ในบันทึกของแม่มด มีสูตรน้ำยาเวทมนตร์กว่าสิบอย่าง แต่ละสูตรก็ให้ผลลัพธ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจ เช่น ‘น้ำยานกน้ำตาลแห่งปัญญา’ สำหรับฟื้นฟูพลังจิต และจากทั้งหมดนั้นมีน้ำยาล้ำค่าอยู่สามสูตรที่จะช่วยให้เข้าใจโครงสร้างเวทมนตร์ยากๆ ได้ นั่นคือ ‘น้ำยาเบิกพลังเวท’ ที่เป็นทางลัดสำหรับการเลื่อนระดับขั้นของผู้ฝึกใช้มนตราที่พบว่าตนติดขัดเพราะโครงสร้างเวทมนตร์บางประการ และเมื่อใช้รวมกับ ‘น้ำยาจันทราเงิน’ ก็จะช่วยให้กระบวนการเลื่อนระดับพลังจิตเป็นไปได้ง่ายขึ้น และ ‘น้ำยาวิญญาณกรรแสง’ จะช่วยให้ดึงพลังที่ซ่อนอยู่ในร่างกายออกมาได้โดยตรง
ในตอนนี้ ‘น้ำยาวิญญาณกรรแสง’ คือน้ำยาที่ใจลูเซียนต้องการที่สุด
‘น้ำยาเบิกพลังเวท’ และ ‘น้ำยาจันทราเงิน’ ไม่เพียงแต่จะต้องใช้ส่วนผสมล้ำค่าที่หาได้ยากในระยะเวลาสั้นๆ แล้ว ยังต้องให้พลังจิตอยู่ในระดับสูงเทียบเท่ากับนักเวทจริงๆ อีกด้วย มีเพียง ‘น้ำยาวิญญาณกรรแสง’ ที่ผู้ใหญ่สามารถใช้ได้ถ้าออกกำลังกายจนมีร่างกายแข็งแรงมากพอ
มันคือผลผลิตจากนักเวทโบราณที่ต้องการเพิ่มพลังให้กับผู้รับใช้ระดับต่ำได้อย่างรวดเร็วเพื่อที่จะเผชิญหน้ากับสถานการณ์คับขัน แต่เพราะน้ำยาจะดึงเอาพลังในตัวออกมาเกินกว่าที่ต้องการ ผลข้างเคียงของมันจึงร้ายแรงไม่น้อย หากมีผู้ใช้ ‘น้ำยาวิญญาณกรรแสง’ เพื่อเลื่อนระดับพลังขึ้นเป็นอัศวิน เขาก็จะไม่สามารถพัฒนาพลังให้แข็งแกร่งขึ้นผ่านการฝึกฝนทั่วไป และพละกำลังของเขาก็จะต่ำกว่าอัศวินธรรมดาๆ
แต่สำหรับลูเซียนที่ไม่คาดหวังว่าตนจะได้เป็นอัศวิน และเลือกเส้นทางการเป็นนักเวท ปัญหานั้นจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่ มันคือหนทางดีๆ ในการทำให้ตัวเขาแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
ปัญหาก็คือส่วนประกอบที่ต้องใช้ปรุงยานั้น ถ้าไม่แพงเกินไปก็แปลกมากๆ แม้แต่ลูเซียนที่เป็นผู้ฝึกใช้มนตราระดับฝึกหัดก็ยังหาส่วนประกอบเหล่านี้ได้ยาก และตัวเขาเองก็ยังไม่ถือว่าเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ขนาดว่าผู้ใหญ่บางคนยังมีโอกาสล้มเหลว ดังนั้นถ้าเขาดื่มน้ำยาเข้าไปตอนนี้ ไม่เพียงแต่จะมีโอกาสล้มเหลวสูงมาก แต่ยังอาจทำให้ชีวิตเขาตกอยู่ในอันตรายได้ ฉะนั้น ยิ่งร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์มาก ก็จะยิ่งทำให้สำเร็จง่ายขึ้น
‘น้ำยาวิญญาณกรรแสง’ คือน้ำยาเวทมนตร์ที่ประสบความสำเร็จโดดเด่นจากศาสตร์มืด สูตรที่ย่อมาให้เข้าใจง่ายๆ คือ
เห็ดซากศพ + เยื่อสมองผีดิบใต้น้ำ + ผงวิญญาณแค้น + ผงกุหลาบแสงจันทร์ = ‘น้ำยาวิญญาณกรรแสง’
