เมื่อสูดเอาหมอกโลหิตจางๆ เข้าไป ลูเซียนก็รู้สึกว่าแขนขาของเขาอ่อนแรง เส้นประสาทในสมองบวมเป่งและเต้นตุบ ในสายตาเขา ภาพโคเรลลากับฮาวสันตรงหน้าจู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นโคเรลลากับหนูยักษ์แล้วก็กลับมาเป็นมนุษย์สองคนฆ่าฟันกันเองอีกครั้ง ราวกับว่าภาพมายากับความเป็นจริงซ้อนทับกันอยู่
‘เดี๋ยวนะ ภาพหลอนงั้นเหรอ?!’ ลูเซียนคิดถึงเรื่องนี้ และค่อนข้างมั่นใจเลยทีเดียว เมื่อเขาจดจ่อสมาธิไปที่การปล่อยให้พลังจิตในตัวไหลบ่าไปทั่วราวกับสายน้ำ ภาพตรงหน้าจึงหยุดเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา หมอกโลหิตไม่ทำให้เกิดการบิดเบือนอีกต่อไป ทุกอย่างกลับมาคงที่ เป็นโคเรลลากับฮาวสันที่ต่อสู้หมายชีวิตกันเอง หยาดโลหิตพรั่งพรูจากบาดแผลมากมายบนตัวพวกเขา แต่ละฝ่ายต่างมีท่าทางเหนื่อยอ่อนไร้เรี่ยวแรง และดูเหมือนใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้ว
‘เป็นเพราะเลือดของหนูตาแดงพวกนั้นที่ทำให้เกิดภาพหลอนหรือเปล่า หรือว่าเลือดพวกนั้นทำให้เกิดภาพหลอนได้หลังจากที่พืชแปลกๆ นั่นดูดซับแล้วแปลงสสารกันนะ ช่างเป็นกับดักที่ชาญฉลาดจริงๆ’
ลูเซียนเข้าใจในที่สุดว่า ไม่ว่าจะเป็นการหายตัวไปของฮาวสันหรือการที่แกรี่โจมตีใส่กะทันหันนั้นเป็นผลจากการเห็นภาพหลอน และผลกระทบนี้ก็เป็นไปได้มากว่าจะเริ่มตั้งแต่การสังหารหนูดวงตาสีแดงเลือดตัวแรก ซึ่งนั่นทำให้ประสาทสัมผัสทั้งหมดด้านชา ยากจะแยกแยะอะไร มีเพียงลูเซียนที่ไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเขาได้รับการปกป้องจากโล่แห่งแสง และเมื่อพลังจิตของเขาพัฒนาขึ้น เขาก็กำจัดภาพมายาออกไปได้
ลำแสงศักดิ์สิทธิ์ที่เพิ่งแผ่พุ่งออกจากเหรียญตรานักบุญแห่งความจริงไม่เพียงทำให้มือและไหล่ขวาส่วนหนึ่งของแกรี่ระเหิดหายไป แต่ยังพุ่งขึ้นไปกระทบกับเพดานหินเหนือตู้จนเป็นหลุมลึก เศษหินร่วงกราวลงมา ดูเหมือนว่าห้องลับทั้งห้องสามารถถล่มลงมาได้ทุกเมื่อ
เศษซากเพดานกับฝุ่นฟุ้งกระจาย ทำให้หมอกโลหิตจางๆ หายไป ลูเซียนจึงรู้สึกว่าเรี่ยวแรงของเขากำลังฟื้นคืนขึ้นเรื่อยๆ
ลูเซียนไม่รู้ว่าในห้องลับจะยังมีกับดักเวทมนตร์อะไรอีกหรือไม่ ดังนั้นแม้ว่าเขาจะปลอดภัยในตอนนี้ เขาก็ไม่กล้าผ่อนคลายและพยายามเร่งคิดหาทางออก
