ดวงอาทิตย์ยามเย็นสาดแสงลอดผ่านเมฆสีแดงเข้มลงมากระทบจัตุรัสอาเดรอนอันเงียบงัน ในขณะที่ดวงอาทิตย์ดวงเล็กในมือท่านบิช็อปหรี่แสงลงจนดับไป เขาก็ปล่อยให้มันอยู่ตรงอก แล้วหันกายเดินกลับเข้าไปในโบสถ์
ตรงใจกลางจัตุรัส แม่มดผู้งดงามในชุดสีดำถูดเผาไหม้จนเหลือเพียงเถ้าถ่าน ทว่า เสียงหัวเราะอย่างคลุ้มคลั่งและคำสาปแช่งของนางยังคงลอยวนอยู่ที่นั่น หลายๆ คนตัวสั่นเทาด้วยความกลัวแล้วมองไปรอบกาย จากนั้นพวกเขาก็ตามท่านบิช็อปเข้าไปในโบสถ์แล้วเริ่มสวดภาวนาและสารภาพบาปของตน
ลูเซียนรู้สึกราวกับว่าแสงสว่างแสบตานั้นยังคงส่องแสงอยู่ ณ จัตุรัส เขารู้สึกได้ถึงพลังอำนาจและความศักดิ์สิทธิ์จากแสงนั้น ซย่าเฟิงตกตะลึงเสียจนเขาตัดสินใจในตอนนั้นเลยว่าจะยอมรับตัวตนของลูเซียน เขาจำเป็นต้องฝังอดีตของเขาไว้ในใจให้ลึกสุดหยั่ง ด้วยเกรงว่าผู้คนบนโลกนี้อาจมองว่าเขาเป็นปีศาจร้ายไปด้วย
‘พลังศักดิ์สิทธิ์ช่างทรงอำนาจจริงๆ ฉันจะมีโอกาสได้เรียนไหมนะ’
เขารู้สึกอึ้งทั้งทางกายและใจ ทว่ามันกลับไร้ซึ่งความเลื่อมใสหรือหวาดเกรงเหมือนดั่งที่คนทั่วไปรู้สึก แต่ทันใดนั้น ไหล่ขวาของลูเซียนก็ถูกฝ่ามือหนักๆ ฟาดเข้าใส่จนเขาแทบเสียการทรงตัว
“โอ้ อีวานส์น้อยที่น่าสงสาร ในที่สุดเจ้าก็หายดี ขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าจริงๆ ข้านึกว่าเจ้าจะเป็นเหมือนบิดาเจ้า และจะไม่ฟื้นคืนกลับมาเสียแล้ว ขอบคุณพระเจ้าที่ประทานพรให้คนหนุ่มนิสัยดีอย่างเจ้าได้มีชีวิตอยู่ต่อ”
ลูเซียนถูกกระชากออกมาจากภวังค์ความคิด แล้วเขาก็ได้พบกับหญิงวัยกลางคนที่มีขนาดตัวใหญ่กว่าเขาถึงสองเท่า นางกำลังปาดน้ำตาด้วยความดีใจพลางตบบ่าเขาอย่างต่อเนื่องด้วยฝ่ามือใหญ่ยักษ์ราวกับอุ้งมือหมี
ลูเซียนขยับตัวเล็กน้อยเพื่อหลบเลี่ยงฝ่ามือของนางที่แทบจะทำให้เขาไอออกมาเป็นเลือด เขาอ้าปาก แต่กลับไม่มีคำพูดใดหลุดลอดออกมา นั่นเพราะ ‘ฉันไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ชื่ออะไร ไม่รู้แม้กระทั่งชื่อเต็มๆ ของตัวเองด้วยซ้ำ ดูเหมือนว่าชื่อเต็มๆ ของฉันจะเป็นลูเซียน อีวานส์ หรือเปล่านะ’
หลังจากเฝ้ามองเขายืนนิ่งอยู่กับที่ หญิงคนนั้นก็ยิ่งมีสีหน้าเศร้าเสียใจกว่าเดิม “อีวานส์น้อยที่น่าสงสาร เจ้าคงจะยังป่วยทางจิตอยู่สินะ ดูเจ้าสิ ผอมจนแทบเหลือแต่กระดูกแล้ว…”
