บทที่ 683 ถูกฉันไล่ออกแล้ว
ที่หนิววั่งไปเมืองหลวงก็แค่คิดที่จะช่วยชีวิตลูกชายของตัวเองเท่านั้น
แต่หนิววั่งเป็นหมอธรรมดาๆคนหนึ่งที่ทำเป็นแค่การผ่าตัดเท่านั้น จะไปช่วยลูกได้ยังไง? จะช่วยลูกชายจากเงื้อมมือของเต้าจ่างที่แข็งแกร่งได้ยังไง?
หรือพูดได้ว่า จริงๆแล้วเขาแค่ไปหาที่ตายเท่านั้น?
หลินขวางมองไป๋ยี่เฟยพร้อมกับถามขึ้น“พี่ไป๋ คุณรู้จักคนคนนี้ไหม?”
ไป๋ยี่เฟยสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วก็ถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วงหนึ่งที จากนั้นก็พูดขึ้นอย่างนิ่งๆ“เป็นลูกน้องของฉันเอง แต่ไม่กี่วันก่อนทรยศหักหลังฉัน จึงถูกฉันไล่ออกไปแล้ว”
หลินขวางได้ฟังแบบนั้นก็วางใจลงได้นิดหน่อย“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว ในเมื่อเป็นคนทรยศ ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องไปสนใจ”
พูดจบเขาก็พูดขึ้นอย่างไม่วางใจ“ซุนหมิงเจี้ยนเป็นคนที่เข้าข้างคนของตัวเองสุดๆ แล้วก็ไม่ได้รับมือง่ายๆด้วย อีกอย่างว่ากันว่ายังเป็นผู้ปกป้องที่ซื่อสัตย์ของเต้าจ่างอีกด้วย มีเต้าจ่างคอยหนุนหลังอยู่ นอกจากสี่ตระกูลยักษ์ใหญ่แล้ว ในเมืองหลวงก็ไม่มีใครกล้าไปยุแหย่พวกเขาเลยสักคน”
ไป๋ยี่เฟยพยักหน้าอย่างนิ่งเงียบ
สุดท้ายหลินขวางก็พาพวกเขาส่งกลับมายังเมืองเทียนเป่ยอย่างปลอดภัย จากนั้นก็บอกลาไป๋ยี่เฟยก่อนจะจากไป
ช่วงสองสามวันมานี้ เมืองเทียนเป่ยไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น
มีเพียงแค่เรื่องเดียวนั่นก็คือ สวีลั่งฟื้นขึ้นมาแล้ว แต่ยังพูดแล้วก็ขยับไม่ได้ เหมือนกับเจ้าชายนิทรา มันทำให้ไป๋ยี่เฟยรู้สึกเศร้าโศกอยู่ภายในใจไม่น้อย
หลังจากที่พาพวกหลี่เสว่ส่งกลับบ้านแล้ว ไป๋ยี่เฟยก็ไปโรงพยาบาล
คนที่คอยดูแลสวีลั่งมาโดยตลอดช่วยสองสามวันนี้ก็คือหยางเฉียวกับฉีฉี
ไป๋ยี่เฟยเข้าไปในห้องผู้ป่วย หยางเฉียวก็ยิ้มให้เขาเล็กน้อย พยักหน้าทักทาย แต่ฉีฉีทำเหมือนกับไม่เห็นเขา
ไป๋ยี่เฟยก็ไม่สนใจอะไร เดินตรงไปยังเตียง มองสวีลั่งอย่างเงียบสงบ
สวีลั่งนอนอยู่บนเตียงอย่างไม่ขยับเขยื้อน สองตาลืมขึ้นเล็กน้อย เหมือนกับว่ายังไม่ได้สติ แต่หลังจากที่เห็นไป๋ยี่เฟย
เขาก็ได้สติกลับมาเล็กน้อย ก่อนจะหลับตาอีกครั้ง
ไป๋ยี่เฟยเห็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสัยอยู่ในใจ แล้วก็รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย
จากนั้น ไป๋ยี่เฟยก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เดินออกไปจากห้องผู้ป่วย ไปหาหมอผู้รักษาหลักของสวีลั่ง
หมอผู้รักษาหลักบอกว่า“พอเขาฟื้นแล้ว หลังจากผ่านการตรวจไปหนึ่งรอบ สมองไม่มีปัญหาอะไร แต่เขาไม่ยอมเปิดปากพูดคุย ในส่วนนี้ตอนนี้ยังตรวจหาสาเหตุไม่ได้”
สาเหตุว่าทำไมสวีลั่งไม่ยอมเปิดปากพูด จริงๆแล้วไป๋ยี่เฟยก็เดาได้แล้ว
ตอนที่ฟ้าใกล้จะมืดลง เขาจึงขับรถกลับบ้าน
แต่พอขับรถมาถึงตรงประตูทางเข้าบ้านแล้ว หลังจากที่ดับเครื่องยนต์ก็ไม่ได้ลงจากรถ
สิ่งรอบข้างเงียบสงบมาก สิ่งแวดล้อมแบบนี้ง่ายต่อการที่คนจะคิดอะไรต่ออะไรได้มากมาย
ไป๋ยี่เฟยนึกถึงเมื่อก่อนสมัยที่ตัวเองเป็นคนจนๆคนหนึ่ง จากนั้นก็เหมือนมีโชคหล่นทับ มีทั้งเงินทองและอำนาจ ต่อมา พอมาเดินในเส้นทางนี้ ก็มีพี่ๆน้องๆมากมาย แล้วก็สูญเสียคนและสิ่งของไปไม่น้อย
ฉินหัวกลายเป็นเจ้าชายนิทราไปโดยสมบูรณ์แล้ว ส่วนหนิววั่งก็ทรยศตัวเอง ไหนจะสวีลั่ง ที่ตอนนี้บาดเจ็บสาหัสนอนอยู่บนเตียงไม่ยอมลุกขึ้นมา ถึงขนาดที่ไม่ยอมแม้แต่จะเปิดปากพูดจา
คนพวกนี้ ล้วนแต่เป็นคนที่อยู่กับเขามาตั้งแต่แรก
เวลาต่อมา จู่ๆก็มีภาพของหนิววั่งที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือดผุดขึ้นมาในหัว เขาหวนนึกถึงตอนที่เพิ่งจะรู้จักกับหนิววั่ง ภาพในอดีตไหลผ่านเข้ามาในหัวทีละภาพๆ
คิดถึงเรื่องของหนิววั่งแล้ว ถ้าไม่ใช้เพราะว่าไปช่วยลูกชายของเขา หนิววั่งจะยอมทรยศไป๋ยี่เฟย? แล้วการที่ต้องทรยศไป๋ยี่เฟย ในใจของหนิววั่งก็กล้ำกลืนฝืนทนอยู่ไม่ใช่น้อย
พอคิดถึงเรื่องพวกนี้ จู่ๆอารมณ์ความรู้สึกของไป๋ยี่เฟยก็จมดิ่งลง เขาเสียใจมากๆ อยากที่จะร้องออกมา
ไป๋ยี่เฟยหยิบบุหรี่ขึ้นมาหนึ่งมวน จุดไฟ สูดเข้าไปลึกๆ นั่งพิงเบาะเก้าอี้ ในใจถามกลับตัวเอง“ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้? ปัญหามันมาจากไหนกันแน่?”
จากมุมมองของเขาแล้ว ไม่ว่าด้วยสาเหตุอะไร ยังไงหนิววั่งก็ทรยศเขาไปแล้ว
ตอนนี้เขาไม่ไปช่วยชีวิตหนิววั่ง ก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้ผิดอะไรมากมาย
แต่ว่า เขารู้สึกใจไม่สงบ
สองปีมานี้ หนิววั่งก็ช่วยเหลือเขาอยู่ไม่น้อย หนิววั่งมองว่าเขาเป็นน้องชายมาโดยตลอด แล้วเขาจะไม่มองว่าสวีลั่งเป็นพี่ชายได้ยังไง?
สภาพที่เขาถูกคนทรมานสภาพนั้น จะไม่ไปช่วยเขาจริงๆเหรอ?
ไป๋ยี่เฟยเริ่มรู้สึกลังเล แล้วก็เริ่มรู้สึกเสียใจ
เขาไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง?