เห็ดซากศพคือเห็ดประหลาดที่เติบโตบนซากศพเน่าเหม็น ก่อนที่มันจะโตเต็มที่ มันจะมีสีขาวเหมือนน้ำนม แต่หลังจากนั้น มันจะกลายเป็นสีดำภายในหนึ่งวัน และมันสามารถเก็บไว้ได้นานถึงหนึ่งเดือนเมื่อสุกงอม กลิ่นของมันมีฤทธิ์ทำให้ประสาทหลอนเล็กน้อย และถ้าใครกินมันเข้าไป เขาคนนั้นก็จะได้รับพิษจากซากศพ ยิ่งสีเห็ดเป็นสีดำมากแค่ไหนตอนเก็บ ก็ยิ่งทำให้ ‘น้ำยาวิญญาณกรรแสง’ มีประสิทธิภาพมากขึ้น
เยื่อสมองผีดิบใต้น้ำคือเยื่อสมองจากสัตว์ประหลาดผีดิบ ยิ่งผีดิบแข็งแกร่งมากแค่ไหน ‘น้ำยาวิญญาณกรรแสง’ ก็จะยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผงวิญญาณแค้นก็เช่นเดียวกัน
ตามที่อ่านจากบันทึก กุหลาบแสงจันทร์คือพืชล้ำค่าหายาก มันจะแผ่รัศมีเงินยวงเหมือนสีของดวงจันทร์ในยามราตรี ฤทธิ์ของมันจะช่วยให้อัศวินฝึกหัดระดับสูงกระตุ้นพรในสายเลือดได้ ดังนั้นมันจึงมีราคาสูงมาก ถือว่าแพงที่สุดในบรรดาส่วนประกอบอีกมากมายสำหรับนักเวท หนึ่งกรัมต้องจ่ายหนึ่งธาเล ซึ่งเท่ากับหนึ่งร้อยนาร์ แต่เวลาใช้จะต้องใช้อย่างน้อยสิบกรัมสำหรับน้ำยาหนึ่งขวด ถ้าทุกอย่างไม่ผิดพลาด ตลอดทั้งกระบวนการกระตุ้นพรของอัศวินนั้นอาจต้องใช้ตั้งแต่ห้ากรัมไปจนถึงห้าสิบกรัม นั่นขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของพวกเขา
แม่มดเคยอยากจะปรุงน้ำยาวิญญาณกรรแสงเพื่อใช้เพิ่มพลังให้กับตัวเองอย่างรวดเร็ว นางจะได้ออกไปหา ‘ดอกกอร์สเยือกแข็ง’ ได้เสียที อย่างไรเสีย น้ำยานี้ก็ช่วยให้คนที่ดื่มเข้าไปมีพลังต่อสู้เทียบเท่าอัศวินขั้นที่หนึ่ง ซึ่งถือว่าแข็งแกร่งมากแล้วในเขตการปกครองของดยุกแห่งออร์วาริต นับว่าเป็นชนชั้นสูงที่แท้จริง จากการสังเกตการณ์ในช่วงหลายวันมานี้ ลูเซียนรู้ว่าอัศวินในเขตการปกครองนี้มีเพียงราวๆ สี่ร้อยนาย แต่แน่นอนว่า ในเมืองอัลโต้ย่อมมีผู้ที่แข็งแกร่งกว่าอัศวินทั่วไปมากมายนัก
น่าเสียดายที่แม่มดไม่มีเงินพอจะซื้อกุหลาบแสงจันทร์ในตอนนั้น แต่นางได้บอกไว้ในบันทึกเกี่ยวกับส่วนประกอบอื่นๆ นางเคยได้ยินว่าริมแม่น้ำเบเล็มจะมีผีดิบใต้น้ำปรากฏตัวขึ้นในยามค่ำคืน และรู้ว่าผงวิญญาณแค้นสามารถหาได้จากการ ‘อัญเชิญผีดิบระดับล่าง’ ด้วยการใช้ ‘เลือดของปีศาจ’ ซึ่งนี่ก็คือเวทมนตร์ศาสตร์มืดระดับฝึกหัดเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ ลูเซียนจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากฝึกฝนและเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับพลังจิต ฝึกร่ายคาถาและทำการทดลองทางเวทมนตร์ไปเรื่อยๆ พร้อมกับแอบเสาะหาข่าวเกี่ยวกับส่วนประกอบเหล่านี้
