ในสายตาเฟลิเป ศาสตราจารย์ยังคงพยายามรักษาเกียรติของตน อย่างไรเสีย ข้อเรียกร้องของเขาก็ไม่ได้ส่งผลเลวร้ายอะไร เฟลิเปสามารถเพิ่มข้อตกลงอีกหนึ่งข้อในสัญญาที่จะทำกับนักเวทศาสตร์มืดและนักเวทฝึกหัด ณ ที่แห่งนี้ว่าไม่อนุญาตให้บอกเรื่องตัวตนของผู้ประสานงานในเมืองสเติร์กให้แก่ศิษย์หรือสหายของตนเด็ดขาด
ในเมื่อเฟลิเปได้รับชัยชนะมาแล้ว เขาก็ยอมรักษาสมดุลระหว่างเขากับศาสตราจารย์แบบในตอนนี้ ดีกว่าเริ่มการต่อสู้ที่ไม่มีความจำเป็นใดๆ
“ก็ได้” เฟลิเปพยักหน้า “ตามที่ท่านเรียกร้อง ศาสตราจารย์”
จากนั้นเขาก็หมุนตัวไปพูดกับนักเวทและนักเวทฝึกหัดทั้งหมด “ในเมืองสเติร์ก หรือที่รู้จักกันในนามไข่มุกแห่งท้องทะเล ที่นั่นมีธนาคารชื่อประกายทองคำ เจ้าของชื่อว่าท่านกราเนิร์ฟ ท่านเป็นหนึ่งในผู้รับผิดชอบในการรักษาคำสั่งภายในเมืองให้เป็นความลับ และยังเป็นผู้ประสานงานของสภาเวทมนตร์ ท่านเป็นผู้รับผิดชอบส่งตัวนักเวทและนักเวทฝึกหัดที่โชคดีไปยังเมืองอัลลินโดยฝ่าเส้นทางการปิดล้อมของทางศาสนจักร”
หลังจากนั้น เฟลิเปก็มองไปทางศาสตราจารย์แล้วยักไหล่ “ข้าทำตามที่ลั่นวาจาแล้ว ถึงคราวท่านแล้วล่ะ ท่านศาสตราจารย์”
ลูเซียนยังแสดงท่าทางโกรธจนหัวฟัดหัวเหวี่ยงกับนักเวทและนักเวทฝึกหัดในห้องโถง “พวกเจ้าทุกคนที่นี่จะต้องได้ลิ้มรสความขมขื่นจากความโง่เขลาของพวกเจ้าเองในท้ายที่สุด ความทุกข์ของพวกเจ้าจะมาจากความไร้สามารถในการแยกแยะว่าผู้ใดคือศัตรู ผู้ใดคือมิตร ความทุกข์ของพวกเจ้าจะคงอยู่ไปตลอดกาล”
กลุ่มคนที่กำลังตื่นเต้นกับความจริงที่ว่าการทดลองของศาสตราจารย์ไม่ได้ล้มล้างทฤษฎีแห่งพลังชีวิตพลันรู้สึกเสียกำลังใจ พวกเขาต่างตระหนักว่าในตอนนี้ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะผลักไสหัตถ์ไร้ชีวาได้ไม่พ้นตัวเสียแล้ว
แม้ว่าคนอื่นๆ จะเริ่มรู้สึกวิตกกังวลว่าตนเองกำลังจะต้องเผชิญหน้ากับอะไร ในใจลูเซียนนั้นกลับเต็มไปด้วยความปรีดาเพราะเขากำลังจะได้ออกไปจากสถานที่อันตรายนี้แล้ว จากนั้นเขาก็จะไปอยู่ให้ไกลจากเฟลิเป นักเวทศาสตร์มืดผู้บ้าคลั่งคนนี้
ลูเซียนจ้ำพรวดๆ ลงจากเวทีด้วยความกรุ่นโกรธอันเสแสร้งโดยไม่ยอมให้คนด้านล่างมองเห็นใบหน้าเขาขณะเดินผ่านเลยแม้เสี้ยวเดียว
“ท่านไวเคานต์คาเรนเดีย ข้าขอตัวกลับก่อนนะขอรับ” ลูเซียนโค้งตัวเล็กน้อยให้กับเจ้าของปราสาท
ไวเคานต์คาเรนเดียเพียงยกแก้วไวน์ในมือขึ้นเล็กน้อย “ขอบคุณท่านศาสตราจารย์ที่แสดงงานวิจัยแสนล้ำสมัยจากศาสตร์แห่งธาตุให้ข้าได้เห็น ข้ามั่นใจว่า ด้วยความสามารถของท่าน ท่านจะกลายเป็นจอมเวทที่ยิ่งใหญ่ผู้หนึ่งหลังจากนี้”
ลูเซียนพยักหน้าอยู่ใต้หมวกคลุมแต่ไม่ได้ตอบกลับอะไร