ซย่าเฟิงรู้สึกอับอายอย่างยิ่งเพราะเขาไม่ได้รับความทรงจำใดๆ จากลูเซียนเลย และเขาก็กลัวว่าคนอื่นๆ จะรู้ว่าเขาไม่ใช่ลูเซียนตัวจริง หากมองอย่างตรงไปตรงมาแล้วก็ใช่ ตอนนี้ร่างของลูเซียนถูกคนอื่นเข้าครอบงำอยู่จริงๆ
แต่โชคเข้าข้างเขา เมื่อชายวัยกลางคนที่ยืนข้างๆ หญิงวัยกลางคนคนนั้นหยุดนางด้วยคำพูดที่ว่า “อะลิซ่า อย่าเพิ่งคุยกับอีวานส์น้อยเยอะเกินไปสิ เขาเพิ่งฟื้นไข้นะ ตอนนี้เขาคงจะเหนื่อยมาก ไอเวิน ช่วยแม่เจ้าแล้วกลับบ้านเถอะ”
ชายผมบลอนด์ดูค่อนข้างผอมบางและหลังงุ้มเล็กน้อย แต่ลูเซียนก็ยังบอกได้ว่าเขาต้องเป็นผู้ชายหน้าตาดีตอนยังหนุ่มแน่ๆ สำหรับลูเซียนแล้ว ชายผู้นี้เปรียบดั่งเทวดาที่ช่วยเขาจากสถานการณ์ยากลำบาก
“ท่านน้าอะลิซ่า ข้าไม่เป็นอะไร เพียงแต่รู้สึกวิงเวียนเล็กน้อย” ลูเซียนตอบอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้เผยพิรุธใดออกมา
ไอเวิน หรือเด็กชายที่ลากลูเซียนมาดูแม่มดกำลังกอดแขนมารดาตน เขาทำหน้าชวนขำขันแล้วพูดกับมารดา “ข้ารู้ว่าพี่ลูเซียนจะต้องไม่ตาย มีเพียงแม่เท่านั้นที่คิดว่าเขายังเป็นทารกที่ต้องการการดูแลเอาใจใส่อยู่เสมอ”
ท่านน้าอะลิซ่ายังคงปาดน้ำตาป้อยๆ “อีวานส์น้อย ดีเหลือเกินที่ได้เห็นเจ้าดีขึ้นแล้วในตอนนี้ นางสมควรโดนแล้ว นางแม่มดชั่วร้ายนั่น!”
นางพร่ำบ่นต่อไปขณะก้าวเดินโดยมีไอเวินคอยพยุง “ตอนที่นางย้ายมาอยู่ใกล้ๆ บ้านเจ้า นางดูทั้งงดงามและนิสัยดี ข้าถึงกับเคยคิดจะให้นางแต่งกับจอห์นน้อยของข้า ทว่านาง นางกลับเป็นแม่มด! นางพยายามจะขโมยศพที่ฝังอยู่ในสุสานเพื่อทดลองไสยเวทของนาง! นับเป็นโชคดีที่พระผู้เป็นเจ้ายังเมตตาเรา ยามกะกลางคืนจากคณะไต่สวนจับนางได้คาหนังคาเขาตอนกำลังขโมย! ข้านึกไม่ออกเลยว่าจะเป็นอย่างไรหากนางทำสำเร็จ จะต้องมีคนตายกี่คนกันในเขตเรา…”
ขณะตามหลังพวกเขาไป ลูเซียนก็ได้รับรู้เรื่องราวคร่าวๆ จากคำพูดของอะลิซ่า ผู้หญิงคนนั้นถูกยามกะกลางคืนจับได้ ในฐานะเพื่อนบ้านของนาง ลูเซียนจึงถูกนำตัวไปสอบสวนโดยคณะไต่สวนของโบสถ์ พวกเขาคงจะใช้มนตราศักดิ์สิทธิ์บางประการกับเขาซึ่งส่งผลทางจิตใจ ดังนั้นพวกเขาจึงได้รู้ว่าลูเซียนเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็ได้ทำร้ายลูเซียนตัวจริงอย่างร้ายแรง เขาเสียชีวิตหลังจากนั้นและเป็นเหตุให้ซย่าเฟิงเข้าครอบครองร่างกายเขาได้
ชายวัยกลางคนสังเกตเห็นว่าลูเซียนเอาแต่นิ่งเงียบตลอดทาง เขาจึงตบบ่าลูเซียนเบาๆ แล้วปลอบเขาด้วยเสียงทุ้มแผ่ว “อะลิซ่าก็เป็นเช่นนี้ อย่าไปสนนางเลย”