เวทมนตร์ที่สามารถเรียกใช้จาก ‘เหรียญตรานักบุญแห่งความจริง’ เหลือเพียงเวทแสงอีกสองครั้งเท่านั้น เขาไม่เหลืออะไรให้พึ่งพาอีกต่อไปแล้ว และแม้แต่พละกำลังของเขาก็อ่อนปวกเปียกอันเป็นผลมาจากฤทธิ์อัมพาตที่อยู่ในหมอกโลหิตจางๆ นั้น
ทันใดนั้น ลูเซียนก็เห็นว่าพืชแปลกๆ นั้นกำลังสั่นไหวท่ามกลางเศษหินที่ตกลงมา
‘นอกจากการสร้างภาพหลอนแล้ว มันไม่มีความสามารถในการปกป้องตัวเองเลยหรือ’ ลูเซียนพลันได้สติ ลุกขึ้นยืนด้วยแขนขาที่ยังอ่อนแรง แล้วเดินตรงไปหาพืชหน้าตาแปลกประหลาดนั้น
เพราะยังอ่อนแรง ลูเซียนจึงโซเซเล็กน้อย เขาก้าวเดินไปช้าๆ และเศษหินแหลมคมก็ตกลงมาใส่เขาหลายครั้งจนได้แผลถลอกกับรอยช้ำมาเพิ่มมากมาย ความเจ็บปวดนั้นเกินจะทนไหว และบางแผลก็มีเลือดไหลอาบ
ลูเซียนสูดหายใจเข้าลึก ข่มความเจ็บปวด แล้วเดินต่อไปยังพืชแปลกๆ ด้วยสติและเรี่ยวแรงที่ฟื้นคืนกลับมาชั่วคราวเพราะความเจ็บปวดบนบาดแผล
หลังจากผ่านเหตุการณ์มามากมาย ความไม่สนใจและความไม่พอใจของลูเซียนก็น้อยลงแล้ว ไม่รอช้า เขากลั้นหายใจแล้วยื่นมือขวาออกไปอย่างระมัดระวังแต่มั่นคง แล้วกำรอบลำต้นของพืชแปลกประหลาดนั้น
คล้ายมีเส้นบางอย่างใต้มือเขาที่เต้นตุบเหมือนกระแสที่วิ่งพล่าน ลูเซียนรู้สึกว่าเขาไม่ได้กำเถาพืชอยู่ แต่เป็นสิ่งมีชีวิต จากนั้นเขาก็ออกแรงกระชากดึงมัน
“อ๊ะ!”
กิ่งก้านและใบของพืชแปลกประหลาดนั้นพลันหดตัวลง พร้อมกับส่งเสียงกรีดร้องแหลมออกมา ราวกับว่ามันกำลังจะตาย
ลูเซียนกระชากมันออกมาไม่สำเร็จ จึงออกแรงดึงมากขึ้น ระหว่างนั้นเจ้าพืชประหลาดก็กรีดร้องไม่หยุดและยืดกิ่งก้านกับใบมาพันรัดรอบแขนลูเซียน
ความรู้สึกเปียกชื้น ลื่นๆ และน่าขยะแขยงพลันเกิดขึ้นบนผิวหนัง หนามแหลมเล็กนับไม่ถ้วนทิ่มแทงเข้ามาในตัวเขา ลูเซียนข่มความกลัวและความหวาดหวั่นเอาไว้ แล้วดึงอีกครั้ง
“ฮือ…”
เสียงร้องหยุดไปโดยฉับพลัน ของเหลวสีแดงสาดกระเซ็นเปรอะเปื้อนอกเสื้อลูเซียน ส่งกลิ่นเหม็นโฉ่อบอวลในอากาศ และนั่นทำให้แขนขาลูเซียนแทบหมดแรง เขาทำได้เพียงยืนพิงผนังหินข้างกายเพื่อไม่ให้ตัวเองร่วงลงไปกองกับพื้น
เมื่อลูเซียนทำให้พืชประหลาดนี้ขาดเป็นสองท่อน หมอกโลหิตจางๆ ในอากาศก็เริ่มหนาแน่นขึ้นจนแทบจะก่อตัวรวมกันเป็นของเหลว
หนังสือที่ยังคงเปล่งแสงทั้งสามเล่มบนโต๊ะใกล้ๆ กันนั้นสูญสลายไปอย่างรวดเร็วทันทีที่สัมผัสได้ถึงหมอกโลหิตหนาแน่น มันใช้เวลาเพียงสองสามวินาทีในการพลิกหน้ากระดาษจากหน้าแรกไปยังหน้าสุดท้าย แล้วก็หายวับไป รวดเร็วเสียจนลูเซียนที่อยู่ข้างๆ อ่านเนื้อหาที่เขียนอยู่บนนั้นไม่ทัน
