Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา – ตอนที่ 51 ข่าว

หลังจากกดคีย์สุดท้าย ลูเซียนก็ยกมือขึ้นและเฝ้าฟังเสียงก้องสะท้อนจากสายในห้องดนตรี ในใจรู้สึกถึงความสำเร็จ

ตลอดสามสัปดาห์ที่ผ่านมาเขาทุ่มเทพลังงานไปกับการซ้อมเปียโน ยกเว้นก็แต่ช่วงที่เขาแบ่งไว้ศึกษาเวทมนตร์ เขาไม่ได้คิดจะลอกผลงานชิ้นเอกมาทั้งหมด เพียงอยากเล่นให้คล่องขึ้น ช่วงเช้าที่เขาไปทำงานที่ห้องสมุดเพลง เขาจะฝึกเล่นอยู่ในใจเหมือนกับปิแอร์ที่จดจ่ออยู่กับโลกแห่งเสียงเพลง หลังเที่ยงวัน เขารีบกินอาหารโดยไม่พัก และตรงไปที่บ้านวิกเตอร์หรือไม่ก็ห้องซ้อมของสมาคมในทันที เขาจะฝึกซ้อมจนถึงหัวค่ำ และมีเพียงตอนที่วิกเตอร์มาที่สมาคมเท่านั้นที่เขาจะเล่นเพลงง่ายๆ

ทุกความพยายามย่อมบังเกิดผล อย่างน้อยลูเซียนก็เล่นผลงานชิ้นเอกได้ดีขึ้นจนไม่อาจเรียกได้ว่าเสียงหนวกหูอีกต่อไป แม้ว่ามันจะยังไม่สมบูรณ์นัก แต่หากผู้ที่มีความรู้ทางด้านดนตรีอย่างลึกล้ำมาได้ยินเข้า เขาย่อมเห็นคุณค่าของผลงานเพลงชิ้นนี้

‘ข้าเชื่อว่าอาจารย์วิกเตอร์ก็คงไม่ใช่ข้อยกเว้น’ ลูเซียนเก็บความภาคภูมิใจกลับไป แล้วยืนขึ้น นั่นเป็นเพราะเขารู้ดีว่านี่คือการพัฒนาที่ไม่สมประกอบเลยสักนิด เขาเล่นบทเพลงชิ้นนี้ได้ดีขึ้นก็เพราะการฝึกฝนอย่างต่อเนื่องและใช้ความจำเป็นเลิศของเขาให้เป็นประโยชน์ ส่วนเพลงอื่นๆ ที่ยากกว่านี้ เขายังหัดเล่นด้วยตัวเองไม่ได้ หากคนทั่วไปอยากจะเริ่มเล่นเพลงยากๆ ย่อมต้องใช้ความพยายามเป็นเวลานานเหมือนกันหมด แตกต่างจากผู้ที่มีพื้นฐานแน่นอยู่แล้ว

เมื่อหันกลับมา ลูเซียนก็เห็นว่าริมฝีปากอวบอิ่มของเฟลิเซียยังแตะอยู่บนตัวฟลูต แต่ไม่ได้เล่นมัน ดวงตาสีแดงทับทิมจ้องมองมาที่เขาด้วยความสงสัย ใบหน้างดงามยังฉายชัดถึงความประหลาดใจ

“ทำนองที่เจ้าเพิ่งเล่นเมื่อครู่…” เฟลิเซียหยุดฝึกซ้อมแล้ว และตอนที่นางกำลังจะกลับ ก็ได้ยินท่วงทำนองแสนลื่นไหลช่วงสุดท้ายของลูเซียนเข้าเสียก่อน แม้ว่าทักษะการเล่นของเขาจะยังไม่ดีมาก และท่วงทำนองก็เล่นช้าไปเล็กน้อย แต่มันกลับฟังดูไพเราะจนทำให้เฟลิเซียรู้สึกเหลือเชื่อ

ลูเซียนแทรกทำนองแย่ๆ ของเขาลงไปในซิมโฟนีหมายเลขห้า เพื่อที่คนอื่นๆ จะได้ยินเป็นท่อนๆ ไป และเมื่อใดก็ตามที่ท่อนที่มีท่วงทำนองไพเราะปรากฏขึ้น จะตามมาด้วยโน้ตแย่ๆ ร่ำไป ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ เฟลิเซีย ล็อตต์ และคนอื่นๆ ที่ซ้อมอยู่ในห้องเดียวกันจะคิดว่าลูเซียนมีพัฒนาการดีขึ้น แต่ไม่คิดว่าลูเซียนจะแต่งเพลงได้ดี จนกระทั่งเมื่อครู่นี้ที่ลูเซียนเล่นจนจบ แสดงให้เห็นถึงทักษะที่ก้าวหน้าขึ้น และโน้ตช่วงสุดท้ายนั้นก็ทำให้เฟลิเซียรู้สึกขัดแย้งในใจอย่างยิ่ง

