ในเวลาเดียวกัน บนถนนอีกเส้นหนึ่ง ขบวนรถของตระกูลจูก็ถูกขวางไว้
คนที่ขวางพวกเขาไว้คือฉางเชี่ยวในชุดขาว
ฉางเชี่ยวไม่ได้ใช้รถบรรทุกขวาง แต่โจมตีโดยตรง
ตอนที่เขาได้รับโทรศัพท์จากไป๋ยี่เฟยเขาก็อยู่ที่เมืองหลวงแล้ว ไป๋ยี่เฟยบอกมีเรื่องให้เขาไปจัดการ จากนั้นก็เล่าแผนการของตัวเองให้เขาฟัง
ตอนนั้นเขาตอบไปประโยคเดียว “จะพยายามถึงที่สุด แต่ถ้าไม่ไหว ก็จะไม่สู้ต่อ”
“แน่นอน เอาความปลอดภัยไว้ก่อน” ไป๋ยี่เฟยยิ้มพูด “ฉันไม่อยากช่วยหนิววั่งแก้แค้นเสร็จ ก็ต้องไปช่วยนายแก้แค้น”
ฉางเชี่ยวเลือกหนึ่งในสิบตระกูล ที่ค่อนข้างมีฝีมืออย่างตระกูลจู
ตอนนี้เขากำลังสู้กับยอดฝีมือระดับที่สามสองคน
……
ฉะนั้นตระกูลหูกับตระกูลจูก็ข่มขู่อะไรไป๋ยี่เฟยไม่ได้
ตระกูลที่ข่มขู่เขาได้จริงก็คือตระกูลฉุงแห่งสี่ตระกูลใหญ่
เพราะว่าฉุงโยวเวยถูกไป๋ยี่เฟยฆ่า ดังนั้น โอกาสดีแบบนี้ พวกเขาจะพลาดไปได้ยังไง
ส่วนตระกูลฉุง ยังมียอดฝีมือระดับที่สองอีกหนึ่งคน
ตอนนี้พวกเขาก็ถูกขวางทาง
รถของท่านฉุงสามเพิ่งออกมาก็ถูกรถBentleyขวางทางไว้
มีคนลงจากรถมาสองคน คือท่านหลินรองหลินยู่ชังและฉินซาน
ท่านฉุงสามก็ลงจากรถ มองไปที่หลินยู่ชัง “ท่านหลินรอง ท่านอยากเป็นศัตรูกับตระกูลฉุงเพื่อไอ้ลูกนอกสมรสคนเดียวเหรอ?”
“ไม่อยาก” หลินยู่ชังส่ายหัว
ท่านฉุงสามพูดเสียงเย็นชา “ถ้าอย่างนั้นยังไม่หลบอีก”
หลินยู่ชังส่ายหน้า “ไม่ได้ ลูกชายฉันยังอยู่บ้านตระกูลซุน”
“ไอ้บ้าเอ้ยลูกชายฉันตายไปแล้ว” ท่านฉุงสามตะโกนอย่างโมโห
หลินยู่ชังก็แค่กลัวเรื่องใหญ่โตแล้ว จะทำให้ลูกชายเขาหลินขวางได้รับบาดเจ็บ จุดนี้ท่านฉุงสามก็เข้าใจ
แต่ว่า เขาจะปล่อยคนที่ฆ่าลูกชายเขาไปได้ยังไง? รวมทั้งทุกตระกูลในเมืองหลวงก็จะไปฆ่าเขาด้วย แล้วทำไมเขาต้องหดหัว?
ไม่เพียงเท่านั้น ครั้งนี้จะได้ฆ่าไป๋ยี่เฟยอย่างโจ่งแจ้ง
แต่แล้วหลินยู่ชังก็พูดเสียงเรียบ “แต่ลูกชายผมยังอยู่ที่นั่น”
หมายความว่า ลูกชายคุณตายไปแล้ว แต่ลูกชายผมยังมีชีวิตอยู่ ก็จะให้ลูกผมเป็นอะไรไม่ได้
“แก” ท่านฉุงสามโมโห แต่ก็ต้องทน เพราะว่าหลินยู่ชังเป็นเพื่อนบ้าน สี่ตระกูลใหญ่ต้องเท่าเทียมกัน ไม่มีใครกล้าหักหน้ากัน
ทนไปสักพัก ท่านฉุงสามก็สูดหายใจเข้าแรงๆ แล้วค่อยๆคลายออก จากนั้นก็พูดว่า “วางใจได้ ผมจะให้คนของผมระวัง ไม่ทำให้ลูกชายคุณได้รับบาดเจ็บ”
“ระวัง?” หลินยู่ชังส่ายหัว “แล้วถ้าไม่ระวังละ?”