แน่นอนว่าสภาพลูเซียนที่โดนฤทธิ์อัมพาตทำให้เขาหยุดมันไม่ได้ แค่จะก้าวเท้าออกไปก้าวหนึ่งยังยากเลยด้วยซ้ำ
บนโต๊ะพลันว่างเปล่า แต่น่าแปลก นอกจากจุดที่หนังสือทั้งสามเคยอยู่แล้วก็ไม่มีอะไรอีกที่ส่งสัญญาณว่าจะสลายหายไป ลูเซียนเข้าใจแล้วว่าเป้าหมายหลักของมันคืออะไรหลังจากเห็นเรื่องแปลกประหลาดนั้นเมื่อครู่ ‘เหมือนว่านั่นจะเป็นกับดักเวทมนตร์อีกอย่างหนึ่ง พอหมอกสีแดงรวมตัวกันหนาแน่นในระดับหนึ่ง กับดักเวทมนตร์บนบันทึกเวทมนตร์พวกนั้นก็จะเริ่มทำงาน ทำลายตัวมันเอง เพื่อไม่ให้ศัตรูได้มันไป’
‘เสียดายบันทึกเวทมนตร์พวกนั้นจริงๆ’ ลูเซียนถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย เขาแอบหวังในใจว่าจะได้ค้นพบเวทมนตร์ยิ่งใหญ่จากในนั้น!
ทันใดนั้น ลูเซียนก็ต้องตะลึงงันเมื่อพบว่าห้องสมุดในห้วงความคิดของเขาเปล่งประกายแปลกๆ
ด้วยความสงสัยใครรู่ ลูเซียนจึงเพ่งจิตเข้าไปในห้องสมุด แล้วเขาก็ต้องเบิกตาโพลงเมื่อเห็นชั้นหนังสือใหม่เอี่ยมปรากฏขึ้นในห้องสมุดโดยมีคำว่า ‘เวทมนตร์ (อาร์เคน)’ เป็นป้ายบอก บนชั้นนั้นมีหนังสือสามเล่ม มันคือบันทึกเวทมนตร์ทั้งสามที่ลูเซียนเพิ่งได้เห็นเมื่อครู่
‘ห้องสมุดนี้มีพลังในการเก็บสะสมหนังสือด้วยเหรอเนี่ย แต่พวกเนื้อหามาจากไหนกันล่ะ’ ลูเซียนประหลาดใจอย่างยิ่ง ‘หรือว่าฉันต้องเห็นเนื้อหาด้วยตาตัวเองกันนะ อืม ถึงหนังสือสามเล่มนี้จะสลายไปเร็วมาก แต่ถ้ามองกระบวนการนั้นแบบช้าๆ หนังสือทั้งเล่มก็ยังค่อยๆ สลายไปทีละหน้าอยู่ดี แปลกจริงๆ ที่ห้องสมุดนี้สามารถคัดลอกเนื้อหาตั้งแต่ต้นจนจบ ทำให้มีภาพจำลองของหนังสือสามเล่มนี้ขึ้นมา มันไม่มีทางเสกเนื้อหาขึ้นมาได้จากอากาศหรอก’
ณ ตอนนี้ ลูเซียนทำได้เพียงคาดเดา เขาคงจะต้องรอทำการทดลองกับหนังสือเล่มอื่นๆ ในอนาคตเพื่อให้มั่นใจเสียก่อน
ขณะมองบันทึกเวทมนตร์ทั้งสามเล่ม ลูเซียนที่เมื่อครู่ยังรู้สึกเสียดายกลับลังเลขึ้นมา ‘ถ้าฉันเรียนเวทมนตร์ มันจะอันตรายเกินไปหรือเปล่าในโลกที่พลังศักดิ์สิทธิ์มีพลังอำนาจมากพอจะเผานักเวทได้อย่างเปิดเผยแบบนี้น่ะ’
เขาไม่สามารถตัดสินใจได้ ลูเซียนจึงหยุดคิดเรื่องนี้ชั่วคราว อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขากับคนอื่นๆ ยังคงอยู่ในห้องลับ และยังไม่พ้นภัยอย่างแท้จริง ลูเซียนจึงเริ่มรวบรวมกำลัง
