เมื่อพูดเรื่องพวกนี้จบไป๋ยี่เฟยก็ยกเท้าขึ้นอีกครั้ง
“โครม!”
“โอ้ย!”
ชายแซ่เการ้องโหยหวน
ส่วนคนอื่นที่ได้เห็นภาพนี้ต่างพากันตัวสั่นอย่างไม่รู้ตัว
ในตอนนี้เองประตูใหญ่ถูกเปิดออกและมีคนจำนวนมากเข้ามา จากนั้นก็มีบอดี้การ์ดชี้ไปที่ไป๋ยี่เฟยแล้วตะโกน “หยุดเดี๋ยวนี้!”
คนเหล่านี้คือกลุ่มบอดี้การ์ดของคลับ คนที่กำลังพูดน่าจะเป็นหัวหน้าชุดบอดี้การ์ด ดูแล้วอายุราวสี่สิบกว่าๆ รูปร่างสูงใหญ่ ท่าทางดุดัน
หัวหน้าคลับกับพนักงานต้อนรับสาวสวยเมื่อครู่ยืนอยู่ด้านหลังของกลุ่มบอดี้การ์ด
พวกเขามองดูชายแซ่เกาที่ถูกไป๋ยี่เฟยเล่นงานจนลงไปกองกับพื้น ตอนนี้ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเลือดและสั่นไปทั้งตัว หัวหน้าแผนกกับกลุ่มบอดี้การ์ดต่างมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปจนดูไม่ได้
คลับแห่งนี้เพิ่งจะเปิดดำเนินการสิ่งที่ไม่คาดหวังให้เกิดที่สุดก็คือเรื่องประเภทนี้
ตอนนี้คนที่ถูกทำร้ายคือชายตระกูลเกา คลับคงจะรับไม่ไหวแน่
แต่ชายหนุ่มที่ทำร้ายเขานั้นดูธรรมดามาก ดูแล้วไม่มีแบคอัพไม่ต้องกลัวจะต้องรับผิดชอบ
“รีบเอาขาออกไปไอ้ลูกหมา!”
“ปล่อยลูกค้าอันทรงเกียรติของเราเดี๋ยวนี้!”
หัวหน้าบอดี้การ์ดเป็นคนที่มองเห็นสถานการณ์ได้อย่างชัดเจน ดังนั้นแน่นอนว่าทัศนคติที่เขาทำในตอนนี้คือการเอาใจชายแซ่เกา และทัศนคติต่อไป๋ยี่เฟยก็ไม่ค่อยดีนัก
เมื่อเถ้าแก่คนอื่นๆ เห็นบอดี้การ์ดเข้ามาก็ต่างพากันถอนหายใจ เมื่อครู่ไป๋ยี่เฟยน่ากลัวมากจริงๆ ทำให้พวกเขาหวาดกลัวขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว
แต่ตอนนี้มีบอดี้การ์ดอยู่พวกเขาจึงมีแรงแข็งขัน
“ปล่อยเขา เขาเป็นคนตระกูลเกา!”
“ประกาศครั้งสุดท้าย หากแกยังไม่ปล่อยเขา แกตายแน่!”
“พี่บอดี้การ์ดรีบจับเขาไปเลย!”
“ใช่ รีบจับเขาเลย พวกเราเป็นเพื่อนกับพี่เกา จะช่วยพูดให้คลับของพวกคุณไม่ให้ตระกูลเกาโทษพวกคุณ”
เมื่อได้ยินแบบนี้บอดี้การ์ดก็ตาเป็นประกาย
ปกติแล้ว ไม่มีใครอยากจะหาเรื่องใส่ตัวโดยใช่เหตุ สุดท้ายแล้วพวกเขาทำธุรกิจ ทำให้คนใหญ่คนโตต้องขุ่นเคืองก็อย่าหวังว่าจะดำเนินกิจการต่อไปได้
ตอนนี้คนพวกนั้นสามารถรับประกันได้ว่าตระกูลเกาจะไม่ถือโทษคลับ พวกเขาก็ต้องดีใจมากอยู่แล้ว
ตอนนี้มีคนใช้ศอกแตะโจวหลินและพบว่าเขาหน้าซีดขาวและเงียบอยู่ตลอดจึงถามด้วยความสงสัย “เหล่าโจว คุณเป็นอะไรไป? ทำไมถึงไม่พูดอะไรเลย? ทำไมดูคุณขี้ขลาดกว่าพวกเราเสียอีก?”
โจวหลินยังไม่ทันจะพูดอะไรก็ถูกคนคนนั้นผลักออกมาเพราะเขาเพียงคนเดียวในกลุ่มที่มีวิชาป้องกันตัวอยู่บ้าง
อย่างไรก็ตาม ใบหน้าของโจวหลินนั้นซีดเซียว และเขายังอยากจะตีคนที่ผลักเขาออกไป
แม่งคนที่อยู่ข้างหน้านี้คือไป๋ยี่เฟยเลยนะ!