“ผมจะให้ลูกชายผมอยู่ในอันตรายไม่ได้ ถึงจะมีความเสี่ยงเพียงน้อยนิดก็ไม่ได้”
ท่านฉุงสามจะทนไม่ไหวแล้ว ตะโกนพูด “ถ้าอย่างนั้นก็โทษลูกชายคุณไปเป็นเพื่อนกับคนแบบนั้นเอง”
หลังจากพูดจบ เขาก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ จากนั้นก็สูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อให้ตัวเองตั้งสติ “ท่านหลินรอง คืนนี้คนที่ไปฆ่าไป๋ยี่เฟยไม่น้อย ทำไมคุณถึงมาขวางผม?”
“เพราะแรงอาฆาตของคุณแรงที่สุด” หลินยู่ชังถอนหายใจ อย่างเอือมระอา
ท่านฉุงสามพูดจากใจ “เต้าจ่างแรงอาฆาตหนักยิ่งกว่า”
หลินยู่ชังยิ่งรู้สึกเอือมระอา “ผมขวางเขาไม่ได้”
ดังนั้นจึงมาขวางคุณ
ท่านหลินฉุงโมโหจนอยากกระอักเลือด เห็นเขารังแกง่ายหรือไง?
“ท่านหลินรอง นึกว่าจะขวางผมได้เหรอ?” ท่านฉุงสามพูดอย่างโมโห เขาก็ไม่ได้รังแกง่ายขนาดนี้
หลินยู่ชังพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ลองดูก็รู้”
ท่านฉุงสามถามอย่างเย็นชา “รู้จักจางหงไหม?”
“รู้จัก” หลินยู่ชังพยักหน้า “บอดี้การ์ดคุณ ยอดฝีมือระดับที่สอง ฝีมือรองจากเต้าจ่าง ประมาณเดียวกับจิงหลัว”
ท่านฉุงสามหัวเราะ “ถ้ารู้จัก ถ้าอย่างนั้นคุณนึกว่าลำพังคุณสองคนจะขวางผมได้?”
หลินยู่ชังกลับส่ายหัวพูด “ไม่ใช่สองคน คือหนึ่งคน”
พูดจบก็ชี้ฉินซานที่อยู่ข้างหลังตัวเอง
ท่านฉุงสามได้ยินก็หัวเราะเย็นชา แล้วมองไปที่ฉินซาน พูดอย่างไม่ดูถูก “แค่เขา?”
พูดคำนี้จบ ชายคนหนึ่งอายุสี่สิบกว่าก็เดินออกมา ผู้ชายสูงมาก สูงประมาณร้อยแปดสิบ หุ่นพอดี หน้าตาทั่วไป แต่ดูแขนที่ค่อนข้างยาว ก็รู้สึกแปลก
เขาเดินมายืนข้างท่านฉุงสาม มองฉินซานอย่างดูถูก เสียงต่ำมาก “นายไม่ใช่คู่แข่งฉัน ถ้าไม่อยากตายก็หลบไป”
ตั้งแต่ลงรถ ฉินซานก็พิงอยู่ข้างรถBentley ท่าทางเหมือนนักเลง แต่เมื่อเขาได้ยินคำพูดนี้ของจางหงแล้ว ก็หันไปมอง แล้วยืนตรง จากนั้นก็เดินไปทางจางหง
จางหงเห็นแล้วก็ขมวดคิ้ว ท่าทางนักเลงแบบนี้ มองแล้วก็ทำให้คนรู้สึกไม่พอใจ
“ไอ้บ้าเอ้ย”
ฉินซานยกขาขึ้นก็ถีบไปทันที
จางหงเห็นแล้วก็ทำเสียงเย็นชา กำลังจะลงมือ ขวางขาของเขา แต่ว่า……
“ปัง”
จางหงถูกฉินซานถีบจนกระเด็น อย่างน้อยก็ประมาณเจ็ดแปดเมตร
