมด อย่างไรเสีย ลูเซียนก็ไม่คิดว่าเฟลิเปจะโกหกเหล่านักเวทฝึกหัดและนักเวทศาสตร์มืดต่อหน้า ‘ศาสตราจารย์’ ผู้ที่มาจากสภาเวทมนตร์เช่นเดียวกันอยู่แล้ว
“เจ้าจะพิสูจน์คำพูดของเจ้าได้อย่างไร” ลูเซียนถามอย่างยิ่งสงบ
“ก็นะ… ข้าไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ตัวเองเสียหน่อย” ฝีพายยิ้มกริ่ม “หากเจ้าไม่เชื่อข้า ข้าก็สามารถจากไปในทันที แต่คิดดูก็แล้วกัน หากว่าข้าเป็นผู้พิทักษ์ราตรีจริงๆ แล้วล่ะก็ การที่เจ้าถูกเปิดเผยตัวเช่นนี้แล้ว เหตุใดข้าจึงยังเสียเวลาพูดคุยกับนักเวทระดับหนึ่งอย่างเจ้าอยู่อีกเล่า ข้าน่าจะปรากฏกายพร้อมกับบาทหลวงและพระคาร์ดินัลคนอื่นๆ ในสเติร์กแล้วสังหารเจ้าภายในวินาทีเดียวมากกว่านะ”
เมื่อประเมินจากคลื่นพลังของลูเซียน เขาสามารถบอกได้คร่าวๆ ถึงความแข็งแกร่งของลูเซียน
“เอาล่ะ… นั่นเป็นเรื่องจริง” ลูเซียนยักไหล่
“แต่ข้าจะเชื่อใจเจ้าได้อย่างไร” ฝีพายส่ายศีรษะ “มีผู้พิทักษ์ราตรีหลายคนที่เป็นนักเวทมาก่อน แต่พวกเขาทรยศเรา นอกจากนี้ เมื่อสองเดือนก่อน ตอนที่ท่านเฟลิเปนำกลุ่มนักเวทยี่สิบสองคนฝ่าการปิดล้อมของศาสนจักร พวกเขากลับถูกพบตัว แม้ว่าท่านจะใช้กำลังฝ่าการปิดล้อมไปได้และทำให้โทสะของเหล่าผู้นำศาสนจักรยิ่งพุ่งสูง แต่ทางศาสนจักรกลับยิ่งตรวจสอบอย่างละเอียดกว่าเดิมและเราก็ต้องสูญเสียกำลังไปมากเพราะการทรยศหักหลังครั้งนี้ และพวกมันยังจัดให้ท่านเฟลิเปอยู่ในลำดับที่สามร้อยห้าสิบเก้า ใน ‘บัญชีกวาดล้าง’ อีกด้วย”
ความคิดแรกของลูเซียนตอนที่ได้ยินคำพูดของฝีพายคืออันดับของเขาตกไปที่สามร้อยหกสิบตามหลังเฟลิเปเสียแล้ว ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ทำให้เขารู้สึกดีเลยสักนิด
“เช่นนั้นเจ้าอยากให้ข้าพิสูจน์ตนเองอย่างไร” ลูเซียนถาม เขาเองก็ยังไม่เชื่อใจในตัวชายที่เพิ่งแสดงตนต่อหน้าเขาในคืนนี้
“ตามแบบแผนดั้งเดิมของเรา… เจ้าต้องหาใครสักคนจากสภามายืนยันตัวตน เช่น คนที่บอกเจ้าว่าสภาเวทมนตร์อยู่ที่ใดและใครคือผู้ประสานงานในเมืองสเติร์ก”
“เขาจากไปแล้ว ข้าไม่ทราบแม้กระทั่งชื่อของเขา” แน่นอนว่าลูเซียนไม่มีทางบอกว่าเป็นเฟลิเป
“ก็นะ… นั่นก็ถือเป็นเรื่องปกติ” ฝีพายพยักหน้า “เช่นนั้นเจ้าก็ต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อพิสูจน์ตน”
“เช่นอะไร” ลูเซียนนึกสงสัย
“เดือนก่อน ชายผู้หนึ่งทรยศเรา แม้ว่าเขาจะมี ‘พร’ ที่ปลุกขึ้นจากยาวิเศษที่ได้รับจากสภาเวทมนตร์ ชายผู้นี้ก็ยังละทิ้งเราเพื่อไปเข้ากับทางศาสนจักรและบอกความลับของเราให้พวกมันมากมาย คนของเรามากมายต้องตายไป รวมถึงนักเวทฝึกหัดอนาคตไกลอีกกว่าสามสิบชีวิต พวกเขาต้องตายอยู่ในช่องแคบมรสุม” ฝีพายกล่าว กล้ามเนื้อใบบนหน้าเขายิ่งเห็นได้ชัดขึ้นเรื่อยๆ ขณะพูด
ลูเซียนไม่ตอบกลับอะไร เพียงเฝ้ารอคำอธิบายต่อไปจากฝีพาย
“ตอนนี้คนทรยศผู้นี้กลับมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีทั้งยังได้รับรางวัลจากสภาประจำเมืองเป็นเหรียญตราอัศวิน หากว่าเจ้าสังหารเขาได้ เจ้าก็จะพิสูจน์ได้ว่าเจ้าไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับทางศาสนจักร”
……………………………………….