เมื่อไม่มีพืชหน้าตาประหลาด หมอกโลหิตสีแดงก็เริ่มจางลงและสิ้นฤทธิ์ลงเรื่อยๆ โคเรลลากับฮาวสันหลุดพ้นจากภาพหลอนได้ในที่สุดและต่างจ้องมองกันด้วยความตกใจ แต่พวกเขารู้ตัวช้าไปมาก เพราะต่างฝ่ายต่างบาดเจ็บสาหัสใกล้สิ้นลม
…
เบนจามินที่อยู่ด้านบนร้องครางขึ้นมาในระหว่างที่ลูเซียนแตะ ‘เหรียญตรานักบุญแห่งความจริง’ ด้วยพลังจิตของเขาและกระตุ้น ‘เวทลำแสงศักดิ์สิทธิ์’ ให้ทำงาน เขาทิ้งมือขวาลงแล้วมองเข้าไปในเส้นทางลับด้วยความพิศวงมึนงง
“ลอร์ดเบนจามิน?” พอลรีบเข้ามาหาเมื่อเห็นพฤติกรรมแปลกๆ ของเบนจามิน
ภายใต้แสงจันทร์สีเงิน สีหน้าของเบนจามินดูย่ำแย่อย่างยิ่ง เขาเอ่ยเสียงกระซิบ “ข้างล่างนั่นเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น พลังจิตของข้าที่ฝังไว้บนเหรียญตราศักดิ์สิทธิ์ถูกแตะต้อง บัดซบ! นางเป็นแค่ผู้ฝึกใช้มนตราแท้ๆ เจ้าพวกนี้ช่างไร้ประโยชน์ที่ปล่อยให้มาถึงจุดนี้ได้! พอล เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ และหากข้าไม่ออกมาภายในห้านาที จงไปขอความช่วยเหลือจากท่านบิช็อป”
เป็นเพราะบนเหรียญตรามีพลังจิตของเขาฝังไว้ เบนจามินจึงได้มั่นใจยอมมอบเหรียญตรานักบุญแห่งความจริงให้ลูเซียนนำไปใช้ มิเช่นนั้นถึงจะเป็นอุปกรณ์เวทมนตร์อื่นๆ บนตัวเขาที่อ่อนแอกว่าอุปกรณ์เวทมนตร์มาตรฐานอย่างเหรียญตราศักดิ์สิทธิ์ เขาก็คงไม่มอบให้ผู้ใดง่ายๆ แต่ใครจะไปรู้ว่าจิตเขาที่ฝังอยู่ในนั้นจะถูกแตะต้อง และเขาก็ห้ามการกระตุ้นเวทศักดิ์สิทธิ์ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดไม่ได้
ความไม่เอาใจใส่และความไม่รอบคอบมักอยู่คู่กับความหยิ่งยโสและความมีอคติเสมอ
ในความคิดของเบนจามิน พวกอัศวินที่พึ่งพาแต่พลังกายก็เป็นแค่คนชั้นต่ำไร้การศึกษา ไม่ได้ดีไปกว่าผู้ใช้มนตราจากชนชั้นสูงที่สำรวจหาสิ่งลี้ลับไปทั่วโลก แม้จะต้องเผชิญกับนักเวททมิฬก็ตาม ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เหมาะจะใช้เวทศักดิ์สิทธิ์ จิตสำนึกเขาจึงสั่งให้มอบเหรียญตรานักบุญแห่งความจริงแก่ลูเซียนผู้ที่มีพลังจิตกล้าแกร่งกว่าคนทั่วไป
ทัศนคตินี้มีที่มาจากภูมิหลังและประสบการณ์ของเขา