อีกสามวันก็จะเหลือเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์ก่อนจะถึงช่วงทำการแสดง ลูเซียนเตรียมจะหาโอกาสให้วิกเตอร์ได้ ‘ลิ้มลอง’ บทเพลงของเขาภายในวันพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่แปลกใจกับปฏิกิริยาของเฟลิเซีย กลับคิดว่าเป็นเรื่องดีที่พวกเขาจะรู้สึกเช่นนั้น ถึงเฟลิเซียจะไม่สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในวันนี้ เขาก็จะหาโอกาสทำให้เกิดความประหลาดใจคล้ายกันนี้ในวันรุ่งขึ้นอยู่ดี

“เฟลิเซีย เจ้าคิดว่าอย่างไร” ลูเซียนแย้มยิ้ม ‘จริงใจ’ ให้

เฟลิเซียลดเครื่องดนตรีลงแล้วอ้าปากเอ่ยว่า “นี่… เจ้า… ทักษะการเล่นของเจ้าพัฒนาขึ้นมาก”

ทักษะการเล่นเปียโนของลูเซียนพัฒนาขึ้นมากก็จริง แต่นางยังคงไม่คิดว่าลูเซียนเป็นผู้ประพันธ์บทเพลงนี้ เพราะนางคิดว่ามันเป็นบทเพลงสำหรับเปียโนที่นางไม่เคยได้ยินมาก่อน อย่างไรเสียนางก็ศึกษาเพียงฟลูตเท่านั้น

ลูเซียนเพียงต้องการทิ้งความประทับใจเอาไว้ ดังนั้นเมื่อนางไม่ได้เอ่ยถามอันใด เขาจึงยิ้มและเอ่ยขึ้น “ขอบคุณสำหรับคำชมนะ เฟลิเซีย ตอนนี้ใกล้จะมืดแล้ว และดูเหมือนว่าพายุจะเข้าคืนนี้ ข้าคงต้องขอตัวกลับก่อน”

ในเดือนแห่งการเก็บเกี่ยว (กันยายน) อากาศยังคงร้อนอบอ้าวและเทือกเขาแห่งความมืดก็ปิดกั้นลมมรสุมเอาไว้ ทั้งแคว้นออร์วาริตนั้นเป็นพื้นที่แอ่งกระทะ ดังนั้นในช่วงเดือนนี้จึงมีฝนตกหนักทุกๆ สองสามวัน และวันนี้ ณ เวลาก่อนหกโมง ท้องฟ้ากลับมืดครึ้มราวกับเป็นเวลาทุ่มหรือสองทุ่ม ทั้งยังร้อนชื้นเป็นพิเศษ และดูเหมือนว่าพายุฝนจะตกลงมาได้ทุกเมื่อ

“แล้วพบกันใหม่วันพรุ่งนี้ ลูเซียน” เฟลิเซียตอบเสียงปกติ จากนั้นก็เฝ้ามองลูเซียนเดินออกไปจากห้องดนตรี ความสงสัยยังคงฉายชัดบนใบหน้า แม้ว่านางจะให้ข้อสรุปกับตนเองแล้วก็ตาม

แต่ในตอนนี้ ล็อตต์และเฮโรโดตัสกลับไปสักพักแล้ว นางจึงไม่มีใครให้หารือด้วย

ลูเซียนเดินลงบันไดมาก็พบกับพ่อบ้านอาธีกำลังสั่งให้ข้ารับใช้ทำความสะอาดห้องโถง เขาจึงเอ่ยถาม “พ่อบ้านอาธีขอรับ อาจารย์วิกเตอร์อยู่ที่ไหนหรือ ข้ามีเรื่องอยากจะบอกกับท่านน่ะขอรับ” ในเมื่อตอนนี้เฟลิเซียได้สังเกตเห็นถึงพัฒนาการของเขาแล้ว เขาก็พร้อมจะร่นเวลาเข้ามาให้เร็วขึ้น เรื่องแบบนี้รีบทำดีกว่ารอให้สายเกินไป

พ่อบ้านอาธียังคงมีท่าทีจริงจังและสุภาพ “ท่านวิกเตอร์ไปที่สุสานขอรับ คงจะกลับมาดึกพอสมควร มีเรื่องด่วนอะไรหรือไม่ขอรับ”