คนที่เห็นภาพนี้ต่างก็ตะลึงตาค้าง
จางหงยังไม่ทันลุกขึ้น ฉินซานเร็วมาก มาถึงข้างหน้าเขา ไม่พูดสักคำ นั่งลงบนตัวเขา ชกลงไปที่หัวของจางหง
“กูนี่เกลียดท่าทางนักเลงปากดีอย่างมึงที่สุด”
“ยังมาทำท่าทางแบบนี้ต่อหน้ากูอีก”
“ยังบอกว่าไม่อยากตายก็หลบไป แม่มึงเอ้ยแน่จริงเอากูให้ตายซิ”
“ดูว่ากูทำมึงให้ตายแน่”
“ปังปังปัง……”
ฉินซานต่อยไม่หยุด ต่อยยอดฝีมือระดับที่สองคนนี้จนจำพ่อจำแม่ไม่ได้
ยังดีที่หลินยู่ชังพูดออกมาคำหนึ่ง “พอประมาณก็พอแล้ว”
ฉินซานถึงได้ลุกขึ้น จากนั้น “ถุย”
ถุยน้ำลายลงบนตัวจางหง จากนั้นก็เดินกลับไปที่รถBentley อย่างช้าๆ พิงอยู่ข้างรถ ท่าทางยังนักเลงเหมือนเดิม เหมือนกับเขาไม่เคยขยับตัวเลย
ท่านฉุงสามมองไปที่จางหงที่ถูกซ้อมเหมือนหัวหมู ก็กลืนน้ำลายด้วยสัญชาตญาณ ไอ้บ้านี่มันโรคจิตจากไหน?
จางหงเป็นถึงยอดฝีมือระดับสอง ถึงจะราคาถูก แต่ก็คือระดับสอง ยังไงก็ต่างกับระดับสาม
เต้าจ่างเป็นระดับสองราคาแพง วิชาการต่อสู้คืออันดับหนึ่งในเมืองหลวง แต่เขาสู้กับจางหง ก็ยังไม่ถึงขั้นที่จางหงรับมือไม่ได้ขนาดนี้
หลินยู่ชังถอนหายใจ พูดอย่างจริงจัง “ท่านสาม กลับไปเถอะ เรื่องบางเรื่องมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น อีกหน่อยคุณจะเข้าใจเอง ผมขวางคุณไว้ก็เพื่อหวังดีกับคุณ”
ท่านฉุงสามสีหน้า หดหู่ “ผมยังมีทางเลือดเหรอ?”
……
ตระกูลเย่ ท่านเย่สี่เย่เจี่ยเจอคนคนหนึ่งหน้าประตู
เย่เจี่ยเห็นแล้วอึ้งไปนิดแล้วก็ยื่นมือยิ้ม “แขกพิเศษจริงๆ แขกพิเศษ”
ไป๋หยุนเผิงก็ยื่นมือ จับมือกับเย่เจี่ย จากนั้นมือที่ข้างหนึ่งที่ถือเหล้าหลูโจว ยิ้มและพูดว่า “ขวดนี้สะสมมานานหลายปี จนเกือบลืมแล้ว วันนี้กุ้ยเซียงเตือนผมถึงนึกขึ้นมาได้”
“ไปเถอะ พวกเราไปดื่มสักสองแก้ว”
เย่เจี่ยถึงแม้หน้าจะยิ้ม แต่คำพูดไม่ค่อยเป็นมิตรนัก “เจ้าบ้านไป๋มาหาผมตอนนี้ เกรงว่าคงไม่ใช่แค่กินเหล้าหรอกมั้ง?”
“แค่ดื่มเหล้าจริง” ไป๋หยุนเผิงยิ้มพูด
พูดจบแล้วก็เดินเข้าบ้านตระกูลเย่ก่อน
จากนั้นก็มีชายหัวล้านคนหนึ่งเดินมาข้างเย่เจี่ย พูดกระซิบ “ท่านสี่ นี่มัน……”
เย่เจี่ยส่ายหัวยิ้ม “ช่างเถอะ พ่อเขามาหาถึงบ้านแล้ว ฉันก็ไปดื่มด้วยสักสองแก้ว”