…
เมื่อใกล้จะเข้าสู่ ‘เดือนแห่งไฟ’ (กรกฎาคม) ท้องฟ้าจึงสว่างตั้งแต่เช้าตรู่ เมฆค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีส้มแดงขณะที่พวกมันลอยล่องไปบนนภา
ลูเซียนตื่นก่อนหน้านี้แล้ว และกำลังทดลองการสร้างความถี่ด้วยพลังจิตแทนที่จะร่ายคาถา
การทดลองนี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก มันเป็นไปได้จริงๆ ที่จะควบคุมพลังจิตให้เกิดเวท ‘บ่วงปลดอาวุธ’ โดยไม่ต้องร่ายคาถา แต่ผลลัพธ์นั้นถือว่ายังไม่ดีเท่าไหร่ เพราะลูเซียนพบว่า การใช้วิธีที่ต้องเพ่งพลังจิตควบคุมอย่างมาก ทำให้พลังจิตของเขาถูกสูบออกไปจนเหนื่อยล้า
‘ถ้าใช้วิธีร่ายคาถา จะเรียกใช้เวท ‘บ่วงปลดอาวุธได้’ สามครั้งก่อนที่พลังจิตจะหมด แต่ถ้าใช้วิธีควบคุมพลังจิตให้สั่นเป็นความถี่แล้วใช้เวทโดยไม่ร่ายคาถา ผลลัพธ์ออกมาไม่ค่อยดีเท่าไหร่ มันทำให้พลังจิตฉันหมดเกลี้ยงเลย ถ้าไม่ใช่สถานการณ์คับขัน มันก็ไร้ประโยชน์สิ้นดี’ ลูเซียนคิดอย่างผิดหวัง
หลังจากเข้าฌานเพื่อฝึกฝนพลังจิต ลูเซียนก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้น เขาเก็บกวาดจุดที่เวทบ่วงปลดอาวุธสร้างความสกปรกให้เรียบร้อย ก่อนจะมุ่งหน้าไปที่บ้านอะลิซ่า
“อรุณสวัสดิ์ ลูเซียน มากินข้าวด้วยกันสิ!” ไอเวินเปิดประตูต้อนรับลูเซียน ช่วงนี้เขาไปช่วยงานอะลิซ่าที่สมาคมสิ่งทอ จึงดูคล้ายเติบโตขึ้นเล็กน้อย
ลูเซียนยิ้ม “แน่นอน ข้าเลือกเวลามาที่นี่ได้ดีจริงๆ ข้าจะพลาดมื้อเช้าได้อย่างไร”
“โอ้ อีวานส์น้อย เจ้าเล่นมุกเก่งขึ้นเรื่อยเลยนะ ดูเหมือนว่าหลังจากเรียนหนังสือมาหนึ่งสัปดาห์ เจ้าจะมั่นใจในตนเองขึ้นมากเลยเชียว ว่าแต่ พรุ่งนี้เช้าเจ้าจะไปโบสถ์กับเราหรือไม่” โจเอลกำลังกินซุปผักกับขนมปังดำ ท่าทางพออกพอใจกับความเป็นผู้ใหญ่และมั่นใจของลูเซียน
ทุกๆ เช้าวันอาทิตย์ เหล่าผู้ศรัทธาส่วนใหญ่ที่มีเวลาจะไปโบสถ์เพื่อสักการะบูชานักบุญแห่งความจริง แต่ลูเซียนคอยแต่บอกปัดเพราะเขากังวลว่าคนของโบสถ์จะรู้ความจริงว่าลูเซียนทะลุมิติมา
อะลิซ่าคว้าช้อนไม้ขึ้นมาตักซุปผักร้อนๆ ให้ลูเซียน “อีวานส์น้อย นั่งก่อนเถอะ กินไปคุยไปก็ได้จ้ะ”
ลูเซียนกำลังหิวจนท้องกิ่วเพราะใช้พลังหมดไปกับการเข้าฌานและร่ายคาถามาตั้งแต่เมื่อคืนและยังเช้านี้อีก จึงตอบรับอย่างสุภาพ แล้วซดน้ำซุปด้วยความสุขใจ ก่อนจะเคี้ยวขนมปังดำหยับๆ
แม้ว่าขนมปังดำของอะลิซ่าจะแข็งและกินยาก แต่ก็ยังมีรำข้าวผสมอยู่ มันจึงมีรสชาติดีกว่าขนมปังดำของลูเซียนที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับเคี้ยวเศษไม้ ลูเซียนอดจะสบถก่นด่าพ่อค้าหน้าเลือดไม่ได้