“ไว้พรุ่งนี้ก็ได้ขอรับ” ลูเซียนไม่ทราบว่าต้องรอนานแค่ไหน เขาจึงผลัดวันไปเป็นพรุ่งนี้แทน เพราะเขายังต้องกลับไปทำการทดลองเวทมนตร์อีก อย่างไรเสียนี่ก็เป็นเส้นทางอนาคตที่แท้จริงของเขา

ตลอดช่วงที่ผ่านมา ลูเซียนได้ทำความเข้าใจเนื้อหาในวารสาร ‘อาร์คานา’ ในขณะเดียวกัน เขาก็เพิ่มพูนความรู้พื้นฐานอย่างรวดเร็วจากการอ่านเอกสาร ข้อมูล และหนังสือทั้งหลายในห้องสมุดห้วงจิต เพราะการพัฒนาความรู้พื้นฐานอย่างรวดเร็วคือขั้นตอนที่ทำให้เกิดกระบวนการวิเคราะห์ สร้าง และประยุกต์ใช้เวทมนตร์ได้แบบก้าวกระโดด เช่น ลูเซียนนำความรู้เกี่ยวกับคลื่นความถี่และแรงสั่นสะเทือนมาผสมผสานกันเพื่อเปลี่ยนโครงสร้างและกระบวนการสร้างเวทมนตร์แห่งเสียงอย่าง ‘เวทแกว่งกวัดโฮมาน’ หลังจากทดลองมาหลายต่อหลายครั้ง เขาก็ได้สร้างเวทมนตร์ระดับฝึกหัดแบบใหม่ขึ้นมาสองบทโดยที่ไม่ทราบเลยว่าศูนย์บัญชาการสภาเวทมนตร์แห่งทวีปจะยอมรับหรือไม่

หากเทียบกันแล้ว ความก้าวหน้าของลูเซียนในด้านพลังจิตนั้นช้ากว่าการประยุกต์ใช้องค์ความรู้กับเวทมนตร์ และความเร็วในการเข้าใจโครงสร้างเวทมนตร์ไปมาก ณ ตอนนี้ เขายังขาดพลังอีกนิดเพื่อให้ร่ายคาถาได้สิบบทอย่างต่อเนื่องและกลายเป็นนักเวทฝึกหัดระดับกลาง ซึ่งเป็นสถานการณ์ตรงกันข้ามกับนักเวทฝึกหัดทั่วไปโดยสิ้นเชิง ปกติแล้วนักเวทฝึกหัดจะเพิ่มพลังจิตได้อย่างรวดเร็ว และตราบใดที่ยังพอมีความสามารถ พวกเขาก็จะเลื่อนขึ้นเป็นนักเวทฝึกหัดระดับสูงได้ภายในหนึ่งหรือสองปี และนั่นทำให้ความรู้พื้นฐานที่ควรจะใช้ได้คล่องกลับกลายเป็นล้าหลังกว่าพลังจิตที่เพิ่มขึ้น

ท้องฟ้ายามเย็นมืดครึ้มลงเรื่อยๆ ขณะที่ลูเซียนเดินผ่านมุมหนึ่งของบ้านอะลิซ่าและเหลือบมองไปทางบ้านข้างๆ ด้วยท่าทางปกติ ฉับพลันนั้นเขาก็เห็นสัญลักษณ์ใหม่บนจุดที่สัญลักษณ์เดิมถูกลบไปแล้ว

‘มีข่าวเกี่ยวกับปีศาจ…’ ท่าทางของลูเซียนนั้นเหมือนกับเขาเพียงเพิ่งเผลอมองไปทางนั้น แล้วก็หันหน้ากลับไปยังบ้านของอะลิซ่าด้วยสีหน้านิ่งเฉยทันที

ความหมายของสไมล์จากข้อความนั้นคือ ‘ถึงท่านศาสตราจารย์ที่เคารพ นักปราชญ์มีข่าวเกี่ยวกับปีศาจ เจอกันที่เดิม คืนนี้ สี่ทุ่ม นกฮูก’

‘หลังจากที่ข้าไม่ไปร่วมประชุมหลายครั้งติดต่อกัน พวกเขาเลยคิดจะใช้เรื่องข่าวเกี่ยวกับปีศาจมาหลอกล่อกันเลยหรือ’ ลูเซียนครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ระหว่างกินขนมปังดำกับซุปเนื้อใส่หัวมัน ‘มันจะเป็นกับดักหรือเปล่านะ ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ มันคือแผนของเจ้าของอีกาตัวนั้น หรือว่าของคนอื่นกันนะ’

