“ศาสตราจารย์?!” นักเวทฝึกหัดบางคนอุทานขึ้น
ลูเซียนก้าวขึ้นไปบนเวทีทีละก้าวๆ ท่ามกลางสายตานับร้อยคู่จากผู้คนโดยรอบ
นักเวทศาสตร์มืดและนักเวทฝึกหัดที่ไม่อยากเข้าร่วมองค์กรหัตถ์ไร้ชีวานั้นคล้ายกับจะมีกำลังใจขึ้นมา แต่ไม่นานพวกเขาต่างก็เริ่มกังวล ในเมื่อพวกเขาไม่รู้ว่าศาสตราจารย์แข็งแกร่งพอจะเผชิญหน้ากับชายผู้บ้าคลั่งหรือไม่ แม้ว่าชื่อของเขาจะอยู่ในรายนามชำระล้างก็ตาม
“ท่านศาสตราจารย์จะเป็นอะไรไหมนะ” เจ้าอ้วนถามสหายของตนด้วยเสียงแผ่วเบา ขณะที่ฟันเขากระทบกันดังกึกๆ
“ไม่เป็นไรแน่นอน…” ขนมปัง นักเวทฝึกหัดร่างท้วมตอบ เขาพยายามปลอบเจ้าอ้วนและตนเอง “เจ้าคิดว่าผู้ใดก็สามารถมีชื่อติดโผไล่ลาของศาสนจักรเช่นนั้นหรือ”
“เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านเฟลิเปไม่ได้มีชื่ออยู่ในนั้นเช่นกัน” ไวน์เอ่ยแทรกขึ้น ทั้งไวน์และการ์รูปายังคงไม่มั่นใจนัก
ที่น่าสนใจก็คือ ตอนที่ลูเซียนกำลังเดินขึ้นไปบนเวที ความคิดเขาก็แบ่งออกเป็นสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งคือความตื่นเต้นและประหม่ากลัว แต่อีกฝั่งคือความรู้สึกที่ว่าสถานการณ์ทั้งหมดนี้มันช่างน่าขัน แม้จะมีแรงกดดันสูงมากก็ตาม
สายตาของเฟลิเปนั้นเย็นเยียบ “ท่านศาสตราจารย์ ท่านอยากจะพูดอะไรกันแน่ ข้าเพิ่งทำในสิ่งที่ไม่อยากจะทำลงไป และมันเป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะยอมถอย หากท่านไม่ให้เหตุผลที่เหมาะสมแล้วล่ะก็ ข้าคิดว่าไม่ข้าก็ท่านคงได้ตายอยู่บนเวทีนี้แน่”
มุมปากลูเซียนกระตุกขึ้นเล็กน้อย เขาอยากจะแนะให้เฟลิเปนั่งลงจิบชาเพื่อให้ใจเย็นลงก่อนจะพูดคุยกันจริงๆ
แต่ถึงจะคิดเช่นนั้น ลูเซียนก็ยังตอบกลับด้วยท่าทางนิ่งสงบ “ข้ามาจากเจตจำนงแห่งธาตุ และข้าก็ไม่ได้ว่าอะไรกับความจริงที่ว่าหัตถ์ไร้ชีวาพยายามจะเติบโตขึ้นด้วยการหาสมาชิกเพิ่ม” สิ่งสุดท้ายที่ลูเซียนอยากจะทำในตอนนี้ไม่ใช่การทำให้เฟลิเปหัวเสียในทันที
เฟลิเปมีท่าทางมึนงง “ท่านหมายความว่าอย่างไร เช่นนั้นท่านมาที่นี่ทำไมกัน”
นักเวทศาสตร์มืดและนักเวทฝึกหัดที่หลืออยู่ต่างประหลาดใจที่ได้รู้ว่าศาสตราจารย์ก็เป็นคนจากองค์กรในสภาเวทมนตร์เช่นกัน
“ข้ามาที่นี่เพราะข้าไม่ชอบวิธีการหาสมาชิกเพิ่มของท่าน” จากนั้นลูเซียนก็เปลี่ยนน้ำเสียง “ไม่มีใครควรถูกบังคับให้เข้าร่วมอะไรโดยไม่เต็มใจ และด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่ควรตำหนิผู้อื่นในผลที่ตามมา”
“ยอดเยี่ยม” เฟลิเปปรบมือ “แต่ ถ้าหากว่าการบังคับคือวิธีการของข้าเล่า”
เฟลิเปกำลังยั่วยุศาสตราจารย์ให้หมดความอดทน และเขาก็พร้อมสำหรับการต่อสู้แล้ว
ครานี้ ลูเซียนเปลี่ยนหัวข้อไปโดยไม่ตอบคำถามของเฟลิเปโดยตรง “อีกอย่าง ข้าไม่เห็นด้วยกับท่านในเรื่องที่ท่านเพิ่งพูดเกี่ยวกับเจตจำนงแห่งธาตุ ข้าอยากจะถกเรื่องนี้กับท่านสักหน่อย”
“เรื่องใดกัน” เฟลิเปยิ่งรู้สึกสับสนมึนงงกว่าเดิม
ศาสตราจารย์อยากจะทำอะไรกันแน่
“จากสิ่งที่ท่านเพิ่งพูดไป ท่านคิดว่ารากฐานของร่างกายมนุษย์นั้นคือพลังชีวิต และหากพลังชีวิตไม่ได้ผสมรวมด้วย เพียงธาตุต่างๆ จะไม่สามารถสังเคราะห์ชิ้นส่วนอวัยวะในร่างกายมนุษย์ได้ เช่น เลือด กล้ามเนื้อ หรือของเสียต่างๆ ในร่างกาย ใช่หรือไม่” ลูเซียนถามอย่างใจเย็น
เฟลิเปไม่คาดคิดว่าศาสตราจารย์จะอยากโต้แย้งกับเขาในเรื่องนี้บนเวที ณ เวลานี้ เขาจึงหัวเราะออกมา “เป็นเช่นนั้น และความลับของร่างกายมนุษย์ก็ไม่ใช่สิ่งที่ท่านกับพวกคนที่เล่นแร่แปรธาตุไปวันๆ จะเข้าใจได้”
“ท่านอ้างอิงจากอะไรกันล่ะ” ลูเซียนถาม
“ท่านศาสตราจารย์ จากทุกงานวิจัยนับแต่ช่วงจักรวรรดิเวทมนตร์โบราณ จนถึงกระแสความเชื่อหลักในสภาเวทมนตร์ทุกวันนี้ ข้าไม่พบอะไรที่จะทำให้ข้านึกสงสัยในทฤษฎีแห่งพลังชีวิตเลย แม้แต่ศาสนจักรยังยอมรับว่าพลังชีวิตคือสิ่งสำคัญต่อร่างกายมนุษย์ หากไม่มีพลังชีวิต แขนที่ขาดไปก็ไม่มีทางงอกขึ้นมาใหม่ได้ ความแตกต่างเดียวระหว่างศาสนจักรกับเราก็คือความเข้าใจในพลังชีวิต ในขณะที่พวกมันเชื่อว่าพระเจ้าคือผู้มอบพลังชีวิตให้ แต่เรายังคงตามหาคำตอบนี้จากต้นกำเนิดของโลกใบนี้” เฟลิเปอธิบายถึงความเชื่อของเขาอย่างมั่นใจ “เมื่อไม่กี่สิบปีก่อน นักเวทระดับสูงหลายท่านพยายามจะสังเคราะห์กล้ามเนื้อมนุษย์โดยใช้เพียงธาตุต่างๆ เท่านั้น แต่ก็ล้มเหลว และในเวลานั้น แม้แต่นักเวทแห่งธาตุก็ยอมรับว่าวิธีนี้ไม่มีทางได้ผล แต่ตอนนี้ท่านกำลังจะล้มล้างงานวิจัยที่มีพื้นฐานมาจากจอมเวทและนักเวทในอดีตมากมายเช่นนั้นหรือ ท่านกำลังล้อข้าเล่นอยู่หรือไร”
แน่นอนว่าคำพูดของเฟลิเปนั้นทั้งรุนแรงและโน้มน้าวใจ ในโลกของเขา ในเมื่อทฤษฎีแห่งพลังชีวิตคือรากฐานของศาสตร์มืด มันจะไม่มีทางถูกสั่นคลอนและสั่นคลอนไม่ได้ไปตลอดกาล
