บทที่553
แสงไฟบนเรือสำราญนั้นสว่างไสว
วันนี้เป็นวันที่ประธานสหพันธ์ธุรกิจเป่ยไห่คนใหม่ขึ้นรับตำแหน่ง เพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง ทางสหพันธ์จึงได้เหมาเรือสำราญลำนี้ไว้ และตอนนี้ก็เป็นเวลาของการเฉลิมฉลองพอดี
งานในครั้งนี้มีเจ้าของมากมายของบริษัทต่างๆ ในเมืองเป่ยไห่มาร่วมงานด้วย และยังมีคนของสหพันธ์ธุรกิจเป่ยไห่มาเข้าร่วมด้วย
หลี่เสว่กับสวี่ชางยืนอยู่ตรงราวระเบียง มองดูทะเลสีคราม รับลมทะเลที่เย็นชื่น ทุกอย่างยังคงคุ้นเคย แต่มัน มันก็ยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่ดี
สวี่ชางเอาแก้วไวน์แดงของตัวเองมาชนกับของหลี่เสว่จนเกิดเป็นเสียงที่ไพเราะ มันทำให้หลี่เสว่ได้สติคืนมาอีกครั้ง
“กำลังคิดอะไรอยู่เหรอครับ?” สวี่ชางถาม
หลี่เสว่ยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับส่ายหน้า “ไม่มีอะไรค่ะ”
สวี่ชางเม้มปากเบาๆ “ความจริง ผมรู้จักคุณตั้งแต่ห้าปีก่อนแล้วครับ”
“ห้าปีที่แล้วเหรอคะ?” หลี่เสว่สงสัย “ตอนนั้นฉันเพิ่งเรียนอยู่ปีสองเองมั้งคะ?”
สวี่ชางพยักหน้า “ใช่ครับ”
หลี่เสว่จ้องมาที่สวี่ชาง เธอจำไม่ได้เลยว่าเคยเห็นหน้าสวี่ชางมาก่อน “แต่ฉันจำคุณไม่ได้เลย ฉันไม่เคยเจอหน้าคุณมาก่อน”
“ผมในตอนนั้นแตกต่างกับผมในตอนนี้มากเลยครับ” พอนึกขึ้นสวี่ชางก็ยิ้มออกมา แล้วพูดต่อว่า “คุณยังจำได้รึเปล่าครับ ว่าตอนนั้นคุณเคยซื้อขนมปังให้ขอทานคนหนึ่ง?”
สิ้นเสียง หลี่เสว่ก็นึกขึ้นได้ มันเคยมีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นจริงๆ
“ที่แท้ก็คุณนี่เอง!”
สวี่ชางยักไหล่ “ก็ผมแหละครับ!”
หลี่เสว่จำได้ว่าตอนนั้นเธอกำลังทำงานพาร์ทไทม์อยู่ หลังทำงานพาร์ทไทม์เสร็จ ระหว่างทางที่กลับไปมหาลัยนั้น เธอก็เห็นขอทานคนหนึ่งที่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งนอนอยู่ตรงหน้าประตูของมหาลัย แถมตอนนั้นฝนก็ตกด้วย ด้วยเหตุนี้ หลี่เสว่จึงซื้อขนมปังชิ้นหนึ่งให้เขา ซื้อร่มให้หนึ่งคัน กันให้เงินไปอีกสองร้อย
“ฝนมันจะมีแต่ยิ่งตกยิ่งหนัก ฉันว่าคุณรีบไปหาที่หลบฝนก่อนเถอะค่ะ!”