หลังจากไตร่ตรองอยู่นาน ลูเซียนก็ตัดสินใจจะไปแอบสังเกตการณ์ดูก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการซุ่มโจมตี จากนั้นค่อยไปพบกับสไมล์และนักปราชญ์

หากได้รับเลือดของปีศาจมา เขาจะสามารถอัญเชิญวิญญาณแค้นออกมาและเก็บผงวิญญาณแค้นได้ จากนั้นลูเซียนก็จะทำงานหาเงินได้อย่างสบายใจเพื่อหาซื้อกุหลาบแสงจันทร์

‘แต่ก่อนหน้านั้น คงจะต้องเตรียมของบางอย่างไว้’

ยามราตรี ในห้องทดลองของลูเซียน

บนวงเวทที่สลักไว้บนผิวโต๊ะหินมีหลอดขนาดเท่ากับถ้วยเล็กๆ วางอยู่ ไฟสีฟ้าลุกโชนอยู่ด้านล่างนั้น และภายในถ้วยหลอดก็คือของเหลวสีแดงที่เดือดปุดๆ เหมือนกับลาวา

ลูเซียนมีท่าทางจริงจัง ในมือซ้ายของเขาถือไม้ยาวยี่สิบเซนติเมตรทำจากเครื่องหินคอยคนของเหลวสีแดงนั้นอย่างระมัดระวัง ในขณะที่มือขวาถือหลอดแก้ว ค่อยๆ เทของเหลวสีดำลงไปในถ้วยหลอดช้าๆ ทีละหยด เพื่อให้มันผสมกับของเหลวสีแดงจนเข้ากัน

ทุกครั้งที่ของเหลวสีดำหยดลงไปจะเกิดม่านหมอกสีขาว ทำให้ของเหลวสีแดงจับตัวแข็ง ดูคล้ายกับจะระเบิดออก แต่โชคดีที่มือซ้ายของลูเซียนคอยคนอยู่ และเมื่อรวมกับพลังจิตที่ส่งไปควบคุมวงเวทอยู่ตลอด จึงไม่ทำให้เกิดอุบัติเหตุใดๆ ในการทดลอง

หลังจากที่เทของเหลวสีดำลงไปจนหมดแล้ว ลูเซียนก็ทาบมือขวาบนวงเวทและเปลี่ยนการทำงานของมัน เส้นสายสีแดงบางเบามากมายพลันปรากฏขึ้นมาห่อหุ้มถ้วยหลอด ในขณะเดียวกันนั้น ลูเซียนก็เริ่มร่ายคาถาที่ฟังแปลกแปล่ง แล้วนิ้วชี้ข้างซ้ายของเขาก็มีลำแสงเย็นเยียบแผ่พุ่งลงไปในถ้วยหลอด

ทันทีที่ความร้อนระอุปะทะเข้ากับความเย็นเยียบ ก็บังเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ม่านหมอกสีขาวพวยพุ่งขึ้นและดูคล้ายกับจะระเบิดออกได้ทุกเมื่อ ทว่าเส้นสายสีแดงเบาบางที่ห่อหุ้มไว้ทำให้มันค่อยๆ เสถียรขึ้น

หมอกขาวหนาทึบค่อยๆ หายไป เผยให้เห็นของเหลวหนืดๆ สีแดงในถ้วยหลอดสีดำปริมาณไม่มาก และในของเหลวนั้นก็ดูคล้ายจะมีเปลวเพลิงลุกโชติช่วงอยู่

ลูเซียนโล่งอก เขาค่อยๆ เทของเหลวสีแดงใส่ในหลอดแก้วแล้วปิดฝา นี่คือ ‘เจลเพลิง’ ที่แม่มดตั้งใจจะทำขึ้น

หลังจากเก็บสะสมส่วนประกอบในการทดลองได้ครบ ลูเซียนก็เริ่มทดลองแปรธาตุสิ่งนี้ นั่นเพราะตามที่แม่มดเขียนบันทึกไว้ พลังของ ‘เจลเพลิง’ นั้นไม่ใช่เล่นๆ และจากการทดลองที่ล้มเหลวของลูเซียนจนทำให้เกิดบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ และการลองใช้พลังกับ ‘เจลเพลิง’ ในปริมาณน้อยๆ เขาก็เห็นได้ว่ามันคล้ายกับระเบิดนาปาล์มมากทีเดียว เพียงแต่แรงระเบิดไม่ได้รุนแรงเท่า