ลูเซียนไม่รู้ว่าต้องตอบอย่างไร แต่ก็พยักหน้ารับ
ชายคนนั้นมองไปทางแผ่นหลังอะลิซ่าแล้วถอนหายใจ “เฮ้ เห็นเช่นนี้แต่เมื่อก่อนอะลิซ่านางเป็นหญิงงามบริสุทธิ์และร่าเริงมากนะ ทว่าหลังจากที่นางคลอดจอห์น นางก็เหมือนถูกปีศาจครอบงำ และเพียงไม่ถึงหนึ่งปีหลังจากที่เราแต่งงานกัน นางก็เริ่มเป็นเช่นนี้”
เขาทอดถอนใจอีกครั้ง ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวเสริมว่า “แต่ข้าไม่ใช่คู่มือสำหรับนางอีกต่อไปแล้ว”
ด้วยเพิ่งทะลุมิติมาและได้รู้เห็นพลังอำนาจของเวทมนตร์บริสุทธิ์ด้วยตาตัวเอง อารมณ์มากมายจึงยังท่วมท้นในตัวลูเซียน เขาเพียงเค้นรอยยิ้มและไม่ตอบอะไร อย่างไรเขาก็ยังไม่ทราบชื่อของชายผู้นี้อยู่ดี
ไม่ทราบอย่างไรอะลิซ่าจึงได้ยินคำบ่นของสามี นางส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างสบประมาท “โจเอล เจ้าน่ะ เคยเป็นกวีขับลำนำที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นร้อนแรงและโรแมนติก ชายหนุ่มผู้มาที่แห่งนี้เพื่อไล่ตามความฝันของเขา ตอนนี้กลับเป็นเพียงขี้เมาเหลือขอเท่านั้น”
โจเอลยิ้มเฝื่อน “อัลโต้คือเมืองแห่งบทสวด คนหนุ่มมากมายนับไม่ถ้วนต่างมารวมตัวกันยังเมืองนี้เพื่อไล่ตามความฝัน ทว่ามีสักกี่คนกันที่ประสบความสำเร็จ ว่าแต่ว่านะ อะลิซ่า ข้าเลิกดื่มตั้งแต่จอห์นเริ่มงานแล้วนะ”
อะลิซ่าหันกลับมามองสามีตน “ขอบคุณพระเจ้า ที่เจ้าก็เข้าใจว่าเราฝากความหวังทั้งหมดไว้กับจอห์นและไอเวิน จอห์นเป็นเด็กดี เขาพยายามอย่างหนักและได้รับเลือกโดยเซอร์เวนน์ให้เป็นอัศวินฝึกหัดของท่าน หากจอห์นสามารถปลุก ‘พร’ ในสายเลือดเขาได้และได้รับแต่งตั้งเป็นอัศวินโดยแกรนด์ดยุก เช่นนั้นบุตรเราก็จะได้เป็นท่านลอร์ด! เป็นขุนนางที่น่าเคารพ!”
โจเอลตัวสั่นเล็กน้อยเมื่อเจอสายตาเข้มงวดของภรรยา แต่ในตอนนั้นเองที่อะลิซ่านึกได้ว่าลูเซียนอยู่ตรงนั้นด้วย “โอ้ น้าขอโทษจ้ะ อีวานส์น้อย น้าไม่ได้ตั้งใจพูดเรื่องนี้ขึ้นมาหรอกนะ เจ้าเองก็เก่งกาจมีพรสวรรค์เช่นเดียวกัน เพียงแต่เจ้าควรจะได้รับการฝึกฝนมากกว่านี้ตั้งแต่เล็กๆ…”
ทว่ายิ่งนางพูด นางก็ยิ่งรู้สึกถึงความเจ็บปวดในใจลูเซียน อะลิซ่าจึงเงียบเสียงแล้วขยิบตาส่งสัญญาณให้โจเอล
โจเอลหัวเราะร่าแล้วตบบ่าลูเซียนอีกครั้ง “เขาไม่เป็นอะไรหรอก ลูเซียนของเราเป็นชายผู้ที่จะสานฝันของข้าต่อและกลายเป็นนักดนตรี!”