“ท่านลุงโจเอล พรุ่งนี้ข้ามิว่างขอรับ ข้าเกรงว่าจะไปโบสถ์กับพวกท่านไม่ได้” ลูเซียนจะไปโบสถ์ได้อย่างไร แต่นั่นไม่ใช่เพราะว่ามันเสี่ยงเพียงอย่างเดียว ทว่าเขาก็ไม่อยากเสียเวลาในการเรียนรู้
อะลิซ่าถามอย่างสงสัย “อีวานส์น้อย พรุ่งนี้เจ้าจะทำอะไรเช่นนั้นหรือ เจ้าหางานที่ไม่ต้องไปเขตตลาดได้แล้วหรือ”
เมื่อเห็นว่าโจเอลและอะลิซ่ามองมาด้วยความสงสัย ลูเซียนจึงล้วงเอาถุงใส่เงินเรียบๆ มายื่นให้โจเอล พร้อมกับยิ้มอารมณ์ดี “ท่านลุงโจเอล ข้าได้เป็นศิษย์ของท่านวิกเตอร์แล้วขอรับ และท่านวิกเตอร์ก็ใจดีมาก จึงไม่คิดเก็บค่าเรียนหนังสือและดนตรี ข้าจึงนำแปดนาร์มาคืนพวกท่านขอรับ”
“แค่ก แค่กๆ เจ้าได้เป็นศิษย์ของท่านวิกเตอร์อย่างนั้นรึ?!” โจเอลแทบจะสำลักขนมปังดำ เขาไอโขลกอยู่ครู่หนึ่งจนใบหน้าเริ่มแดง และดวงตาเขาก็จ้องมองลูเซียนด้วยความตกตะลึง เพิ่งผ่านไปไม่กี่วันเองนะ?!
ส่วนอะลิซ่านั้นประหลาดใจกับอีกประเด็นหนึ่ง “ไม่คิดค่าเรียน?! เจ้าจะได้เรียนโดยไม่ต้องเสียเงินสักเฟลล์เลยงั้นหรือ?!”
ไอเวินไม่เข้าใจว่าลูเซียนพูดถึงอะไร และเขาก็แอบมองเข้าไปในถุงใส่เงิน “ว้าว เป็นเหรียญนาร์จริงๆ เหรียญเงินที่สะท้อนแสงสวยงาม! ลูเซียน พี่ทำได้อย่างไรกัน”
ลูเซียนเล่าถึงเหตุการณ์เมื่อวันก่อนด้วยความสัตย์จริง อย่างไรเขาก็ไม่มีอะไรต้องปิดบังครอบครัวนี้อยู่แล้ว จากนั้นจึงสรุปความว่า “ก็นั่นแหละขอรับ ท่านวิกเตอร์เลยถามว่าข้าอยากเรียนหนังสือกับดนตรีกับท่านหรือไม่ แล้วก็บอกว่าจะไม่คิดค่าเรียน พรุ่งนี้เช้าข้าคิดว่าจะไปหาท่านวิกเตอร์เพื่อขอยืมหนังสือที่เป็นภาษากลางง่ายๆ รวมถึงหนังสือเกี่ยวกับพื้นฐานทางดนตรี”
ความจริงแล้ว บ่ายวันนี้ลูเซียนจะต้องไปบ้านวิกเตอร์เพื่อชดเชยชั้นเรียนที่เมื่อวานต้องจบลงก่อนเวลา และลูเซียนก็จะไปบ้านวิกเตอร์ในเช้าวันพรุ่งนี้จริงๆ แต่พูดกันตามตรง ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะต้องเลื่อนมันเพื่อไปโบสถ์ ในเมื่อตอนนี้เขาเลือกที่จะใช้ตัวตนการเป็นนักดนตรีหรือลูกศิษย์ของนักดนตรีมาปิดบังตัวตนที่เป็นนักเวท เขาจึงต้องเพิ่มตำราเกี่ยวกับพื้นฐานทางดนตรี ความรู้เบื้องต้น โน้ตเพลง และอีกมากมายเข้าไปในห้องสมุดห้วงจิตให้เร็วที่สุด เพื่อเขาจะได้ดูเหมือนเด็กจนๆ ที่เติบโตมากับเสียงดนตรีในเมืองอัลโต้ ไม่ใช่คนที่เพิ่งทะลุมิติมา
ลูเซียนยังต้องพยายามอีกมากกับการ ‘ปลอมเป็นคนอื่น’