เมื่อคิดถึงภาพการประลองของไป๋ยี่เฟยกับยอดฝีมือระดับที่สองในคืนนั้นก็สั่นสะท้าน แล้วเมื่อนึกถึงสี่ตระกูลผู้ยิ่งใหญ่ ตระกูลไป๋กับตระกูลหลินก็มาช่วยเขา โจวหลินหันไปหาไป๋ยี่เฟย
โจวหลินชี้ไปทางหัวหน้าบอดี้การ์ดแล้วพูด: “ผมเป็นคนตระกูลโจว พวกคุณห้ามทำอะไรเขา!”
ไม่ได้ยินแบบนี้ทุกคนก็อึ้ง
ตอนนี้เองฟางหยันก็ก้าวออกมาและพูด: “ผู้ชายคนนี้ทำร้ายเขาก่อน ฉันเป็นพยานได้”
เถ้าแก่พวกนั้นก็รีบมองไปที่โจวหลินและถลึงตาใส่เขา “คุณเป็นอะไร? แม่งกลัวจนอึ้งไปแล้วรึไง?”
ผู้จัดการของฟางหยันได้เตือนฟางหยัน: “เธอช่วยเงียบหน่อย อย่าหาเรื่อง!”
คนเหล่านี้โต้เถียงกันเป็นการภายใน ทำให้กลุ่มบอดี้การ์ดงุนงง
“โครม!”
ตอนนี้เองที่เสียงดังขึ้นอีกครั้ง
เป็นไป๋ยี่เฟยที่กระทืบชายแซ่เกาอีกครั้ง
“เผละ!”
หัวของชายคนนี้เหมือนแตงโมที่ถูกกระทืบอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา ส่วนหนึ่งของมันจมลง เลือดกระเซ็น และดูน่ากลัว
และชายแซ่เกาคนนี้ก็เสียชีวิตลง
ไป๋ยี่เฟยกลับไม่ได้เปลี่ยนใจกับการตัดสินใจจะฆ่าชายแซ่เกาเสียเพราะคำพูดของคนพวกนี้ ดังนั้นในตอนที่พวกเขากำลังถกเถียงกันนั้น ก็กระทืบชายแซ่เกาให้ตายคาตีนโดยไม่ลังเล
ในขณะนี้ห้องส่วนตัวเงียบลงทันทีและแม้เสียงเข็มตกก็ยังได้ยิน
ทุกคนมองไปที่ไป๋ยี่เฟย ช็อค หวาดกลัว ไม่อยากจะเชื่อ
กลัวว่าคงจะมีเพียงหลิวเสี่ยวอิงเท่านั้นทีดูค่อนข้างนิ่งสงบ
ไป๋ยี่เฟยเงยหน้าและกวาดตามองทุกคนและพูดอย่างเฉยเมย: “ผมเพิ่งพูดไปว่าสี่ตระกูลผู้ยิ่งใหญ่และเต้าจ่างผมยังไม่แคร์ แล้วนับประสาอะไรกับตระกูลเกา?”
ชายแซ่เกาไม่น่าจะต้องตายถ้าเขาไม่แค่ด่าไป๋ยี่เฟยหรือลงไม้ลงมือ ไป๋ยี่เฟยก็ไม่ค่อยจะสนใจ
แต่เขากลับเอาแต่ด่าเรื่องน้องสาวของเขา
ถึงแม้จะไม่ได้ชี้ออกมา แต่คำพูดนั้นก็แทงใจดำของไป๋ยี่เฟย
น้องสาวของไป๋ยี่เฟยเพิ่งจะจากไป เขายังไม่สามารถเดินออกจากความทุกข์ทรมานนั้นได้อย่างสมบูรณ์ แล้วยิ่งมีคนพูดแบบนี้ด้วยแล้ว ยิ่งบีบให้เขาทนไม่ได้
“ผมไม่พูดอะไรไม่ได้หมายความว่าผมกลัวพวกคุณ”
“ผมไม่หาเรื่องไม่ได้หมายความว่าผมกลัวจะมีเรื่อง”
“ผมไม่ชอบฆ่าคนก็ไม่ได้หมายความว่าผมฆ่าใครไม่เป็น”
ไป๋ยี่เฟยกวาดสายตาอันเยือกเย็นมองทุกคนและพูดอย่างเย็นชา “พวกคุณไปบอกตระกูลเกาได้เลยว่าผมอยู่ที่นี่”
“คนของคลับก็ไม่ต้องเป็นกังวล เรื่องในวันนี้จะไม่มีทางส่งผลถึงทางคลับ”
“รอจนคนของตระกูลเกามา ผมจะอธิบายกับพวกเขาเอง หรือไม่พวกเขาก็ต้องอธิบายกับผม!”