ตระกูลราฟาติของเขาเป็นหนึ่งในตระกูลที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในเขตการปกครองของดยุกแห่งออร์วาริต ถึงแม้ว่าพวกเขาจะใช้ ‘พร’ ในสายเลือดของตระกูลเช่นกัน แต่ก็แตกต่างจากเหล่าอัศวิน พวกเขาใช้พรในสายเลือดเพื่อร่ายคาถา และพวกเขาก็คือผู้ใช้มนตราที่แท้จริง ในฐานะที่เบนจามินคือสมาชิกในตระกูลราฟาติ แม้พรในตัวเขาจะเบาบางจนไม่สามารถกระตุ้นพลังของตนเองได้ แต่หลังจากที่เขาออกบวช เขาก็โดดเด่นจากสหาย และกลายเป็นบาทหลวงอย่างราบรื่น และเดินไปบนเส้นทางผู้ใช้มนตราอย่างมั่นคง
ทว่าตอนนี้ ในฐานะบาทหลวงแล้ว เขากลับมีปัญหากับการจัดการเรื่องเล็กๆ เช่นนี้ นี่ย่อมส่งผลต่อชื่อเสียงและตำแหน่งของเขาในโบสถ์ ดังนั้นเบนจามินจึงรีบลงไป
พอลถึงกับตกตะลึง ‘ทั้งๆ ที่มีเหรียญตรานักบุญแห่งความจริงแต่ก็ยังเกิดปัญหาเช่นนั้นหรือ ข้างล่างนั่นยังมีนักเวทคนอื่นอยู่อีกหรือไร’
…
พละกำลังของลูเซียนฟื้นคืนกลับมาบางส่วนแล้ว และขณะที่เขากำลังจะเดินออกไปจากผนังหินข้างๆ ตู้ใบหนึ่ง เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้า นั่นทำให้ความวิตกกังวลและตึงเครียดพลุ่งพล่านขึ้นมาโดยพลัน หากว่านั่นคือเศษซากที่เหลืออยู่ของแม่มดนางนั้น หรือสัตว์ประหลาดเวทมนตร์ หรือนักเวทคนอื่นๆ ลูเซียนก็เกรงว่าเขาจะหนีไปไหนไม่ทันแล้ว
เขาเฝ้ารอจนกระทั่งมองเห็นชุดคลุมสีขาวของเบนจามินจึงโล่งอกขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่กล้าผ่อนคลายท่าที อย่างไรเสียห้องลับนี้ก็เป็นสถานที่ฆ่าปิดปากคนได้ดีเยี่ยม
“เถาวัลย์เลือดแห่งแลปแลนด์งั้นรึ” เบนจามินกวาดตามองสภาพภายในห้องลับ และประเมินสถานการณ์ทั้งหมดด้วยองค์ความรู้ทางเวทมนตร์และพืชพรรณที่ได้เรียนรู้มา เขาเข้าใจได้ที่ลูเซียนผู้กำลังขยับกายช้าๆ แนบผนังอยู่นั้นบาดเจ็บสาหัส แต่เหตุใดแกรี่กับคนอื่นๆ ถึงตกอยู่ในสภาพนี้ได้กัน ‘ยังดีที่ไม่มีใครตาย’
‘เจ้าหนุ่มคนนี้โชคดีนัก พลังจิตของเขาเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เกือบจะถึงระดับของบาทหลวงฝึกหัดขั้นพื้นฐาน ดูเหมือนว่าผลพวงจากการเลื่อนระดับพลังจะไปโดนพลังจิตของข้าที่ฝังอยู่ในนั้น น่าเสียดายที่ตอนนี้มิใช่เมื่อ 300 ปีที่แล้วอันเป็นยุครุ่งเรืองของศาสนจักร ยุคที่ผู้มีพรสวรรค์สามารถเรียนการใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ได้ หากไร้พื้นฐานและองค์ความรู้เกี่ยวกับพลังศักดิ์สิทธิ์ ผู้ใดก็มิอาจเป็นบาทหลวงที่แท้จริงได้ คงต้องพูดว่า ‘จักรพรรดิแห่งเวทมนตร์อาร์คานา’ คือผู้เริ่มต้นยุคทองกว่า 400 ปีแห่งการพัฒนาพลังศักดิ์สิทธิ์และเวทมนตร์ พระองค์คือผู้ที่เปลี่ยนกฎการเป็นผู้ใช้มนตราศักดิ์สิทธิ์’