ลูเซียนที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวได้แต่ยิ้มแล้วตอบว่า “ใช่ขอรับ ความฝันของข้าคือการได้เป็นนักดนตรี”
เมื่อเห็นว่าลูเซียนหัวเราะได้ อะลิซ่าจึงรู้สึกโล่งอกแล้วพร่ำบ่นต่อไปอีกครั้ง ซึ่งนั่นช่วยให้ลูเซียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับเมืองนี้มากขึ้น
เมืองอัลโต้เป็นเมืองใหญ่และเจริญรุ่งเรือง ตั้งอยู่ใกล้กับเทือกเขาไร้แสง เป็นเมืองที่ได้รับสมยานามว่าเมืองแห่งบทสวดและเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยโอกาสมากมาย
ส่วนที่นี่คือเขตที่ชื่อว่าอาเดรอน ซึ่งเป็นสถานที่ที่รวบรวมกลุ่มคนยากจนที่สุดในเมืองอัลโต้เอาไว้ และดูเหมือนว่าการที่เขาหายหน้าหายตาไปเพราะป่วยไข้ตลอดหลายวันมานี้ ทำให้ลูเซียนสูญเสียงานขนของในตลาดไปแล้ว
สักครู่หลังจากนั้น ทั้งสี่คนก็มาถึงหน้าบ้านลูเซียน
อะลิซ่าเชื้อเชิญลูเซียนให้ไปกินมื้อเย็นด้วยกันแต่เขากลับปฏิเสธอย่างสุภาพนุ่มนวล “ขอบคุณขอรับน้าอะลิซ่า แต่ข้าอยากพักผ่อนอีกสักหน่อย”
ก่อนที่พวกเขาจะจากกัน ไอเวินน้อยก็ขยับเข้ามาหาลูเซียนแล้วถามด้วยความสงสัย “พี่ลูเซียน พี่ไปตัดสินใจตอนไหนว่าอยากจะเป็นนักดนตรีน่ะ พี่ไม่เห็นเคยบอกข้าเรื่องนี้มาก่อนเลย”
“เมื่อกี้นี้แหละ” ลูเซียนตอบหน้านิ่ง
ไอเวินอ้าปากลากเสียงร้องโอ้ยาวๆ อย่างแผ่วเบา
หลังจากเข้ามาในกระท่อม ลูเซียนก็ล็อกประตูจากด้านใน เขาทรุดตัวนั่งลงโดยไม่รู้ตัวแล้วฝังใบหน้าลงกับข้อศอกทั้งสองข้าง
“ฉันทะลุมาอีกโลกหนึ่งจริงๆ!”
“โลกบ้าบอที่เวทมนตร์มีอยู่จริง!”
“ในโลกนี้ พวกเขาจะเผาคนทั้งเป็นบนตะแลงแกง!”
อารมณ์ทั้งหลายจากการเห็นชะตากรรมของแม่มดคนนั้นพลันระเบิดออกมาเมื่อไม่มีใครอยู่ด้วย เขาทั้งช็อก ประหลาดใจ และหวาดกลัว
ซย่าเฟิงเป็นคนที่ค่อนข้างขี้อายและไม่ค่อยมีประสบการณ์อะไรจริงๆ จังๆ บนโลกตัวเอง ก่อนหน้านี้ เขามักจะตื่นตกใจเวลาเผชิญหน้ากับสถานการณ์ยากลำบาก ทว่าครั้งนี้ แม้แต่ตัวซย่าเฟิงเองยังประหลาดใจที่เห็นว่าเขาสามารถสงบอาการไว้ได้จนถึงบัดนี้
อย่างที่กล่าวกันว่า อุปสรรคทำให้คนแข็งแกร่งขึ้น
เวลาผันผ่านและยามราตรีก็มาเยือน ในที่สุดลูเซียนก็ปลอบใจตัวเองให้สงบลงได้แล้ว ในเมื่อเขาตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้ ณ ช่วงเวลานี้ ตอนนี้เขาก็ควรจะไม่ตื่นตระหนก กังวล หรือหวาดกลัวอะไรทั้งสิ้น เขาควรจะวางแผนอย่างรอบคอบสำหรับอนาคต ถ้าเขาตายอีกครั้งแล้วล่ะก็ เขาค่อนข้างมั่นใจว่าเขาคงจะจากไปตลอดกาล
เขาหยุดตัวเองจากการวิตกกังวลถึงพ่อแม่และเพื่อนๆ แต่ตอนที่เขากำลังจะคิดวางแผนว่าควรทำอะไรต่อไป ความหิวก็ทำให้เขาชะงัก ในท้องเขารู้สึกเหมือนมีกองไฟลุกโชนอยู่ และน้ำลายก็ผลิตออกมาไม่หยุด
ลูเซียนกลืนน้ำลายหลายครั้งและจะตัดสินใจว่าควรทำให้ท้องอิ่มก่อนเป็นอันดับแรก เขาจึงเดินตรงไปยังลังไม้ที่มีอยู่เพียงอันเดียวในบ้าน
