ความคิดมากมายนับไม่ถ้วนแล่นผ่านในหัว แต่ลูเซียนแสร้งทำเป็นไม่รู้สึกอันใด ก่อนจะปิดประตูอย่างใจเย็น และเดินทางโต๊ะตัวนั้น
มือซ้ายที่ล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกงแตะไปที่แหวน ‘อาฆาตเหมันต์’ ความมุ่งมั่นในใจเขาพลันเพิ่มพูนขึ้นเทียบเท่าอัศวินผู้หนึ่ง
เพียงแต่ลูเซียนไม่ได้ปล่อยให้มีไอพลังอะไรแผ่ออกมา เขากลับสะกดกลั้นมันไว้ เพราะเมื่อพิจารณาจากสัมผัสเมื่อครู่นี้ อีกฝ่ายหนึ่งคงจะไม่รู้ว่าเขาเป็นผู้ฝึกใช้มนตราที่มีพลังเหนือธรรมดา หาใช่เด็กหนุ่มทั่วๆ ไป
ลูเซียนมองจดหมายฉบับนั้นด้วยความสงบเยือกเย็นประดุจน้ำแข็งจากความช่วยเหลือของอุปกรณ์เวทมนตร์ เขากลัวว่าจะมีกับดักอะไรอยู่ จึงค่อยๆ แกะซองด้วยมือข้างขวา แล้วเปิดจดหมายที่พับมาอย่างประณีต
จดหมายเป็นเพียงกระดาษธรรมดา มีข้อความที่ดูไม่เหมือนลายมืออยู่หลายแถว พวกมันดูเป็นระเบียบสวยงามแต่แข็งทื่อ ราวกับข้อความที่ตีพิมพ์ออกมา
“ถึง อีวานส์
ถือเป็นเกียรติของทางเราที่ได้เชื้อเชิญครอบครัวของโจเอลมา ตราบใดที่เจ้าร่วมมือกับเราทำบางสิ่งซึ่งหาได้ยากเย็นไม่ พวกเขาก็จะได้ใช้ชีวิตอย่างงดงาม มีกินมีใช้ และมีความสุข เมื่อใดที่เรื่องราวจบลงเรียบร้อย พวกเขาก็จะได้กลับไปโดยปลอดภัยและสมบูรณ์พูนพร้อมด้วยความมั่งคั่งที่จะทำให้เจ้าพึงพอใจ นี่ถือเป็นการแลกเปลี่ยนอันสมน้ำสมเนื้อ”
‘นี่มันลักพาตัวกันชัดๆ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ขู่เอาค่าไถ่’ ลูเซียนอดกลั้นต่อแรงกระตุ้นให้ฉีกจดหมายเป็นชิ้นๆ แล้วพยายามครุ่นคิด พลางมองหาเบาะแสที่อีกฝ่ายอาจทิ้งไว้ ‘นี่มันอะไรกันวะ’
จู่ๆ ประโยคทั้งหลายบนจดหมายก็เปล่งแสงบางเบาวูบหนึ่งก่อนจะเลือนหายไปทั้งหมด
จากนั้นตัวอักษรสีดำซึ่งเป็นข้อความใหม่ก็ปรากฏขึ้นมาทีละตัวๆ แทนที่ข้อความเดิม
“อีวานส์ สมแล้วที่เจ้าเป็นนักดนตรีอัจฉริยะที่ประพันธ์บทเพลงแสนงดงามเช่นนั้นได้ เจ้าช่างแตกต่างจากคนทั่วไป ความนิ่งสงบของเจ้าทำให้ข้าประทับใจอย่างยิ่ง ขอย้ำอีกครั้งว่านี่คือการแลกเปลี่ยนที่สมน้ำสมเนื้อและทางเราเพียงต้องการความร่วมมือ ไม่ใช่ลักพาตัวเพื่อข่มขู่ แต่แน่นอนว่าหากเจ้าหักหลังเรา เจ้าก็จะไม่มีวันได้พบกับครอบครัวของโจเอลอีกต่อไป”