เมื่อได้ยินแบบนี้พวกเขาก็เงียบดุจจักจั่นในฤดูหนาว
ถึงขนาดฆ่าคนต่อหน้าพวกเขาแล้ว พวกเขาก็คงพูดอะไรไม่ได้ หากมีใครไม่พอใจ คนคนนั้นอาจจะโดนฆ่าเป็นรายต่อไปก็ได้?
ในระหว่างที่ไม่มีใครกล้าปริปากนั้น จู่ ๆ หัวหน้าบอดี้การ์ดก็ส่งเสียงออกมา: “แกคิดว่าพูดแบบนี้แล้วจะแก้ไขปัญหาทุกอย่างได้แล้วงั้นเหรอ?”
ไป๋ยี่เฟยหันไปมองแล้วขมวดคิ้ว
ตอนนี้เขามองไม่ออกว่าหัวหน้าบอดี้การ์ดเป็นยอดฝีมือระดับไหน แต่ก็รู้ว่าคนคนนี้เป็นคนมีวิชาติดตัว
ไป๋ยี่เฟยจึงถามเรียบ ๆ: “งั้นคุณคิดว่าจะแก้ยังไง?”
“แน่นอนว่าคุณต้องรับผิดชอบเรื่องฆ่าคน แต่ว่าพวกเราต่อหน้าตระกูลเกา ทางคลับเราก็ควรจะมีความคิดเห็นของทางคลับด้วย” หัวหน้าบอดี้การ์ดพูด
ไป๋ยี่เฟยมองเขาแล้วถาม: “แล้วไง?”
หัวหน้าบอดี้การ์ดโบกมือไปมาแล้วพูดกับบอดี้การ์ดที่อยู่ด้านหลัง: “มัดเขาไว้ รอให้คนตระกูลเกามาจัดการ”
หัวหน้าบอดี้การ์ดพิจารณาในนามของคลับ ทำแบบนี้ก็ไม่ผิด อย่างน้อยก็ยืนยันได้ว่าในเรื่องนี้นั้น ทางคลับก็เข้าข้างตระกูลเกา ถึงเวลานั้นตระกูลเกาก็จะไม่กล่าวโทษทางคลับ
ไป๋ยี่เฟยกลับส่ายหน้าและพูด: “ไม่จำเป็น”
หัวหน้าบอดี้การ์ดยิ้มอย่างเย็นชาและโบกมือ “ไม่ใช่ที่แกจะตัดสินใจ!”
จากนั้นบอดี้การ์ดสิบกว่าคนที่อยู่ข้างหลังเขาก็รีบวิ่งไปที่ไป๋ยี่เฟยพร้อมกับกระบองในมือของพวกเขา
ไป๋ยี่เฟยเห็นแบบนั้นก็ยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ “พวกคุณบีบผมเองนะ”
จากนั้นก็พุ่งเข้าไปและท่าวงท่าพันเกี่ยวและต่อยเข้าทีละคน
บอดี้การ์ดที่เข้าใกล้ไป๋ยี่เฟยถูกกระโดดเตะหรือต่อยจนล้มกระแทกพื้น
ไม่ถึงนาทีไป๋ยี่เฟยก็จัดการบอดี้การ์ดไปเจ็ดแปดคนแล้ว
ที่เหลือเห็นแล้วต่างวิตก เพราะพวกเขาคิดไม่ถึงว่าไป๋ยี่เฟยจะมีฝีมือร้ายกาจแบบนี้
เมื่อหัวหน้าบอดี้การ์ดเห็นสถานการณ์เช่นนี้ สายตาของเขาจับจ้องไปที่ไป๋ยี่เฟย ไป๋ยี่เฟยฝีมือไม่เลว หากเป็นอย่างนี้ต่อไป บอดี้การ์ดคงจะถูกเขาเล่นงานล้มคว่ำหมดแน่
แต่ถ้าความแข็งแกร่งของหัวหน้าบอดี้การ์ดถูกแบ่งตามระดับของพวกเขา ก็อยู่ยอดฝีมือระดับที่สี่ ส่วนไป๋ยี่เฟยเป็นยอดฝีมือระดับที่สามชั้นกลาง ยังห่างกันถึงสองระดับ
ดังนั้นหัวหน้าบอดี้การ์ดจึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของไป๋ยี่เฟย
หัวหน้าบอดี้การ์ดพุ่งตัวเข้าใส่ ไป๋ยี่เฟยก็โยกตัวหลบแล้วใช้มือหนึ่งคล้าข้อมือของหัวหน้าบอดี้การ์ดไว้
หัวหน้าบอดี้การ์ดตกตะลึงในทันที