“นี้ด ช่วยไปส่งท่านศาสตราจารย์ด้วย” ไวเคานต์สั่ง
เมื่อลูเซียนกำลังจะหันหลังจากไป ไวเคานต์คาเรนเดียก็เรียกรั้งเขาไว้อีกครั้ง
“ท่านศาสตราจารย์ ข้ามีคำถามจะถามท่านหนึ่งข้อ” ไวเคานต์กล่าว
หัวใจลูเซียนพลันเต้นผิดจังหวะ ‘นี่ท่านไวเคานต์สัมผัสได้แล้วว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติงั้นหรือ’
“ขอรับ” ลูเซียนตอบอย่างใจเย็นที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ข้าสังเกตว่าบนตัวท่านมีกลิ่นที่คุ้นเคยติดอยู่ ท่านศาสตราจารย์” ไวเคานต์คาเรนเดียถามด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความหวัง “ข้าสงสัยว่าท่านเคยรู้จักชายที่ใช้นามสกุลว่าคาเรนเดียเช่นเดียวกับข้าหรือไม่”
“คาเรนเดียหาใช่นามสกุลหายากอะไร” ลูเซียนตอบกลับด้วยความงุนงง “ข้ารู้ว่าดยุกแห่งกุสตาเองก็ใช้นามสกุลคาเรนเดีย แต่ข้าไม่เคยพบท่านมาก่อน ส่วนท่านคาเรนเดียที่ข้ารู้จักเป็นการส่วนตัวนั้น… ใช่ มีอยู่คนหนึ่ง ชื่อของเขาคือไรน์ คาเรนเดีย”
ด้วยเพราะคาเรนเดียนั้นเป็นนามสกุลที่พบได้ทั่วไป ลูเซียนจึงไม่เคยคิดเชื่อมโยงไวเคานต์กับนักดนตรีที่เขารู้จักเลย
“มีเส้นผมและดวงตาสีเงินใช่หรือไม่ขอรับ” นี้ดที่ปกติจะนิ่งเงียบเสมอเอ่ยถามขึ้น
ลูเซียนพยักหน้า “ท่านรู้จักท่านไรน์ด้วยงั้นหรือขอรับ” เขานึกสงสัยว่าไรน์อาจจะไม่ใช่มนุษย์และอาจเป็นญาติของไวเคานต์ก็ได้
“แน่นอนอยู่แล้ว” ไวเคานต์คาเรนเดียถอนหายใจพร้อมกับยกมือข้างหนึ่งขึ้นแตะหน้าปาก “ท่านคือ… หากใช้คำเรียกแบบมนุษย์แล้วก็คง… ท่านคือปู่ของข้า ก็อย่างที่เห็นนะ… ท่านค่อนข้างที่จะไร้ความรับผิดชอบ ใช่ไหม”
“…” ลูเซียนเดาถูก ฉับพลันนั้น เขาก็รู้สึกว่าไวเคานต์ที่อยู่เบื้องหน้าเขาในตอนนี้เป็นเหมือนหลานชายของเขาเอง อย่างไรเสีย ลูเซียนกับไรน์ก็เป็นเพื่อนกัน
เมื่อเห็นว่าศาสตราจารย์รู้จักกับปู่ของไวเคานต์คาเรนเดีย เฟลิเปก็ยิ่งมั่นใจว่าระดับพลังและระดับอาร์คานาของศาสตราจารย์นั้นสูงมาก หากดูจากระดับพลังของไวเคานต์แล้ว ท่านไรน์ ปู่ของท่านก็คงจะเป็นแวมไพร์ระดับสูงเป็นอย่างต่ำ ดังนั้น การจะเป็นสหายกับแวมไพร์ระดับสูงได้ คนผู้นั้นก็จะต้องอยู่ในระดับเดียวกัน
“ท่านพอจะบอกได้หรือไม่ว่าท่านปู่ของข้าอยู่ที่ไหนในตอนนี้” ไวเคานต์ถาม
“ครั้งก่อนที่ข้าพบกับเขา เขาอยู่ที่เมืองอัลโต้” ลูเซียนชะงัก “แต่ตอนนี้… ข้าไม่รู้จริงๆ”
“ขอบคุณท่านศาสตราจารย์มาก ในเมื่อท่านรู้จักกับปู่ของข้า มันคงจะเป็นเกียรติไม่น้อยหากท่านจะอยู่ในปราสาทของข้าต่ออีกสักสองสามวัน” ไวเคานต์เชื้อเชิญด้วยความกระตือรือร้น