‘นี่มันพลังเหนือธรรมชาติ! ฉันจะหลับหูหลับตาใช้อุปกรณ์เวทมนตร์ไม่ได้ มีแค่ทางนี้เท่านั้นที่ฉันจะช่วยเหลือลุงโจเอลได้!’ ในฐานะผู้ฝึกใช้มนตราที่เคยเผชิญหน้ากับเผ่าพันธุ์ผีดิบอย่างผีดิบใต้น้ำกับวิญญาณแค้นมาแล้ว เรื่องแปลกประหลาดเช่นนี้จึงไม่ทำให้ลูเซียนหวาดกลัว กลับสงบนิ่งยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ เขาไม่เชื่อในคำพูดที่ว่านี่คือการแลกเปลี่ยนและการขอความร่วมมือ และมั่นใจอย่างยิ่งว่านี่คือการลักพาตัวเพื่อบังคับข่มขู่
เมื่อใดที่ต้องเผชิญหน้ากับคนร้ายลักพาตัว สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการห้ามหลงเชื่อว่าหลังจากทำตามคำขอสำเร็จ คนร้ายลักพาตัวจะพาตัวประกันกลับมาโดยสวัสดิภาพ หากส่งกลับมาเพียงศพก็อาจเป็นไปได้ ดังนั้นลูเซียนจึงตัดสินใจจะไม่ทำตามคำสั่งของคนร้ายและเริ่มวางแผนช่วยเหลือโจเอลและครอบครัวแทน
แต่การแสร้งยอมทำตามเพื่อซื้อเวลาก็เป็นยังถือเป็นเรื่องจำเป็น ลูเซียนสูดหายใจเข้าลึก แกล้งทำเป็นพยายามสงบจิตใจ ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่ว “พวกเจ้าต้องการอะไรจากข้า แล้วข้าจะเชื่อได้อย่างไรว่าพวกเจ้าจะไม่ทำอันตรายใดๆ กับลุงโจเอล บางทีพวกเจ้าอาจจะฆ่าเขาไปแล้วก็ได้!”
การแสดงท่าทางแข็งขืนอย่างเหมาะสมก็เป็นเรื่องจำเป็นในการต่อรองเพื่อให้มั่นใจว่าตัวประกันจะปลอดภัยเช่นกัน
ถ้อยคำบนจดหมายเลือนหายไปอีกครั้ง จากนั้นก็ปรากฏข้อความใหม่
“เรื่องที่เราต้องการนั้นง่ายมาก นั่นก็คือ ใช้ความสามารถของเจ้าทั้งหมดที่มี สร้างสรรค์ผลงานโดดเด่นออกมาเรื่อยๆ และกลายเป็นที่ปรึกษาด้านดนตรีของเจ้าฟ้าหญิงนาตาชาแบบระยะยาว นี่คงไม่ใช่เรื่องยากอันใดสำหรับอัจฉริยะทางด้านดนตรีที่สามารถประพันธ์ผลงานเพลงแสนซับซ้อนและยิ่งใหญ่ปานนั้นได้ภายในสามเดือน เราเชื่อว่านี่ก็ตรงกับเป้าหมายและเส้นทางในอนาคตของเจ้า เห็นไหม ในฐานะคู่ค้า เราคิดถึงผลประโยชน์ของเจ้าเสมอ”
“และโจเอลกับครอบครัวปลอดภัยดี โปรดมั่นใจได้ว่าการสังหารพวกเขาจะไม่ส่งผลดีอันใดต่อเราเลย”
ความคิดมากมายวูบผ่านสมองลูเซียน ‘เป้าหมายของพวกมันคือเจ้าหญิงนาตาชา หรือว่าความลับอื่นในพระราชวังราเตเชียผ่านการติดต่อกับเจ้าหญิงกันแน่ หรือว่านี่คือความพยายามเพื่อควบคุมสิทธิในการสืบทอดตำแหน่งของขุนนางบางคนหลังจากได้รับความไว้วางใจจากเจ้าหญิงกันนะ ฉันเพิ่งจะได้รับเชิญให้เป็นที่ปรึกษาชั่วคราวจากองค์หญิงเมื่อวานนี้เอง แต่วันนี้กลับมีใครบางคนบังคับข่มขู่ฉันด้วยการลักพาตัวลุงโจเอลกับครอบครัวไป ดูจากความรวดเร็วแล้ว คงจะมีบางคนที่ไปชมการแสดงเมื่อวานนี้แน่ เป็นใครกันนะ’