“ท่านวิกเตอร์ช่างเป็นคนดีมีจิตใจเมตตา” เพราะลูเซียนพยายามปกปิดเจตนาแท้จริงของเขา อะลิซ่าที่ไม่รู้อะไรจึงร้องสรรเสริญเยินยอวิกเตอร์เสียงดัง “ขอบคุณพระเจ้า อีวานส์น้อย หลังจากที่ต้องดิ้นรนมานาน ในที่สุดเจ้าก็จะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่งดงามเสียที”
โจเอลจ้องมองลูเซียนอยู่นานด้วยสายตาแฝงความรู้สึกซับซ้อน ก่อนที่เขาจะเอ่ยด้วยความโล่งอกและซาบซึ้งใจ “ข้าไม่เคยคิดเลยว่าอีวานส์น้อยจะเลือกเส้นทางดนตรีจริงๆ ความเฉลียวฉลาด ไหวพริบดี และความขยันหมั่นเพียรของเจ้านั้นเหนือจินตนาการข้าไปไกลเลยเชียว และเพราะพระเจ้าอำนวยพร ทำให้เจ้าได้พบเจอกับท่านวิกเตอร์ นักดนตรีผู้มีจิตใจเมตตายิ่ง ข้าหวังว่าเจ้าจะใช้โอกาสนี้ให้ดี และยังคงขยันหมั่นเพียรเรียนดนตรีต่อไป ถ้า ถ้าเจ้าได้ขึ้นแสดงในหอประชุมบทสวด เจ้าต้องเชิญท่านลุงโจเอลของเจ้าไปฟังสักครั้งล่ะ ถึงตอนนั้น ชีวิตข้าก็จะไม่มีเรื่องดนตรีให้เสียดายอีกแล้ว”
ไอเวินพยักหน้าหงึกหงัก “เช่นนั้นข้าก็จะบอกเพื่อนๆ ได้ว่า พี่ลูเซียนของข้าเป็นนักดนตรีชื่อดังที่ได้ขึ้นแสดงดนตรีในหอประชุมบทสวด เยี่ยมไปเลย!”
“ท่านลุงโจเอล ข้าจะตั้งใจเรียนขอรับ” ลูเซียนพยักหน้าอย่างเคร่งขรึมจริงจัง แต่ในใจกลับทอดถอนใจ ‘ขอโทษด้วยนะครับ ท่านลุงโจเอล ผมคงไม่ทุ่มเทให้ดนตรีขนาดนั้น เพราะหลังจากเมื่อคืน โลกเวทมนตร์ที่ลึกลับกว้างใหญ่ทำให้ผมสนใจจนยากจะถอนตัว นักดนตรีก็แค่งานที่ใช้ปกปิดตัวตนนักเวท และหาเงินที่จำเป็นต้องใช้ในการเรียนเวทมนตร์ก็เท่านั้น ผมเป็นคนที่เชื่อมั่นและศรัทธาในดนตรีเหมือนท่านลุงไม่ได้หรอกครับ’
ในฐานะคนธรรมดาที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับดนตรี ลูเซียนจึงรู้เพียงว่าศาสนจักรไม่ได้ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์หรืออำนาจใดในการควบคุมดนตรีในเมืองอัลโต้มากว่าสามร้อยปีแล้ว เพลงส่วนใหญ่ที่ได้ยินในตัวเมืองนั้นไม่ใช่เพลงที่ล้าสมัย หลายเพลงยังไพเราะและงดงามอย่างยิ่งเสียด้วยซ้ำ ไม่ด้อยไปกว่าเพลงของนักดนตรีคลาสสิกที่ลูเซียนเคยได้ยินจากโลกก่อนเลย ทั้งยังให้ความรู้สึกคุ้นเคยและเกาะกระแสไปได้ดี
โจเอลเก็บถุงใส่เงินไป “อีวานส์น้อย เมื่อเจ้าเลือกเครื่องดนตรีที่เจ้าอยากเรียนได้แล้ว อย่าอายที่จะมายืมเงินไปซื้อล่ะ”
“ขอรับ ท่านลุงโจเอล ท่านน้าอะลิซ่า ข้าเองก็จะหางานที่ไม่ต้องเข้าไปในตลาดทำเหมือนกัน อืม มันน่าจะง่ายขึ้นมากเพราะข้าเป็นศิษย์ของท่านวิกเตอร์แล้ว” ลูเซียนกินมื้อเช้าเสร็จก็ลุกขึ้นกล่าวลา
หลังจากที่เขาอ่านบันทึกเวทมนตร์จบ ลูเซียนก็ได้ตระหนักว่าการเรียนเวทมนตร์นั้นต้องจ่ายแพงมาก!
————————————————