……
ตรงประตูทางเข้าบ้าน มีคนคนหนึ่งปรากฏขึ้นมา เธอคือหลี่เสว่ ไป๋ยี่เฟยไม่ได้สังเกตเห็นเธอ
แต่หลี่เสว่กลับเห็นไป๋ยี่เฟยที่นั่งอยู่ในรถ เห็นไป๋ยี่เฟยที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความสับสนและทุกข์ทรมาน
หลี่เสว่กัดริมฝีปาก เธอรู้ดีว่าที่เขาสามารถทำให้เฟยเสว่กรุ๊ปโตมาถึงขนาดนี้ได้ แล้วก็สามารถทำให้คนมากมายยอมติดตามเขาในเวลาอันสั้นขนาดนี้ได้ เบื้องลึกเบื้องหลังนั้นจะต้องเต็มไปด้วยน้ำพักน้ำแรงที่คนอื่นยากจะจินตนาการได้แน่นอน
แต่แม้ว่าจะเป็นแบบนี้ ไป๋ยี่เฟยก็ไม่เคยแสดงความทุกข์ยากลำบากออกมาต่อหน้าเธอเลย แล้วเขาก็ไม่เคยบอกเลยว่าเขาทุ่มเทไปมากมายขนาดไหน แถมบางครั้งเธอก็ชอบระเบิดอารมณ์ใส่เขา เขาก็มักจะปลอบเธอด้วยใจที่อดทนอดกลั้น
จนถึงตอนนี้ เธอเพิ่งจะเห็นท่าทางที่ทุกข์ทรมานของเขาขนาดนี้ หลี่เสว่ก็รู้สึกเจ็บปวดหัวใจสุดๆ
หลี่เฉียงตงออกไปทำงานมาทั้งวัน ตอนที่กลับมาก็ทิ้งตัวนอนลงบนโซฟา หลิวจื่อหยุนก็เริ่มพูดบ่นเขา“งานบ้านฉันเป็นคนทำเองทั้งหมด คุณเป็นผู้ชายแท้ๆแต่ไม่ทำอะไรสักอย่าง กลับมาก็เอาแต่นอนบนโซฟา ไม่รู้จักมาช่วยฉันบ้างเลย……”
แล้วตามมาด้วยเสียงบ่นอีกมากมาย เธอฟังมาจนชินตั้งแต่เด็กๆแล้ว
ในตอนนั้นเธอรู้สึกว่า แม่พูดถูก แม่ลำบากมากๆ และพ่อไม่ควรทำแบบนั้นจริงๆ
แต่ตอนนี้ หลังจากเธอเห็นไป๋ยี่เฟยที่ทุกข์ทรมานแบบนี้แล้ว ก็เข้าใจขึ้นมาทันที
ปกติแล้วคนจะคิดถึงความรู้สึกของตัวเองก่อน เพิกเฉยต่อความรู้สึกของคนอื่น พูดง่ายๆก็คือ คนทุกคนก็ล้วนแต่เห็นแก่ตัวกันทั้งนั้น
ไม่ว่าคุณจะเป็นพนักงานธรรมดาๆคนหนึ่ง หรือว่าเป็นเถ้าแก่เจ้าของบริษัท เวลาทำงานก็ล้วนแต่ใช้หยาดเหงื่อและแรงกายของตัวเองกันทั้งนั้น
ตอนที่เจอกับเรื่องที่ไม่ได้ดั่งใจ เจอความยากลำบากอีกมากมายขนาดไหน ก็ล้วนแต่ต้องจัดการกับพวกมันให้หมดก่อนที่จะกลับมาที่บ้าน จัดการกับอารมณ์ตัวเอง ไม่ใช่ว่ากลับมาบ้านแล้วจะเอาอารมณ์ความรู้สึกเหล่านั้นมาระบายที่บ้าน
นี่เป็นสิ่งที่ผู้ชายคนหนึ่งควรจะมี
หลี่เสว่มองไป๋ยี่เฟย น้ำตาก็แอบไหลออกมาอย่างเงียบๆ
เธอไม่ได้เข้าไปปลอบเขา แต่แอบมองอยู่ห่างๆ จากนั้นก็หันกลับเข้าไปในบ้านอย่างเงียบๆ
เธอรู้ดี นี่เป็นหน้าตาและศักดิ์ศรีของลูกผู้ชาย
……
หลังจากผ่านไปยี่สิบนาที ไป๋ยี่เฟยก็กลับมา
ไป๋ยี่เฟยสีหน้าไม่เห็นความทุกข์ทรมานและเศร้าโศกใดๆแล้ว ถึงขนาดที่ใบหน้าของเขากลับยิ้มแย้มด้วยซ้ำ เขาเดินมาอยู่ข้างๆหลี่เสว่ จูบลงที่หน้าผากของเธออย่างอ่อนโยน
หลี่เสว่ก็แสร้งทำเป็นไม่ได้เห็นอะไรมาก่อนหน้านี้ พูดถามเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม“หิวแล้วยังคะ?”