ลูเซียนที่กำลังคาดเดาจุดประสงค์ของอีกฝ่ายอยู่ กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “หากว่าพวกเจ้าทำให้ข้ามั่นใจไม่ได้ว่าลุงโจเอลกับครอบครัวยังปลอดภัยดี ข้าก็จะคิดว่าพวกเขาตายไปแล้ว และจะไม่ยอมร่วมมือด้วย พวกเจ้าฆ่าข้าได้ แต่บังคับข้าไม่ได้”
ข้อความเปลี่ยนไปอีกครั้ง
“อีวานส์ ข้าคิดว่าเจ้าควรทำความเข้าใจเรื่องหนึ่งเสียก่อน เจ้าเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งเพื่อให้แผนการของเราสำเร็จลุล่วง แต่เรายังมีหมากอีกหลายตัว เจ้าไม่ได้มีความสำคัญมากถึงเพียงนั้น”
ลูเซียนเอ่ยเสียงเยาะ “เช่นนั้นก็ฆ่าข้าเถิด”
หลังจากที่ตัวหนังสือเลือนหายไป ก็ไม่มีอะไรปรากฏขึ้นมาอีกเป็นเวลาครู่ใหญ่ ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกประหลาดใจกับปฏิกิริยาของลูเซียนไม่น้อย อาจด้วยไม่คิดว่าเด็กหนุ่มจนๆ เช่นลูเซียนจะแข็งขืนได้ถึงเพียงนี้
เวลาผ่านไปช้าๆ ไม่กี่นาทีที่ลูเซียนเฝ้ารอทำให้เขาตกประหม่าคิดว่าอีกฝ่ายอาจหยุดสื่อสารไปแล้ว แต่ลูเซียนก็กัดฟันอดกลั้นไม่พูดอะไร นี่คือการแข่งขันความอดทนอย่างหนึ่ง!
แต่ในที่สุดตัวอักษรสีดำก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้น “เราจะให้เจ้าได้เห็น ‘ภาพ’ โจเอลและครอบครัวบ่อยๆ เริ่มจากวันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ทว่า ท่าทีของเจ้าเมื่อครู่นี้ทำให้ทางเราหัวเสียอย่างยิ่ง นอกจากเจ้าจะได้รับ ‘ลูกแก้วฉายภาพ’ เจ้ายังจะได้รับนิ้วของโจเอลอีกด้วย ข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องจำมันได้แน่”
“สารเลว” ลูเซียนตะคอกเสียงลอดไรฟัน “‘ภาพ’ ของเจ้าต้องมีวันเวลาระบุไว้ชัดเจนด้วย มิเช่นนั้นข้าอาจคิดว่า ‘ภาพ’ ที่ใช้พลังชั่วช้าสามารย์ของเจ้าสร้างขึ้นนั้นเป็นวันเดียวกันและเจ้าเพียงแสร้งส่งแต่ละส่วนแยกกันให้ข้าเห็นในวันอื่นๆ”
หลังยอมรับข้อเรียกร้องและเงื่อนไขเพิ่มเติมของลูเซียนก่อนหน้านี้ อีกฝ่ายก็ใช้เวลาพิจารณาไม่นานก่อนจะตอบกลับมาว่า “ไม่มีปัญหา อีวานส์ ทีนี้เจ้าจะร่วมมือกับเราได้หรือไม่”
“ข้าจะร่วมมือหลังจากได้เห็นภาพในวันพรุ่งนี้ ข้าจำเป็นต้องสาบานด้วยหรือไม่” ลูเซียนแสร้งว่าเขาไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับพลังเหนือธรรมชาติ แต่ในใจลอบเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่ตราบใดที่ในภาพมีวันเวลาระบุไว้ เขาอาจคาดการณ์ตำแหน่งที่ใช้กุมขังโจเอลและครอบครัวได้ อย่างไรเสียพวกมันก็ต้องให้เห็นสภาพแวดล้อมด้วยเช่นกัน
ตัวอักษรสีดำปรากฏขึ้นอีกครั้ง “มนุษย์สร้างคำสาบานมาเพื่อฝ่าฝืน และการทำพันธสัญญาในนามของพระเจ้าที่แท้จริงก็จะทิ้งร่องรอยไว้บนตัวเจ้า ทำให้วงแหวนเวทย์ของทางโบสถ์และพระราชวังราเตเชียจับได้ ดังนั้นขอแค่เจ้าตกลงร่วมมือก็พอ เราจะจับตามองเจ้าอย่างลับๆ อย่าคิดว่าเจ้าจะซ่อนตัวจากเราได้ และอย่าคิดว่าจะไปรายงานเรื่องนี้กับเจ้าฟ้าหญิงเล่า เชื่อข้าเถิดว่า ทันทีที่เจ้าเอ่ยปากเล่า โจเอลและครอบก็จะดับสิ้นภายในนาทีเดียว”
ถ้อยคำเหล่านั้นทำให้ผู้อ่านรู้สึกคลุมเครือ ลึกลับ และหวาดกลัว ลูเซียนมิอาจรู้ได้เลยว่าประโยคสุดท้ายหมายถึงคนที่อยู่รอบๆ ตัวเจ้าหญิงหรือคนของทางนั้น มีเพียงอีกฝ่ายเท่านั้นที่รู้
“เช่นนั้น นอกจากเป็นที่ปรึกษาด้านดนตรีของเจ้าฟ้าหญิงไปนานๆ พวกเจ้าต้องการให้ข้าทำอะไรอีก” ลูเซียนรู้ว่าจุดประสงค์มักเปิดเผยแรงจูงใจ และแรงจูงใจมักทำให้เข้าใจศัตรูมากขึ้น
ตัวหนังสือเริ่มตวัดขยุกขยิก “หากเจ้าได้ยินเรื่องน่าสนใจในพระราชวังราเตเชียและตารางงานของแกรนด์ดยุกกับเจ้าหญิง เราก็จะยินดีมากที่ได้รับรู้ เจ้าเพียงต้องใช้ปากกาขนนกเขียนบนกระดาษแผ่นนี้”
‘เจ้าเล่ห์จริงๆ ถึงจะบอกจุดประสงค์ชัดเจนแต่ก็ไม่รู้เลยว่าแรงจูงใจคืออะไร’ ลูเซียนพยักหน้า “ได้ ไม่มีปัญหา”
ตัวหนังสือตวัดขยุกขยิกปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ทว่าไม่ชัดเท่าครั้งก่อนๆ “อีวานส์ช่างฉลาดเฉลียว หากเจ้าต้องการอะไร เจ้าสามารถขอกับเราได้ ข้าหวังว่าเราจะร่วมมือกันได้ดี”
ตัวหนังสือสีดำพลันหายไปทั้งหมด และไม่มีอะไรปรากฏขึ้นมาอีก เหลือเพียงกระดาษจดหมายว่างเปล่าอยู่ตรงหน้าลูเซียน
ในขณะเดียวกัน ด้วยพลังของแหวน ‘อาฆาตเหมันต์’ ทำให้ลูเซียนสัมผัสได้ว่าคลื่นพลังเหนือธรรมชาตินั้นหายไปแล้ว
ขณะพับกระดาษสีขาวกลับคืน ลูเซียนก็มองไปทางหน้าต่างไม้ที่ปิดสนิทด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ทว่าในใจเต็มไปด้วยโทสะและความแค้นเคือง ‘พวกแกคงคิดไม่ถึงล่ะสินะว่าฉันสัมผัสถึงพวกแกได้ ไอ้พวกลัทธิเขาเงิน!’
