ผู้พิทักษ์ราตรีทั้งห้าคนยืนนิ่งรอบศพหมาป่าไฟราวกับเป็นรูปปั้น ความเงียบงันปกคลุมทุกคนด้วยแรงตึงเครียดมหาศาล
ท่ามกลางความมืด คลาวน์กำหมัดแน่นด้วยความแค้นและพ่นคำสบถลอดออกมาผ่านฟันที่กัดแน่น
“ศาสตราจารย์…!”
เมื่อถอดถุงมือสีดำออก ซัลวาดอร์ หรือ ‘ผู้คุมกฎ’ วางมือเปลือยเปล่าทาบอกและเริ่มสวดมนต์ภาวนาให้กับผู้พิทักษ์ราตรีผู้วายชนม์ยี่สิบห้าชีวิต เสียงของเขาฟังดูขลังจนน่าขนลุก “ก่อกรรมดี ย่อมได้ดี พวกท่านคงอยู่นิจนิรันดร์เมื่อชีพวาย สวรรค์เปิดประตูรับพวกท่าน”
หลังจากนั้น ซัลวาดอร์ดึงผ้าสีขาวออกมาผูกกับข้อมือตัวเอง “วันที่ข้าได้เผา ‘ศาสตราจารย์’ ทั้งเป็นจะเป็นวันที่ข้าแก้มัดผ้าผืนนี้”
หลังจากคำสาบานของซัลวาดอร์ เล็นด์ซึ่งเป็นอัศวินหลวงก็ผูกผ้าสีขาวเหมือนกันและค้อมศีรษะลง “ข้าจะไม่มีวันลืมการต่อสู้ครั้งนี้ สหายข้า เจ้า ‘ศาสตราจารย์’ นั่นต้องชดใช้ด้วยเลือด”
“ศาสตราจารย์เป็นเป้าหมายสูงสุดในบัญชีแค้นของข้า” จูเลียนาเอ่ยร่วมสนทนา เมื่อนึกถึงการต่อสู้ที่ดุเดือด หัวใจของจูเลียนายังคงเต็มไปด้วยความกลัว นางต้องทุกข์ทรมานจากการเห็นสหายร่วมกองผู้พิทักษ์ราตรีถูกสังหารไปทีละคนสองคนต่อหน้าต่อตา นางยังจำความสิ้นหวังตอน ‘เวทเยียวยา’ ไม่สามารถทำอะไรได้ เมื่อเจอกับพลังปีศาจ แม้จูเลียนาจะเกลียดศาสตราจารย์เข้าไส้ นางก็กลัวเขาสุดขั้วหัวใจเช่นกัน
“ไอ้เลว… ชั่วช้าระยำ!” คลาวน์ทนไม่ไหวอีกต่อไป “ข้าจะหามันให้เจอ จะทรมาน ไม่ว่ามันจะไปที่ไหน ไม่ว่ามันจะเป็นใคร ข้าจะจับตัวมันมาเป็นทาส ข้าจะปล่อยปีศาจกัดกินวิญญาณมัน ให้ไปทรมานต่อในนรก!” คลาวน์ไม่เคยล้มเหลวขนาดนี้มาก่อน ตั้งแต่เขาร่วม ‘กองผู้พิทักษ์ราตรี’ ในฐานะอัศวินหลวงระดับห้า ความเชื่อมั่นของเขาพังทลายลงในคืนนี้
หน้ากากตัวตลกที่ใบหน้ายิ้มตลอดเวลาบนหน้าของเขาดูแปลกตาและน่าขนลุกอยู่ในความมืด
“ข้าผิดเอง ข้าอยู่ใกล้ศาสตราจารย์มาก…” มินสค์ผูกผ้าขาวด้วยเช่นกัน
คลาวน์ค่อยๆ ใจเย็นลง แล้วหันไปทางผู้พิทักษ์ราตรีอีกสี่นาย “ศาสตราจารย์น่าจะหนีออกจากอัลโต้เร็วๆ นี้ เราควรเพิ่มชื่อศาสตราจารย์ใน ‘บัญชีกวาดล้าง’ ไล่ล่ามันไปทั้งทวีป”
“ข้าเกรงว่าไอ้เลวนั่นอาจยังไม่ถึงขั้น” เล็นด์พูดด้วยความลังเล “รู้ๆ กันว่าชื่อในบัญชีล้วนเป็นพวกที่มีพลังสูงๆ ทั้งนั้น บางคนเปลี่ยนสถานการณ์โลกได้เพียงพลิกฝ่ามือ ไอ้ศาสตราจารย์… มันเป็นนักเวทระดับสามหรือสี่เท่านั้น”
‘บัญชีกวาดล้าง’ จะถูกแจกจ่ายไปยัง ‘คณะไต่สวน’ ทั่วทวีป ทุกรายชื่อในบัญชีล้วนเป็นอันตรายใหญ่หลวงต่อ ‘ศาสนจักร’ และจะถูกไล่ล่าจากบาทหลวงและผู้พิทักษ์ราตรีที่มีพลังสูงสุดจากคณะไต่สวนต่างๆ อย่างไม่ลดละ อย่างไรก็ตาม บัญชีไม่มีการเปลี่ยนแปลงมาหลายปี เนื่องจากการไล่ล่าคนพวกนี้เป็นเรื่องที่ยากมาก
“เหล่าผู้พิทักษ์ราตรีตายไปยี่สิบห้าคนเพราะมัน” ผู้คุมกฎพูดขึ้นมาน้ำเสียงจริงจัง “แม้มันไม่ได้อยู่ในระดับสูง แต่ความโหดร้ายและความเจ้าเล่ห์ของมันไม่ควรมองข้าม”
“ข้าเข้าใจ” เล็นด์พยักหน้า “เราควรเสนอเรื่องไปที่พระคาร์ดินัลอะเมลตันก่อน”
“มาตามหาสหายของเรากันเถอะ… อย่างน้อยแค่ชิ้นส่วนก็ยังดี” ซัลวาดอร์พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
…
ลูเซียนใช้เวลาพักใหญ่ในการเก็บกวาดหลักฐาน รวมถึงศพของสาวกนอกรีตคนนั้นและชุดที่ฉีกขาดของเขา ก่อนทำความสะอาดร่างกายให้เรียบร้อยขึ้นมาได้หน่อย จากนั้นเขาก็เข้าไปยังอีกฟากของคฤหาสน์ผ่านทางป่าและปีนข้ามกำแพงสูงของคฤหาสน์
ด้วยอาศัยความเงียบและความรอบรอบ ลูเซียนกระโดดลงที่เงาของอาคารสามชั้นที่คลุมไปด้วยหญ้าและพุ่มไม้สูงเขียวชอุ่ม
เมื่อลูเซียนยืนขึ้นปัดฝุ่นจากมือ เขาตกใจจนหัวใจแทบหยุดเต้น
“สวัสดียามค่ำ ลูเซียน” ไรน์อยู่ที่นั่น เขาสวมเพียงชุดคลุมสีแดงเข้มหลวมๆ ท่อนบนไม่ได้กลัดกระดุม ผิวของเขาดูซีดยิ่งกว่าสตรีสูงศักดิ์เมื่ออยู่ท่ามกลางแสงจันทร์
“สะ สวัสดียามค่ำขอรับ ไรน์” เมื่อเห็นว่าเป็นไรน์ ลูเซียนก็เบาใจขึ้นมาหน่อย แต่เขาก็ยังสงสัยอยู่ดี “ท่านยังไม่เข้านอนอีกนะ?”
“เจ้าก็เช่นกัน” ไรน์ยิ้มอย่างมีเลศนัย
ลูเซียนฝืนยิ้มกลับไป “ถ้าข้าบอกท่านว่าข้ามาเดินเล่นชมพระจันทร์สีเงินในคืนนี้ ท่านจะเชื่อคำข้าไหม?”
ขณะพูด ลูเซียนก้มลงมองตัวเอง แขนท่อนล่างยังเปรอะเปื้อนไปด้วยโคลน เสื้อของเขายับยู้ยี่ไม่เป็นทรง และที่สำคัญ เมื่อเขาแหงนหน้ามอง ลูเซียนก็เห็นว่าพระจันทร์สีเงินถูกกำแพงหินสูงชะลูดบังเสียมิด
ช่างเป็นข้ออ้างที่ฟังขึ้นทีเดียว!
“เชื่อสิ ข้าเชื่อคำเจ้า เพราะ…” ไรน์ยักไหล่ “ข้าก็ออกมาชมพระจันทร์เหมือนกัน”
“อ๋อ…?” ลูเซียนชักสับสนขึ้นมา
“แน่นอน… เจ้าเห็นความงามของมันไหม พระจันทร์สีเงินสว่างไสวมากคืนนี้!” ไรน์เงยหน้าขึ้นและชมกำแพงหินที่ตั้งอยู่ตรงหน้าด้วยความชื่นชม “เรามาที่นี่ด้วยเหตุผลเดียวกัน ใช่ไหม?”
“ข้าก็ว่า…” ลูเซียนสูดหายใจยาวใช้น้ำเสียงจริงจัง “บอกได้ไหมว่าท่านเป็นใครกันแน่ ไรน์?” เมื่อเขาไม่อาจแกล้งไร้เดียงสาอีกต่อไป ลูเซียนตัดสินใจถามไรน์ตรงๆ และเขารู้สึกว่าไรน์ไม่ได้คิดร้ายกับเขา
“แค่กวีคนหนึ่ง” ไรน์ส่ายหน้า “กวีผู้ไม่มีธุระกงการอะไรกับที่ที่เจ้าตามหา แม้บอกเจ้าได้ว่ามันอยู่ไหน เจ้าก็ไม่มีปัญญาไปที่นั่นอยู่ดี”
“ท่านบอกข้ามาเถอะ! อย่างน้อยก็ให้ข้าได้รู้เป้าหมายชัดเจน” ลูเซียนขอด้วยความกระตือรือร้น
“คำแนะนำของข้าคือเจ้าควรทำงานให้หนักและขึ้นชั้นเป็นนักดนตรีจริงๆ แล้วเจ้าจะได้เดินทางไปประเทศต่างๆ ทั่วทวีป นั่นเป็นประโยชน์ต่อเป้าหมายของเจ้ามาก” ไรน์หันหลังเดินจากไป
ลูเซียนรู้สึกสับสน แม้จะอยากได้คำตอบมากแค่ไหน แต่เขารู้ว่าต้องรีบไปจากตรงนั้น เผื่อจะมีใครโผล่มาอีก
หลังจากปีนเข้าไปในห้องพักแขก ลูเซียนเก็บไพลินสองเม็ดลงในกระเป๋าแล้วเอนตัวลงนอน
เรื่องที่เกิดขึ้นคืนนี้ สำหรับลูเซียนแล้วมันเหมือนความฝัน หยุดใช้สมองได้พัก สัมผัสผ้าห่มนุ่มสบาย เขาค่อยๆ ผล็อยหลับไป
ลูเซียนไม่รู้ว่าเขาหลับไปนานแค่ไหนตอนที่ถูกปลุกจากเสียงเคาะประตูเบาๆ
“นั่นใคร?” ลูเซียนถามเสียงเบา
“ข้าเอง อีเว็ตต์ เจ้าอยากออกไปเดินเล่นชมจันทร์สีเงินคืนนี้ไหม” สตรีสูงศักดิ์เชิญชวนด้วยน้ำเสียงยั่วยวน ลูเซียนรู้สึกประหม่ากับสิ่งที่อีเว็ตต์พูด เขาดื่มด่ำกับดวงจันทร์มามากพอแล้ว ดูเหมือนใครๆ ก็อยากเดินอาบแสงจันทร์คืนนี้กันเหลือเกิน
“ข้า… ข้าต้องขอโทษจริงๆ อีเว็ตต์ ข้าข้อเท้าแพลงและรู้สึกง่วงมาก” ลูเซียนปฏิเสธไปตรงๆ “ไว้ครั้งหน้านะ ขอบใจมากที่ชวน”
อีเว็ตต์เดินย่ำเท้าไปจากห้องลูเซียนด้วยความผิดหวังและไม่พอใจ “โง่ชะมัด! สักวันเจ้าจะมาหาข้าและออดอ้อนข้าเอง ลูเซียน!”
…
หลังจากได้ยินเสียงอีเว็ตต์เดินจากไป ลูเวียนทิ้งตัวลงนอนและกลับเข้าสู่นิทราอีกครั้ง
“ลูเซียน ดูสิว่าเจ้าทำอะไรลงไป! ไม่แปลกเลยที่ไม่มีสาวๆ กับเขาเสียที!” เสียงสตรีลอยมาจากหน้าต่าง “เจ้าน่าจะเรียนรู้จากข้านะ! ข้าไปเคาะประตูห้องซิลเวียตอนสองยามบ่อยๆ”
เจ้าหญิงนาตาซานั่นเอง นางยืนอยู่บนขอบหน้าต่าง พร้อมกับท่านหญิงคามิลที่ลอยอยู่กลางอากาศ มือหนึ่งถือดาบยาว อีกมือถือเกราะหน้า ผมสีม่วงของนาตาซาสะบัดพลิวไหวไปตามสายลม ส่วนกลางของเกราะสีขาวของนางเป็นสีแดงเข้มซึ่งมาจากเลือดมังกร
เมื่อเห็นว่าลูเซียนกำลังมองเกราะของนาง นาตาซายิ้ม “เจ้าชอบเกราะชุดนี้หรือ? เกราะนี้ชื่อว่า ‘โลหิตมังกร’ ข้าสวมเกราะเพราะเพิ่งมาจากการสู้กับอาร์เจนต์ ฮอร์น”
หยุดเงียบพักหนึ่ง นาตาซาพูดต่อ “เอาแบบนี้ไหม ลูเซียน เจ้าอยากไปเดินอาบแสงจันทร์กับข้าคืนนี้ไหม? ฮ่า ฮ่า ฮ่า…”
……………………………………….