แน่นอนว่าสิ่งสุดท้ายที่ลูเซียนต้องการในตอนนี้ก็คือการอยู่ที่นี่ต่อ หลังจากรู้ว่าใครคือผู้ประสานงานในเมืองสเติร์ก ลูเซียนก็ไม่ขออะไรอีกแล้ว
“ขอบคุณขอรับ ท่านคาเรนเดีย แต่ข้าคงอยู่ต่อไม่ได้จริงๆ อีกอย่าง ข้ายังมีธุระที่ต้องจัดการอยู่อีกมาก”
“เช่นนั้นก็ได้” ไวเคานต์คาเรนเดียแย้มยิ้ม “ข้าหวังว่าเราจะได้พบกันใหม่อีกครั้ง ขอแสงจันทราเงินอำนวยพร ท่านศาสตราจารย์
ลูเซียนพยักหน้า จากนั้นก็เดินตามพ่อบ้านออกไปจากห้องโถง กล้ามเนื้อทุกส่วนบนแผ่นหลังของเขาเกร็งเครียดเพราะความประหม่าหวาดหวั่น ลูเซียนรู้สึกเหนื่อยอ่อนอย่างยิ่ง และตอนนี้เขาก็ไม่สามารถรับมือกับอะไรได้อีกแล้ว
ขณะเฝ้ามองศาสตราจารย์เดินจากไป เจ้าอ้วนก็ถอนหายใจออกมา “หากเราแกล้งทำเป็นสนับสนุนการทดลองของท่านศาสตราจารย์ เราก็คงไม่ต้องถูกบังคับให้เข้าร่วมหัตถไร้ชีวาในตอนนี้…”
“ข้าว่านี่คือผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแล้ว” นักเวทศาสตร์มืดตรงหน้าเขากล่าวขึ้น “หากท่านศาสตราจารย์ยืนกรานต่อไป สิ่งที่จะเกิดขึ้นในตอนนี้ก็คือการต่อสู้ด้วยเวทมนตร์แสนร้ายกาจ และการชุมนุมครั้งนี้ก็จะกลายเป็นงานฉลองความตายอย่างแท้จริง”
นักเวทศาสตร์มืดบนเวทีเหลือบมองกันเร็วๆ แล้วพยักหน้า พวกเขาวางแผนว่าจะต่อรองกับเฟลิเปเรื่องเนื้อหาในสัญญาเวทมนตร์เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนในขณะที่เฟลิเปกำลังอารมณ์ดีจากการเอาชนะศาสตราจารย์ได้
เฟลิเปเฝ้ามองศาสตราจารย์ออกไปจากปราสาทด้วยรอยยิ้มมีชัยบนใบหน้า
ทว่า เมื่อศาสตราจารย์หายลับไปในความมืดของปราสาทแล้ว สีหน้าของเฟลิเปก็กลายเป็นมืดหม่นขมขื่นทันที มือทั้งสองข้างของเขาที่ซุกอยู่กระเป๋าเสื้อคลุมกำแน่น
แม้ว่าเขา เช่นเดียวกับนักเวทศาสตร์มืดและนักเวทฝึกหัดในที่นี้จะไม่เต็มใจยอมรับว่าคาร์บาไมด์คือองค์ประกอบชีวิต งานวิจัยของศาสตราจารย์ก็นับว่าล้ำสมัยอย่างไม่ต้องสงสัย จินตนาการได้ไม่ยากเลยว่าชื่อเสียงของศาสตราจารย์จะพุ่งสูงเพียงใดจากการทดลองของเขา และกระทั่งกระแสการสังเคราะห์สารอินทรีย์หรือองค์ประกอบชีวิตด้วยธาตุล้วนๆ ก็อาจเริ่มต้นขึ้นในเร็วๆ นี้
เฟลิเปรู้สึกได้ถึงพายุรุนแรงที่กำลังจะเข้าโจมตีใส่ทฤษฎีแห่งพลังชีวิต
และในการแข่งขันอันยิ่งใหญ่นี้ หากเทียบกับศาสตราจารย์ที่เป็นนักเวทรุ่นเยาว์เช่นเดียวกัน ตอนนี้เขาก็ถือว่าล้าหลังไปมาก
เขาจะต้องไล่ตามศาสตราจารย์ให้ทัน จากนั้นก็บดขยี้อีกฝ่ายไม่ให้เหลือซาก
…
หลังออกมาจากปราสาท ลูเซียนก็พบว่าตนเองอยู่ท่ามกลางหุบเขาแปลกตา เขามองไม่เห็นดวงจันทร์สีเงินหรือทะเลสาบเลย มีเพียงต้นไม้สูงชะลูดเท่านั้นที่รายล้อมรอบกาย