ด้วยความช่วยเหลือจากแหวน ‘อาฆาตเหมันต์’ ทำให้ลูเซียนมีสัมผัสที่เฉียบคมนับแต่ที่เปิดซองจดหมายครั้งแรก และพบว่าบนจดหมายในซองนั้นมีสัมผัสของพลังเหนือธรรมชาติอยู่เล็กน้อย ดังนั้นขณะที่พูดคุยกับคนลึกลับ ลูเซียนก็วิเคราะห์องค์ประกอบของพลังเหนือธรรมชาตินี้ไปด้วย
ทุกๆ ครั้งที่ตัวหนังสือเลือนหายและปรากฏขึ้น การวิเคราะห์ของลูเซียนเกี่ยวกับพลังนี้ก็ยิ่งแม่นยำถูกต้อง และสุดท้ายก็ตัดพลังเวทมนตร์ที่เขาคุ้นเคยออกไป ลูเซียนตัดสินว่ามันคือพลังศักดิ์สิทธิ์รูปแบบหนึ่ง เมื่อยึดความรู้สึกจากอาร์ชบิช็อปซาร์ด เช่นเดียวกับพลังของเบนจามินที่เขาเคยเห็น เพียงแต่มีความแตกต่างเล็กน้อย แต่ด้วยความรู้และความเข้าใจที่ลูเซียนมีในตอนนี้ มันจึงยังเป็นไปไม่ได้ที่จะฟันธง แม้ว่าจะมีความแตกต่างระหว่างเวทมนตร์กับพลังศักดิ์สิทธิ์ก็ตาม ลูเซียนยังไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดสัมผัสและความผันผวนที่แสดงออกมานั้นจึงแตกต่างกันอย่างมาก
ในเมืองอัลโต้ตอนนี้มีลัทธิเขาเงินเพียงลัทธิเดียวที่มีความเคลื่อนไหว และมันไม่น่าจะมีลัทธิลับที่คล้ายคลึงกันนี้อีกในเมื่อช่วงนี้ทางศาสนจักรคอยตรวจตราอยู่อย่างแน่นหนา
‘ฉันกับแกนี่ดวงสมพงษ์กันเสียจริงๆ’ ลูเซียนคิดในใจพลางขบกรามแน่น
‘กระดาษเปล่าแผ่นนี้เป็นอุปกรณ์เวทมนตร์ระดับฝึกหัด จะต้องมีใครบางคนคอยแอบฟังและใช้เวทมนตร์คาถาอยู่ใกล้ๆ นี้แน่ ดูจากช่วงเวลาที่ใช้พลังแล้ว ระดับพลังของคนคนนั้นคงจะต่ำกว่าบาทหลวง แต่ก็แข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกใช้มนตราระดับสูง ด้วยพลังระดับนี้ มันสามารถซ่อนตัวอยู่ตรงไหนก็ได้ภายในระยะร้อยเมตร ซึ่งก็ยังตรวจหาได้ยากอยู่ดี’
ลูเซียนตรวจสอบรอบกระท่อมตนเองและพบว่าทางเข้าห้องทดลองยังเหมือนเดิม เขาจึงโล่งอกเล็กน้อย ‘ถ้าฉันอยากช่วยลุงโจเอลและครอบครัวจากพวกนั้น ฉันก็จะต้องวางแผนให้รอบคอบและแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ ไม่อย่างนั้น ถึงทางโบสถ์และเจ้าหญิงจะให้ความช่วยเหลือ พวกเขาก็อาจไม่สนใจความปลอดภัยของลุงโจเอลและคนอื่นๆ ก็ได้’
ทางโบสถ์และเจ้าหญิงไม่ใช่ตำรวจที่จะใส่ใจความปลอดภัยของตัวประกัน โดยเฉพาะเมื่อตัวประกันเหล่านี้เป็นเพียงคนยากไร้
ลูเซียนไม่คิดที่จะให้ความร่วมมือกับลัทธิ ‘เขาเงิน’ แต่แรกแล้ว เขาตัดสินใจไว้แล้วว่าจะมองหาโอกาสแล้วไปช่วยโจเอลด้วยตัวเอง!
เรื่องแบบนี้ ยิ่งรู้สึกว่าถูกอีกฝ่ายคุกคามข่มขู่มากเท่าไหร่ ผลลัพธ์ก็ยิ่งเลวร้ายมากเท่านั้น! ทว่าการตัดสินใจขั้นพื้นฐานและความเด็ดขาดของลูเซียนยังคงมีอยู่!
ลูเซียนออกมาข้างออกอีกครั้ง แล้วจ้ำพรวดไปยังเขตขุนนาง
……………………………………….