ในฐานะคนของตระกูลราฟาติ เบนจามินจึงรู้ถึงความเป็นไปของโลกใบนี้มากกว่าบาทหลวงคนอื่นๆ เขาหาได้เป็นคนคลั่งไคล้ศรัทธาศาสนา ความจริงแล้ว การมาจากชนชั้นขุนนางค่อนข้างขัดแย้งกับการที่เบนจามินเป็นคนของศาสนจักร
ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ หลังจาก ‘การประชุมทางศาสนศาสตร์สูงสุด’ เมื่อ 300 กว่าปีที่แล้วจบลง ศาสนจักรก็แบ่งแยกเป็นฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ ต่างฝ่ายต่างกล่าวหาว่าอีกฝ่ายเป็นพวกนอกรีต แต่ถึงแม้ตอนนั้นจะขัดแย้งกัน ก็ไม่มีฝ่ายใดขัดขวางการฉกฉวยผลประโยชน์จากพลังศักดิ์สิทธิ์ ทำให้บิช็อปและพระคาร์ดินัลหลายองค์เริ่มสงสัยในใจว่าพระผู้เป็นเจ้ามีอยู่จริงหรือไม่ หรือว่านี่คือบททดสอบของสาวกทั้งหลาย
ทัศนคติเช่นนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อบาทหลวงรุ่นหลังมาหลายศตวรรษ และนั่นรวมถึงเบนจามินด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อที่จะปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยที่มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว พระสันตะปาปาหลายองค์จึงได้แนะนำองค์ความรู้ส่วนหนึ่งซึ่งได้จากการที่ผู้ใช้อาร์คานาออกไปสำรวจโลกทั้งใบเพื่อเปลี่ยนแปลงพื้นฐานทางศาสนศาสตร์ ศาสนศาสตร์จึงพัฒนาไปอย่างรวดเร็วเช่นกันและมีผู้ใช้มนตราผู้ยิ่งใหญ่ปรากฏขึ้นมากมาย ด้วยเหตุนี้ ศาสนจักรใต้จึงยังคงสามารถรักษาอิทธิพลและพลังอำนาจไว้ได้แม้จะถูกห้อมล้อมไปด้วยศัตรูที่แข็งแกร่งมากมายอย่างคนนอกรีต นักเวททมิฬ และปีศาจร้าย แต่ในขณะเดียวกัน มันยังสร้างความร้าวฉานภายในศาสนจักรใต้ที่ไร้ซึ่งความมั่นคงอยู่แล้วอีกด้วย
เบนจามินผ่อนคลายท่าที กลุ่มควันสีขาวม้วนตัวเข้าไปรวมกันบนฝ่ามือทั้งสองข้างของเขา ก่อนที่เขาจะเอื้อนเอ่ยถ้อยคำแปลกหูออกมา สายลมพลันพัดพาให้หมอกโลหิตสีแดงจางๆ นั้นหายไปจนหมด
จากนั้นเขาก็ชี้นิ้วไปทางแกรี่ โดยไม่ร่ายคาถาหรือพึ่งอุปกรณ์บรรจุเวทมนตร์ใดๆ เพียงเท่านั้น แสงสีขาวก็ส่องกระทบลงบนร่างแกรี่ ผิวเนื้อไหม้เกรียมหลุดร่วงลงมา บาดแผลค่อยๆ ได้รับการรักษาจนพ้นขีดอันตราย ก่อนที่ผิวส่วนนั้นจะกลับคืนเป็นสีผิวเดิม