คนที่เหลือต่างคิดเหมือนกับเฟลิเป เนื่องจากพวกเขาไม่เคยประสบพบเจอกับช่วงเวลาที่ความรู้เกี่ยวกับอาร์คานานั้นปะทุขึ้น พวกเขาจึงยังเคารพและชื่นชมตำราว่าด้วยศาสตร์มืดเหมือนกับที่พวกเคร่งศาสนาเคารพบูชาพระคัมภีร์ แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าศาสตราจารย์กำลังช่วยพวกเขา เหล่านักเวทศาสตร์มืดกับนักเวทฝึกหัดก็ยังรู้สึกว่าสิ่งที่ศาสตราจารย์พยายามจะพูดนั้นน่าขบขันยิ่ง
แม้แต่ไวเคานต์คาเรนเดียที่เฝ้ามองสิ่งที่เกิดขึ้นบนเวทีโดยมีแก้วไวน์อยู่ในมือ ก็เริ่มจะตื่นเต้น นั่นก็เพราะศาสตราจารย์กำลังท้าทายรากฐานของอาร์คานา
นั่นคือสิ่งที่ลูเซียนต้องการจะทำเพื่อให้เฟลิเปไขว้เขว
ลูเซียนมองไปรอบๆ ห้องโถงแล้วก็สังเกตเห็นว่าซิดนีย์คือคนคนเดียวที่ยังมีสีหน้าจริงจัง
“ดูเหมือนว่าคงจะมีเพียงท่านซิดนีย์เท่านั้นที่เข้าข้างข้านะ” ศาสตราจารย์ถาม “ท่านซิดนีย์คือคนผู้เดียวที่ไม่หัวเราะเยาะข้าในตอนนี้”
“ขออภัยด้วย ท่านศาสตราจารย์ ใบหน้าข้านั้น เพราะใช้พิธีกรรมเปลี่ยนโฉม จึงแสดงสีหน้าใดไม่ได้” ซิดนีย์ตอบด้วยสีหน้าแบบเดิม
หลายคนหลุดเสียงหัวเราะออกมา
“ท่านเฟลิเป จะเกิดอะไรขึ้นหากข้าจะบอกว่า” ลูเซียนหันกลับมาอย่างไม่ใส่ใจแล้วเอ่ยขึ้นด้วยความสงบ “ข้าสามารถสังเคราะห์ชิ้นส่วนในร่างกายมนุษย์ได้โดยใช้เพียงธาตุหรือวัตถุไร้พลังชีวิตเท่านั้น ท่านจะเชื่อข้าหรือไม่”
ในประวัติศาสตร์โลกก่อน การศึกษาสารอินทรีย์ก็ถูกทฤษฎีแห่งพลังชีวิตครอบงำอยู่นานเช่นกัน แต่ทว่า ช่วงศตวรรษที่สิบเก้านั้น เมื่อกรดอะซิติก คาร์บาไมด์ (ยูเรีย) และสารอินทรีย์อื่นๆ ถูกสังเคราะห์เทียมขึ้นได้สำเร็จ ความลับของทฤษฎีนี้ก็เปิดเผยออกมาจนหมดสิ้น
ทุกคนในห้องโถงเงียบเสียงลง
“เป็นไปไม่ได้ ท่านคิดว่าท่านเป็นใครกัน… ผู้ชนะรางวัลยอดมงกุฎแห่งโฮล์มเช่นนั้นหรือ” เฟลิเปหัวเราะขัน “หยุดพูดจาไร้สาระเสียที! จงบอกเจตนาที่แท้จริงมาเสีย!”
“ข้าคิดว่าท่านศาสตราจารย์เพียงพยายามจะ… พยายามจะเล่นมุกตลก” เซสซี่เข้ามาไกล่เกลี่ย
“มีเพียงการทดลองจริงๆ เท่านั้นที่จะอธิบายแทนตัวข้าได้” ศาสตราจารย์พูดต่อ “หากท่านไม่เชื่อคำพูดของข้า เช่นนั้นท่านอยากจะพนันกับข้าหรือไม่เล่า”
“ท่านต้องการอะไร” เฟลิเปถามอย่างโกรธจัด
“หากข้าสามารถสังเคราะห์บางอย่างที่อยู่ในร่างกายมนุษย์ขึ้นมาได้โดยไม่ใช้สิ่งที่มีพลังชีวิต ท่านจะต้องบอกทุกคนที่นี่ว่าผู้ประสานงานจากสภาเวทมนตร์ที่อยู่ในเมืองสเติร์กคือผู้ใด และปล่อยให้พวกเขาตัดสินใจด้วยตัวเองว่าจะเข้าร่วมหัตถ์ไร้ชีวาหรือไม่ หากว่าข้าล้มเหลว ข้าจะขอโทษท่าน แล้วไปจากงานฉลองในทันที ท่านเห็นเป็นเช่นไร” ลูเซียนถาม
……………………………………….