ไป๋ยี่เฟยพยักหน้า“หิวแล้วครับ”
หลี่เสว่จึงพูดขึ้น“ถ้าอย่างนั้นคุณไปอาบน้ำก่อน เดี๋ยวฉันจะไปทำหมี่ให้คุณกิน”
ไป๋ยี่เฟยกอดหลี่เสว่ไม่ขยับไปไหน พร้อมกับพูดขึ้น“คุณภรรยา อาบด้วยกันสิ!”
“ฝันไปเถอะ!”หลี่เสว่ผลักไป๋ยี่เฟยออกไป แล้วหันเข้าไปในครัว
พอไป๋ยี่เฟยเข้าไปในห้องน้ำแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่เสว่ก็ค่อยๆนิ่งเฉยลง แล้วขมวดคิ้ว
……
ไป๋ยี่เฟยอาบน้ำเสร็จ ก็กินหมี่ในถ้วยไปคำใหญ่คำโต จากนั้นก็ทำเสียงแจ๊บๆปาก“หมี่ที่คุณภรรยาทำอร่อยจริงๆ!”
ในตอนนี้หลี่เสว่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม มองเขากินหมี่จนหมด พอได้ยินแบบนี้ กลับยิ้มแค่เล็กน้อย จากนั้นก็มองเขาพร้อมกับพูดขึ้น“คุณสามี คุณมีสิ่งที่อยู่ในใจเยอะเกินไปแล้วนะคะ”
ไป๋ยี่เฟยชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็พูดยิ้มๆ“หืม? สิ่งที่อยู่ในท้องยังไม่เยอะเลย ยังอยากจะกินอีกอยู่เลย”
หลี่เสว่มองเขาพลางพูดเสียงเบาๆ“คุณสามี ทำตามที่ใจตัวเองต้องการเถอะค่ะ”
ไป๋ยี่เฟยก้มหน้า หมี่ที่อยากจะกินในตอนแรก กลับเหมือนกับกินไม่หมดอย่างไรอย่างนั้น เขายกถ้วยขึ้นมา พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอึดอัด“อร่อยจริงๆ อยากจะเลียถ้วยให้เกลี้ยงเลย”
พอเห็นไป๋ยี่เฟยเป็นแบบนี้ หลี่เสว่ก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดใจขึ้นไปอีก ดังนั้นจึงพูดขึ้นเบาๆ“คุณสามี ฉันรู้จักคุณดี คุณพยายามสงบจิตสงบใจมาตลอด ในเมื่ออยากไป ก็ไปเลยสิคะ”
“คุณบอกเองไม่ใช่เหรอ ว่าหลังจากนี้พวกเราจะหาที่ที่ไม่มีคนรู้จักพวกเรา พักอยู่ที่นั่นอย่างสงบสุข จะไม่ไปยุ่งกับเรื่องราวขัดแย้งของพวกเขาอีกแล้ว แค่ใช้วันเวลาที่เหลือของพวกเราก็พอ”
“ฉันรู้ว่าสิ่งที่คุณพูดมันออกมาจากใจจริง แต่ว่า ฉันก็หวังว่าใจของคุณจะมั่นคงไม่สั่นคลอน ถ้าเพราะว่าคุณไม่ได้ทำเรื่องบางเรื่อง แล้วมันส่งผลทำให้คุณต้องยืนหยัดมั่นคงขึ้นมา ถึงตอนนั้น พวกเราจะทำยังไง?”
“ดังนั้น คุณสามี คุณอยากทำอะไรก็ไปทำเถอะ ฉันเป็นภรรยาของคุณ ไม่ว่าคุณทำอะไร ฉันก็จะสนับสนุนคุณทั้งนั้น”
ไป๋ยี่เฟยชะงักไป
เขาค่อยๆวางถ้วยลงอย่างช้าๆ มองหลี่เสว่ที่หน้าตาสวยงามเหมือนอย่างเคย ในแววตากลับดูหมองมัวไม่ชัดเจน ตอนนี้ดูเหมือนเขาจะไม่เข้าใจภรรยาของเขาอยู่เล็กน้อย