แต่ละครั้งที่เวทรักษาถูกเรียกใช้หลังจากชะงักเพื่อรวบรวมพลังหนึ่งหรือสองวินาที เบนจามินก็ช่วยชีวิตโคเรลลากับฮาวสันสำเร็จ และรักษาบาดแผลให้ลูเซียนเรียบร้อย
หลังจากสอบถามลูเซียน โคเรลลา ฮาวสัน และแกรี่ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น เบนจามินก็หันไปมองบนโต๊ะเพื่อดูให้แน่ใจว่าพวกเขาไม่ได้โกหก จากนั้นจึงออกคำสั่งว่า “ย้ายทุกอย่างในห้องลับนี้ไปที่ศาสนจักร อืม รวมถึงซากศพหนูพวกนี้ด้วย”
ในขณะเดียวกัน เขาก็รับเหรียญตราคืนมาจากลูเซียน “ตราบาปได้ถูกชำระล้างไปจากเจ้าแล้ว กลับไปพักผ่อนเถิด ขอให้พระผู้เป็นเจ้าอำนวยพร”
แต่เดิมแล้ว หากลูเซียนสามารถทำภารกิจนี้สำเร็จ เบนจามินอยากจะมอบเงินเป็นรางวัลหรืออาจกระทั่งรอดูว่าเด็กหนุ่มคนนี้มีความสามารถพอจะฝึกฝนเพิ่มเติมหรือไม่ ทว่าเหตุการณ์กลับร้ายแรงจนเขาไม่มีอารมณ์จะสนับสนุนลูเซียน และหลังจากตรวจดูให้แน่ใจแล้วว่าลูเซียนไม่ได้ซุกซ่อนอะไรไว้บนตัว เขาก็ถูกส่งตัวกลับไปก่อน อย่างไรเสียตอนนี้โคเรลลากับฮาวสันก็ปลอดภัยดี แต่มือแกรี่ที่หายไปนี่สิปัญหา คาถาที่ทำให้แขนงอกออกมาใหม่นั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาจะเรียนรู้ให้เชี่ยวชาญได้ง่ายๆ
แม้ลูเซียนจะเห็นว่าเบนจามินไม่ได้ฆ่าใครเพื่อปิดปาก เขาก็ไม่คิดอยากอยู่ในนี้ต่อไป เขารีบเดินไปยังทางออก เมื่อออกมาจากท่อน้ำเสีย ลูเซียนที่พลังเพิ่งเพิ่มขึ้นก็ได้ยินสิ่งที่โคเรลลาพูดกับฮาวสัน ซึ่งทำให้เขารู้สึกหนักอึ้งในใจเล็กน้อย “แกรี่สูญเสียมือขวาไปแล้ว เขาคงไม่อาจเป็นอัศวินได้อีกต่อไป”
เมื่อลูเซียนก้าวออกมาจากเส้นทางลับด้วยความรู้สึกมากมายที่ยุ่งเหยิงซับซ้อน ฝูงชนก็พลันกรูเข้ามาห้อมล้อมเขาพร้อมกับคำถามมากมาย
“อีวานส์น้อย เจ้าชำระล้างวิญญาณนั้นไปหรือยัง” อะลิซ่าถามเสียงดังมาแต่ไกล
ลูเซียนพยักหน้า “ขอรับ ลอร์ดเบนจามินและเหล่าอัศวินชำระล้างมันไปแล้ว”
ทุกคนโล่งอก และเริ่มถามคำถามอย่างกระตือรือร้น “ลูเซียน วิญญาณรูปร่างหน้าตาอย่างไรหรือ มันเลวร้ายหรือไม่”
“ลอร์ดเบนจามินสมแล้วที่เป็นบาทหลวงผู้เก่งกล้า”
“ลูเซียนดูเหมือนจะได้รับพรจากพระผู้เป็นเจ้าในครั้งนี้ เขายังใช้เหรียญตราแห่งความจริงได้อีกด้วย!”