ตอนแรกลูเซียนอยากจะสร้างสารเหลวไนโตรกลีเซอรีนที่ใช้ในการทำระเบิดและเติมลงไปในเจลเพลิง แต่เมื่อพิจารณาถึงความเสี่ยงและข้อเท็จจริงที่ว่าเขาไม่มีเวทมนตร์ป้องกันดีๆ เลย เขาจึงหยุดความคิดนี้ไว้ชั่วคราว

เขาเปิดกล่องที่ใช้เก็บวัตถุเวทมนตร์ที่สร้างสำเร็จเอาไว้ ในนั้นมีหลอดแก้วบรรจุของเหลวอยู่ทั้งหมดเจ็ดหลอด ช่วงที่ผ่านมาลูเซียนเล่นแร่แปรธาตุได้ ‘เจลเพลิง’ มาสองหลอด อีกสองหลอดเป็น ‘น้ำยานกฮูกน้ำตาล’ ที่ช่วยเร่งเวลาการฟื้นคืนของพลังจิต และอีกสองหลอดคือ ‘น้ำยาพายุ’ ที่ช่วยรักษาบาดแผลและเรียกคืนกำลังวังชาได้อย่างรวดเร็ว

ลูเซียนหยิบน้ำยาทั้งเจ็ดหลอดออกมาและใส่มันไว้ในกระเป๋าลับในเสื้อคลุมสีดำตรงตำแหน่งใกล้ๆ กับเข็มขัดรวมกับ ‘เจลเพลิง’ อีกหลอดที่เพิ่งสร้างเสร็จ เขาได้แบ่งช่องไว้มากมายภายในนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้หลอดแก้วที่มีอักษรรูนปิดผนึกไว้ชนกันเองในระหว่างที่เขาขยับเคลื่อนไหว

หลังจากเก็บของทั้งหมดเสร็จสิ้น ลูเซียนก็เปิดบันทึกเวทมนตร์ของเขาที่อยู่บนโต๊ะและกวาดตามองไปบนหน้าซ้ายและขวาที่มีโครงสร้างและกระบวนการสร้างของเวทมนตร์ระดับฝึกหัดสองบทใหม่ที่เขาสร้างขึ้นเอง

นี่คือผลจากความรู้เกี่ยวกับคลื่นความถี่และแรงสั่นสะเทือนของลูเซียน และจากการพยายามทดลองใช้มานับร้อยๆ ครั้ง ทำให้เขาพัฒนาเวทมนตร์แห่งเสียงอย่าง ‘เวทแกว่งกวัดโฮมาน’ ได้ พลังจิตที่ต้องใช้นั้นเทียบเท่ากับเวทมนตร์ของโหราศาสตร์ และการทำงานของมันก็พิเศษมาก แม้ว่าจะไม่ค่อยมีประโยชน์เวลาต่อสู้ แต่หากเป็นบางโอกาสแล้ว มันจะก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่น่าทึ่งอย่างยิ่ง

หลังจากอ่านเวทมนตร์ทั้งสองบทนี้อยู่เงียบๆ ครู่หนึ่ง ลูเซียนก็หยิบปากกาขนนกขึ้นมาเขียนถ้อยคำที่ดูสวยหรูไว้สองแถวด้านบนหน้ากระดาษ นี่ก็คือชื่อของพวกมัน

‘เวทค้างคาวกรีดร้อง’

‘เวทหัตถ์กวัดแกว่งศาสตราจารย์’

หลังจากเขียนเสร็จ ลูเซียนก็ออกไปจากห้องทดลองและกลับขึ้นมาในกระท่อม ทิ้งตัวลงนอนฟื้นฟูพลังจิตของเขา และรอจนกระทั่งเวลาล่วงเข้าสามทุ่มสี่สิบ เขาจึงดึงหมวกขึ้นคลุมศีรษะและหน้าตา ก่อนจะออกไปจากบ้าน

……………………………………….

Throne of Magical Arcana

Throne of Magical Arcana

ซย่าเฟิง นักศึกษาปีสุดท้ายผู้อ่อนต่อโลก ตื่นขึ้นมาอยู่ในร่างของลูเซียน อีวานส์ เด็กหนุ่มกำพร้าชนชั้นกรรมาชีพที่เฉลียวฉลาด บนโลกที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์ แม่มด ลัทธินอกรีต อัศวิน ปีศาจ และศรัทธาในพระเจ้า ลูเซียนประยุกต์ใช้ความรู้จากโลกเก่าพร้อมกับพลังวิเศษ ‘ห้องสมุดในห้วงสมอง’ ศึกษาเปรียบเทียบวิทยาศาสตร์กับเวทมนตร์ เพราะ ‘ความรู้คืออำนาจ’ ที่จะช่วยให้เขาบรรลุเป้าหมายในการยกระดับชีวิต!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset