ลูเซียนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมรับพลังแห่งความมืด แม้เขาจะไม่รู้ว่าพลังปีศาจจะส่งผลต่อร่างกายเขาอย่างไร
ในขณะเดียวกัน ด้านนอกบ้านซอมซ่อของลูเซียน มีเสียงฝีเท้าก้าวออกมาจากความมืด
ดวงจันทร์สีเงินกลางท้องฟ้าเปล่งสว่างไสวขึ้นเล็กน้อย และแสงจันทร์ที่ลอดผ่านหน้าต่างบ้านของลูเซียนก็สว่างขึ้น ราวกับว่ามีชั้นน้ำแข็งบางๆ ปกคลุมไปทั่วบ้าน
ด้วยสติสัมปชัญญะที่พร่ามัว ลูเซียนเห็นดวงจันทร์สีเงินอันงดงานบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวในสมาธิของเขา และรู้สึกว่าร่างกายสัมผัสได้ถึงแสงจันทร์อันอ่อนโยน
แสงจันทร์สว่างขึ้นเรื่อยๆ
ท่ามกลางแสงจันทร์ พลังอันอ่อนแอที่ซ่อนอยู่ในร่างของลูเซียนพลันตื่นขึ้นมาและพัฒนาอย่างรวดเร็ว ภายในไม่กี่วินาที พลังใหม่ก็เอาชนะพลังความมืดและเข้าควบคุมร่างกายของเขา
ในที่สุด พรของลูเซียนถูกปลุกขึ้นมา พลังของเขาเชื่อมโยงกับดวงจันทร์สีเงิน
หัวใจของเขาค่อยๆ เต้นช้าลง และสงบจนเข้าสู่ภาวะปกติ แม้ร่างกายของเขายังรู้สึกอ่อนแอและชาไปทั้งตัว
บันทึกของแม่มดหรือหนังสือเล่มไหนที่ลูเซียนอ่านมาไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมสภาพแวดล้อมถึงส่งผลต่อการปลุกพรของเขา
ด้านนอกบ้าน ฝีเท้าอีกคู่หนึ่งก็ก้าวเท้าออกมาจากเงามืด เท้าคู่นั้นสวมรองเท้าหนังสีดำ แล้วรองเท้าหนังสีดำคู่นั้นก็เดินกลับเข้าสู่เงามืดและหายไป แสงจันทร์สีเงินค่อยๆ จางลง
…
ลูเซียนยืนขึ้นจากพื้น และสัมผัสถึงพลังในร่างกายของเขา
มือของเขาแข็งแรงขึ้นมาก จนตอนนี้สามารถหักคอคนได้อย่างสบาย อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดแล้ว ลูเซียนบอกได้ว่าพลังจากพรของเขามีจุดเด่นด้านพัฒนาการความคล่องตัว ความเร็ว และประสาทสัมผัส
ลูเซียนยกเท้าขึ้นข้างหนึ่งและเริ่มวิ่งไปรอบห้องทดลอง แม้เขาจะวิ่งเร็วราวกับเป็นเงา แต่ลูเซียนก็ไม่ได้ชนอะไรล้มในห้องเล็กๆ แบบนั้น
‘ความเร็วและความคล่องตัวของข้าเกือบเทียบเท่าอัศวินระดับสองที่มีพลัง ‘เงา’ จากพรที่เคยเจอมาก่อน แม้พลังของข้าถูกปลุกด้วยยาวิเศษ ดังนั้น หากอัศวินระดับหนึ่งที่มีพรแบบกับที่ข้ามี ข้ามั่นใจว่าเขาจะมีพลังในด้านความคล่องตัวสูงกว่าเมื่อเทียบกับอัศวินระดับสองที่มีพรอื่น’ ลูเซียนหยุดประเมินพลังตัวเอง ‘ถึงอย่างนั้นในด้านร่างกายและพละกำลัง อัศวินระดับหนึ่งธรรมดาๆ คงเอาชนะข้าได้อย่างสบาย’
ลูเซียนตั้งสติสงบใจลงเพื่อสัมผัสพลังของตนอย่างระมัดระวัง และเริ่มทดลองพลังด้วยวิธีต่างๆ
‘ด้วย ‘เนตรราตรี’ ข้าสามารถเห็นได้ชัดได้ไกลถึงราวๆ สองร้อยเมตรในตอนกลางคืน’ แสงสีเงินฉายขึ้นในตาดำ
‘ร่างกายของข้าสามารถแฝงตัวในแสงจันทร์เพื่อป้องกันตัว แต่ตอนนี้ข้ายังทำได้ไม่สมบูรณ์ ฉะนั้น การป้องกันตัวค่อนข้างจำกัดในตอนนี้’ มือของลูเซียนค่อยๆ โปร่งแสง ‘มีเพียงอัศวินอาภาระดับเจ็ดเท่านั้นที่ใช้พลังแฝงกายนี้ได้สมบูรณ์’
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ลูเซียนสามารถต้านทานการโจมตีของอาวุธทั่วไป เช่น ดาบและธนู และสามารถต้านความเสียหายจากอาวุธเวท อาวุธศักดิ์สิทธิ์ และคลื่นกระแทก แม้กระทั่งความเสียหายของธาตุที่จากไฟและพิษ รวมถึงพลังศาสตร์มืด แม้ตอนนี้พลังป้องกันตัวจากแสงจันทร์ดูจะเป็นรอง ‘เกล็ดมังกร’ ของ ‘ผู้พิทักษ์ราตรี’ ซึ่งได้มาจาก ‘พรมังกรแดง’ แต่ลูเซียนก็ยังค่อนข้างพอใจกับ ‘พร’ ของเขาเอง
จากนั้นลูเซียนลองใช้กริชเงินกรีดมือตัวเอง แผลมีเลือดออกเล็กน้อยและหายไปอย่างรวดเร็ว
‘รักษาตัวเองได้ประมาณหนึ่ง…’ ลูเซียนบันทึก
น่าเสียดายที่ ‘พร’ ของลูเซียนไม่สามารถใช้ในการโจมตีได้ ‘แสงจันทร์’ ไม่ใช่ ‘พร’ ด้านมืด
ศาสนาจักรได้รวบรวมหนังสือเกี่ยวกับความรู้เกี่ยวกับ ‘พร’ ที่พบบ่อยที่สุดเพื่อเป็นทางลัดให้กับอัศวินหน้าใหม่ๆ ในการพัฒนาตัวเองให้เร็วขึ้น รวมถึงประโยชน์อื่นๆ ลูเซียนเคยอ่านหนังสือในห้องสมุดของสมาคมนักดนตรีมาก่อน และเขาก็เคยได้ยินจอห์นเล่าให้ฟังเรื่อง ‘พร’ ที่อยากครอบครองมากที่สุดซึ่งทำให้เขารู้เรื่อง ‘พรแสงจันทร์’ มากมาย
ตามตำรา ‘คู่มือพร’ พลังแสงจันทร์สามารถพัฒนาต่อไปได้ เมื่อดวงจันทร์สีเงินปรากฏ อย่างไรก็ตาม ขณะเดียวกัน พลังก็จะอ่อนกำลังลงในช่วงกลางวัน แต่ไม่เลวร้ายเท่า ‘พรด้านมืด’ เช่น ‘ความมืด’ ‘ดวงจันทร์สีเงิน’ หรือ ‘แวมไพร์’
ในที่สุด ลูเซียนก็ยิ้มเป็นครั้งแรกรอบในหลายวัน โดยทั่วไป ‘แสงจันทร์’ เป็นพรที่เหมาะกับเขามาก
…
ตอนที่ลูเซียนกำลังร่ายคาถาเพื่อรักษาวัสดุการทดลองของเขา เขาต้องประหลาดใจอีกครั้งเมื่อพบว่าพลังวิญญาณของเขาก็พัฒนาขึ้นมากเช่นกัน
ตอนนี้เหลืออีกเพียงก้าวเดียว ลูเซียนก็จะกลายเป็นนักเวทฝึกหัดชั้นสูง และตอนนี้เขาสามารถร่ายคาถาระดับฝึกหัดได้สิบเก้าบทติดต่อกันก่อนที่พลังวิญญาณของเขาจะหมด
การพัฒนาพลังวิญญาณนี้ถือเป็น ‘ของแถม’ สำหรับลูเซียน แต่ในไม่ช้าเขาก็สงบสติลงได้ ลูเซียนเก็บของทั้งหมดลงในกล่อง เขากำลังวางแผนย้ายของทั้งหมดไปยังบ้านใหม่อย่างลับๆ เมื่อมีโอกาส
มุมหนึ่งของห้องทดลองเวทมนตร์เต็มไปด้วยหินสีเทามากมาย ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นดินที่ลูเซียนขุดตอนที่ทำห้องใต้ดิน หินบางส่วนถูกโยนทิ้งไป แต่ลูเซียนก็จงใจเก็บหินอีกส่วนไว้ที่นั่น ตอนที่เขาขุดห้องใต้ดิน ลูเซียนใช้เวทมนตร์ง่ายๆ เสกดินให้กลายเป็นก้อนหิน และตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่ก้อนหินจะนำกลับประโยชน์อีกครั้ง
ลูเซียนจัดเรียงหินแต่ละก้อนให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง พอสบโอกาส ลูเซียนจะกลับมาที่นี่และกลบดินให้เต็มห้องใต้ดินง่ายๆ ด้วยเวทมนตร์เดียวกันอีกครั้ง แม้ว่าต้องใช้ดินเพิ่มขึ้นอีกเพื่อให้เติมห้องใต้ดินและทำให้พื้นดินเรียบเสมอ ก็คงไม่ยากเกินไปสำหรับลูเซียน เพราะตอนนี้เขาเกือบจะมีพลังเทียบเท่าอัศวินแล้วด้วย
หลังจากลูเซียนจัดการขั้นตอนต่างๆ เสร็จสรรพ เขาเดินไปที่ผนังและร่ายคาถาเปิดวงเวทวงเล็กๆ บนผนัง ผนังหินส่วนหนึ่งค่อยๆ กลายเป็นดิน จากนั้นเขาก็เริ่มขุด
สิบนาทีต่อมา อุโมงค์ใต้ดินที่เขาขุดก็เชื่อมต่อตรงเข้ากับอุโมงค์เก่า ซึ่งแม่มดคนนั้นสร้างไว้เชื่อมต่อไปยังท่อระบายน้ำใต้เมือง
เมื่อลูเซียนสร้างห้องทดลองเวทมนตร์ขนาดใหญ่ เขารู้ว่าช่องทางลับทางที่สองจำเป็นอย่างยิ่ง และวิธีที่ง่ายที่สุดคือการเชื่อมต่อช่องทางลับของเขากับช่องทางลับลับของแม่มด ซึ่งส่วนลึกของช่องทางของแม่มดยังคงไม่เสียหาย
เมื่อซ่อนช่องทางลับใหม่ที่เพิ่งขุดไว้ชั่วคราว ลูเซียนวิ่งเข้าไปในท่อระบายน้ำด้วยความเร็วเต็มกำลังที่มาจาก ‘พรแสงจันทร์’ ร่างของเขาหายเข้าไปในความมืดราวกับเงา
ตามที่ลูเซียนคาดไว้ การรักษาความปลอดภัยของศาสนจักรลดความเข้มข้นลงแล้ว หลังผ่านมาสองสามเดือนนับตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่มีพวกนอกรีตลงมาทำพิธีข้างล่างนี้ ดังนั้น ลูเซียนจึงใช้เวลาไม่นานก็กลับขึ้นมายังพื้นดินผ่านท่อระบายน้ำอย่างปลอดภัยหายห่วง
สายตาของลูเซียนสามารถมองเห็นได้ดีมากในตอนกลางคืนด้วยพลัง ‘เนตรราตรี’
แทนที่จะมองหาตัวโจรลักพาตัวที่เฝ้าสอดแนมเขาบริเวณนั้น ลูเซียนก็มายังกำแพงเก่าใกล้กับบ้านของป้าอะลิซ่าและเขียนข้อความไว้ว่า
“ข้าอ่านเจอในวรรณคดีโบราณว่าวิหารเวทมนตร์โบราณชื่อว่า ‘เอ็มเด็น’ ทางตะวันออกเฉียงใต้ของป่าดำเมลเซอร์ นกฮูก ช่วยหานักเวทฝึกหัดในอัลโต้สักคนที่รู้จักที่นี่มาช่วยนำทางให้ข้า
“ตรวจสอบให้แน่ใจว่า นักปราชญ์ น้ำผึ้งขาว และตัวท่านเองปลอดภัย
“ศาสตราจารย์”
……………………………………….