“น่าเสียดายจริงๆ ที่ลูเซียนไม่ใช่เด็กแล้ว มิเช่นนั้นเขาก็คงบวชเป็นบาทหลวงได้จริงๆ และกลายเป็นเกียรติภูมิแห่งอาเดรอนของเรา”
เมื่อได้ยินข้อถกเถียงนั้น ลูเซียนจึงถามเสียงเบา “ข้าเป็นบาทหลวงไม่ได้หรือ”
แม้ว่าตัวลูเซียนเองจะไม่เคยคิดอยากเป็นบาทหลวงเพราะเขาคือคนจากอีกโลกหนึ่ง แต่หลังจากได้ลิ้มลองพลังศักดิ์สิทธิ์แสนยอดเยี่ยมเหนือมนุษย์ แล้วต้องมารับรู้ว่าเขาไม่สามารถเดินไปบนเส้นทางนั้นได้ ก็ทำให้เขารู้สึกท้ออย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
“อีวานส์น้อยที่น่าสงสาร ดูหน้าเจ้าสิ เจ้าคงต้องเหนื่อยมากแล้วแน่ๆ รีบกลับไปพักเถอะ” เมื่ออะลิซ่าเห็นว่าลูเซียนมีสีหน้าไม่ค่อยดี นางจึงรีบเอ่ยออกไป
ลูเซียนต้องการเวลาส่วนตัวเพื่อครุ่นคิดจริงๆ เขาจึงพยักหน้าแล้วเดินกลับไปที่กระท่อมตัวเอง นั่งลงตรงขอบเตียงและเงี่ยหูฟังเสียงเบนจามินกับคนอื่นๆ เดินออกมา ฟังเสียงฝูงชนที่มาเฝ้าชมกลับไป ฟังเสียงเงียบสงบยามราตรี แล้วฝังความคิดถึงพ่อแม่ไว้ลึกสุดใจ
‘ฉันเป็นบาทหลวงไม่ได้ และดูเหมือนว่าฉันจะไม่ได้รับการฝึกฝนตอนเด็กๆ และฉันไม่มีหวังจะเป็นอัศวินและกระตุ้นพรในตัวขึ้นเท่าไหร่’
‘ถ้าฉันอยากได้พลังแสนวิเศษนั้นมา ฉันก็ต้องเรียนการใช้เวทมนตร์’
‘แต่เมื่อไหร่ที่ฉันเลือกเวทมนตร์ ฉันก็จะอยู่ฝ่ายตรงข้ามศาสนจักรทันที และเป็นศัตรูกับคนทั่วไปส่วนใหญ่ รวมถึงน้าอะลิซ่าด้วย’
‘ไม่แน่ว่ามันอาจจะมีทางอื่นก็ได้’
‘อย่างไรเสีย บันทึกเวทมนตร์ก็อยู่ในจิตของฉัน ลองอ่านมันดูก่อนแล้วกัน ก็นะ แบบนั้นไม่น่าจะมีปัญหาอะไร’
หลังจากลังเลและต่อสู้กับตัวเองเสร็จ ลูเซียนก็ตัดสินใจลองอ่านบันทึกเวทมนตร์ดูก่อน เขาจึงเข้าไปในห้องสมุดแล้วเปิดหนังสือออกอ่าน
ผ่านไปครู่ใหญ่ เสียงทุ้มต่ำสั่นเครือคล้ายกำลังร้องไห้ของลูเซียนก็ดังขึ้นในห้องเล็กๆ นั้น
“ทำไมถึงอ่านไม่ออกล่ะ”
————————————————