“ปราสาทนี้มีชีวิตและมีชื่อว่าอะมอเรสขอรับ ท่านศาสตราจารย์” นี้ดอธิบายด้วยความเคารพ เนื่องจากลูเซียนรู้จักท่านเคานต์ที่เขาเคยรับใช้มาก่อน “พลังชีวิตของอะมอเรสมาจากการเล่นแร่แปรธาตุขอรับ”
“อย่างนี้นี่เอง” ลูเซียนพยักหน้า “ตอนที่ข้าใช้เวทฝ่ามือเกริกก้องคงจะรบกวนอะมอเรสไม่น้อยเลย”
ชีวิตที่เกิดขึ้นจากการเล่นแร่แปรธาตุนั้นมาจากดวงจิตจำเพาะ วิญญาณแค้น กับส่วนประกอบอื่นๆ และเรื่องนี้ก็มีพูดถึงในตำราว่าด้วยศาสตร์มืด แม้ว่าลูเซียนจะเข้าใจกรอบความคิดนี้ ก็ยังอดรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยไม่ได้ที่ปราสาททั้งหลังนี้มีชีวิต
“ไม่ต้องห่วง ท่านศาสตราจารย์” เสียงอู้อี้ดังมาจากตัวปราสาท “ก็แค่คันๆ เท่านั้น”
ลูเซียนไม่รู้ว่าควรจะตอบอะมอเรสอย่างไรถึงจะเหมาะสม จึงทำเพียงกระตุกมุมปากยิ้มแหยใต้หมวกคลุม
แล้วจากนั้นเขาก็พยักหน้าให้กับพ่อบ้าน ก่อนจะเดินเข้าไปในป่าด้วยฝีเท้ายาวๆ เอื่อยเฉื่อย
เมื่อลูเซียนรู้สึกว่าเขาออกห่างจากปราสาทมาพอสมควรแล้ว และหลังจากที่เขาใช้คาถาสองสามบทจากตำราโหราศาสตร์และเวทธาตุเพื่อตรวจสอบรอบๆ นี้แล้ว ลูเซียนก็เปลี่ยนร่างกายตนให้เป็นแสงจันทร์แล้วเริ่มออกวิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
เขาวิ่งต่อไปเรื่อยๆ ไม่หยุดหย่อน เขาไม่รู้เลยว่าตนวิ่งมาไกลแค่ไหนแล้วและเลี้ยวมาแล้วกี่ครั้ง
จนกระทั่งดวงอาทิตย์กำลังจะเผยโฉม ณ ขอบฟ้า ลูเซียนจึงกลับมายังสถานที่ที่เขาใช้ซ่อนข้าวของไว้ก่อนจะไปร่วมการชุมนุมในที่สุด
เขาจัดการเปลี่ยนไปสวมชุดสูทและเผาเสื้อคลุมทิ้ง แล้วฉับพลันนั้นแข้งขาของลูเซียนก็อ่อนแรงจนล้มลงใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง แขนขาเขาแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงใดๆ ในขณะที่หัวใจยังคงเต้นถี่รัว เขารู้ว่าเขาเพิ่งรอดพ้นจากสถานการณ์ที่อันตรายร้ายแรงที่สุดเท่าที่เขาเคยประสบพบเจอมา
ลูเซียนรู้สึกซาบซึ้งในความนิ่งสงบและความรู้ของตนเอง และยังโทษตัวเองที่ประมาทกับใจร้อนเกินไปอีกด้วย
หลังจากได้มงกุฎสุริยันมาจากมิติเวทมนตร์และเลื่อนระดับขึ้นเป็นนักเวท หลังจากที่เขาโชคดีกับการทำลายแผนการของบารอนฮาเบโร ลูเซียนรู้ว่าเขาได้กลายเป็นคนหุนหันพลันแล่น ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องอันตรายร้ายแรงบนโลกนี้
ครั้งนี้เขาได้บทเรียนแล้วจริง
แต่ว่าเขาก็ยังได้รับสิ่งสำคัญกลับมาเช่นนั้น นั่นก็คือ ตอนนี้เขารู้แล้วว่าใครคือผู้ประสานงานในเมืองสเติร์ก
หลังจากพักผ่อนครู่สั้นๆ ลูเซียนก็ยืนขึ้นแล้วมุ่งหน้าไปทางตะวันออก
คราวนี้จุดหมายปลายทางของเขาคือเมืองสเติร์ก ไข่มุกแห่งท้องทะเล!
……………………………………….