ภายในลังไม้เก่าๆ นอกเหนือจากเสื้อผ้าเก่าคร่ำคร่าแล้วก็มีก้อนดำๆ ทรงขนมปังกับเหรียญทองแดงอีกเจ็ดเหรียญ
ความหิวเข้าครอบงำสมองเขา และเขาก็ไม่เหลือแรงจะคิดถึงเรื่องอื่นอีกต่อไปแล้ว ลูเซียนจึงรีบคว้าก้อนขนมปังดำๆ ขึ้นมากัด
เกิดเสียงดังกรึก ลูเซียนรีบยกมือขึ้นปิดปาก รู้สึกเหมือนฟันแทบหัก ‘อะไรวะเนี่ย นี่มันขนมปังหรือไม้กระบองกันแน่’
ลูเซียนต้องใช้เวลาครู่ใหญ่ทีเดียวในการตรวจสอบให้แน่ใจว่าสิ่งที่ถืออยู่นี้คือขนมปังจริงๆ ซึ่งมันแข็งมากพอจะตีผู้ใหญ่สักคนสลบได้เลย
ลูเซียนข่มความหิว แล้วหันไปหาหินไฟจากในลังไม้ หลังจากล้มเหลวอยู่หลายครา ฟืนในเตาก็ติดไฟในที่สุด จากนั้นเขาก็เริ่มอบขนมปัง
“หมูผัดซอสแดง ปีกไก่ผัดเผ็ด เนื้ออบ ไก่ผัดซอส…” เขาพึมพำขณะจ้องมองขนมปังที่เริ่มอุ่น และน้ำลายเขาก็ยังคงไม่หลุดไหลเยิ้ม
เมื่อขนมปังเริ่มนิ่มขึ้นเล็กน้อย ลูเซียนก็ไม่อาจหยุดตัวเองไม่ให้รีบร้อนกัดกินได้ มันเหมือนกับเขากำลังเคี้ยวเศษไม้
แต่นั่นคือทั้งหมดที่ลูเซียนมี เขากล้ำกลืนกินขนมปังจนหมดพร้อมกับคร่ำครวญในใจว่า ‘ฉันยอมตายดีกว่าต้องมากินสิ่งนี้ทุกวัน ฉันต้องหาเงินมาเพิ่ม ฉันไม่อยากจะใช้ชีวิตแบบนี้’
‘ถ้าฉันได้เรียนการใช้พลังศักดิ์สิทธิ์นั่น แล้วกลายเป็นบิช็อปกับบาทหลวง…’ ในห้วงความคิด ลูเซียนจำบิช็อปกับบาทหลวงในชุดคลุมแสนประณีตที่ยืนอยู่หน้าโบสถ์ได้ พวกเขาดูสูงส่งด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์แสนยอดเยี่ยมจนเขาอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นสะท้าน “ไม่ได้สิ คนอย่างฉันถ้าเข้าไปในโบสถ์ ก็เหมือนกับการเดินไปขอให้พวกเขาเผาฉันให้เหลือแต่เถ้าถ่านน่ะสิ ฉันไม่รู้ว่าจะมีวิธีอื่นที่จะได้พลังเหนือมนุษย์มาหรือเปล่า อย่างเช่น พร อะไรนั่น’
‘ถ้าฉันไม่ได้รับพลังประเภทนั้นมา ความรู้ที่ฉันเรียนมาจากโลกก่อนจะมีประโยชน์หรือเปล่านะ’
ขณะยัดขนมปังเข้าปาก ลูเซียนก็เริ่มคิดถึงวิธีการหาเงิน แต่เมื่อเขาเริ่มทบทวนความรู้ที่เขาได้ร่ำเรียนมาจากมหาวิทยาลัย เขากลับพบบางสิ่งบางอย่างที่น่าพิศวงปรากฏขึ้นในสมอง
หลังจากสำรวจอย่างถี่ถ้วน ลูเซียนก็เบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ ‘พวกนี้มัน…มันคือหนังสือจากห้องสมุดนี่นา พวกมันมาที่นี่กับฉันงั้นเหรอ’
หนังสือทุกเล่มที่เก็บอยู่ในห้องสมุดกลับปรากฏขึ้นในห้วงความคิดของเขา แทนที่จะอธิบายพวกมันในรูปแบบความทรงจำ หรือพูดให้ถูกคือ ความรู้ของลูเซียน พวกมันกลับเหมือนภาพฉายหรือภาพจำลองที่คัดแยกไปตามแต่ละประเภท พร้อมให้ลูเซียนนำไปอ่านได้ทุกเมื่อ
ลูเซียนพยายามจะอ่านพวกมันด้วยความสงสัยใคร่รู้อย่างยิ่ง แต่ลูเซียนก็ได้พบว่าเขาไม่อาจเปิดหนังสือส่วนใหญ่ได้ พวกมันถูกล็อกไว้
————————————————