สวี่ชางเองก็ตกเข้าไปอยู่ในห้วงของความทรงจำเหมือนกัน “ความจริงตอนนั้นผมได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก มีแรงเหลือไม่เท่าไหร่แล้ว”
“แต่ว่า มีคนมากมายที่เดินผ่านผมไป พวกเขาต่างรังเกียจและไม่อยากเข้าใกล้ผม แม้แต่120ยังไม่มีคนโทรเรียกให้เลย มีแต่คุณคนเดียวที่ยื่นมือเข้ามาช่วยผม”
สวี่ชางถอนหายใจออกมาอีก “ความจริงผมไม่ควรเล่าให้คุณฟังเลย”
“ทำไมล่ะคะ?” หลี่เสว่ไม่เข้าใจ
สวี่ชางยักไหล่ “ถ้าเป็นแบบนี้ ภาพลักษณ์ของผมในความทรงจำของคุณก็จะเป็นคนดีอยู่ตลอด”
หลี่เสว่ฟังแล้วก็ยากที่จะขัด เธอได้แต่ยกไวน์ขึ้นมาจิบ
สวี่ชางพูดต่อโดยไม่ใส่ใจ “ความจริงหลังจากนั้นผมก็เคยให้คนไปตามหาคุณเหมือนกัน แล้วก็ได้รู้เรื่องไป๋ยี่เฟย และผมก็ให้คนตามดูเขาเหมือนกัน พอรู้ว่าเขาจริงใจกับคุณจริงๆ ผมจึงรู้สึกสบายใจและไม่ตามสืบต่อ และไม่คิดที่จะเข้าไปแย่งคุณด้วย”
หลี่เสว่ยิ้มออกมาเล็กน้อย ยกแก้วขึ้นมา “เพื่อเป็นการฉลองที่เราได้พบกันอีกครั้ง หมดแก้วมั้ยคะ?”
“อืม” สวี่ชางกับหลี่เสว่ชนแก้วกันเบาๆ แล้วดื่มไวน์พร้อมกัน สวี่ชางถามขึ้นอีกว่า “แล้วตอนนี้คุณ รู้สึกเสียใจไหมครับที่ทำแบบนั้นลงไป?”
หลี่เสว่เงียบลงอีกครั้ง มองออกไปยังทะเล แล้วยกไวน์ขึ้นมาดื่ม
หลังผ่านไปเนิ่นนาน หลี่เสว่ค่อยพูดออกมาเบาๆ ว่า “แล้วฉันควรรู้สึกเสียใจมั้ยคะ?”
“คำถามนี้ คุณต้องถามตัวเองสิครับ” สวี่ชางตอบอย่างเรียบเฉย
หลี่เสว่เงียบไปอีกครั้ง
สวี่ชางถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า “ความจริง หลังจากที่คนเราตัดสินใจเลือกไปแล้ว มันก็ไม่มีพื้นที่ว่างพอให้เสียใจอีก สิ่งที่คุณควรทำไม่ใช่การมานั่งคิดว่าควรเสียใจกับมันรึเปล่า แต่คือการคิดว่า คุณควรทำอะไรต่อจากนี้ไปต่างหาก?”
“เพราะของบางอย่างเมื่อคุณทิ้งมันไปแล้ว ก็ไม่อาจเก็บมันขึ้นมาได้อีก”
“เสว่เอ๋อ คุณเป็นคนที่เข้มแข็งมาก ผมเชื่อว่าคุณจะต้องกลับไปเป็นคนเดิมที่คุณเคยเป็นได้แน่”
สิ้นเสียง ก็มีเสียงของคนอื่นดังขึ้น “ประธานหลี่ครับ มีคนมาขอพบครับ”
พอเห็นอย่างนั้น สวี่ชางก็พูดขึ้นว่า “อย่าคิดมากเลยครับ ผมมองคุณเหมือนน้องสาว ผมแค่ต้องการให้คุณรู้สึกสบายใจเท่านั้น”
พูดจบสวี่ชางก็เดินจากไป
หลี่เสว่ยืนทำอะไรไม่ถูกอยู่ตรงนั้น คำพูดของสวี่ชางวนเวียนอยู่ในหัว การที่เธอตัดสินใจแบบนี้ มันถูกหรือว่าผิดกันแน่นะ?
ไม่มีที่ให้เสียใจเหรอ?
มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เหรอ?
นึกถึงตอนที่รู้จักกับไป๋ยี่เฟยใหม่ๆ เขาเป็นคนที่ซื่อตรงมาก หลี่เฉียงตงบอกให้ทำอะไรเขาก็ทำอย่างนั้น ไม่แสดงความคิดเห็นเลยสักนิด
วันที่แต่งงานกัน เธอยังใช้กรรไกรข่มขู่ไป๋ยี่เฟยอยู่เลยว่า “ห้ามแตะต้องตัวฉันนะ!”
ไป๋ยี่เฟยไม่พูดอะไรสักคำ แล้วเดินจากไปด้วยตัวเอง
ด้วยการที่พวกเธอแต่งงานกันโดยที่ไม่ได้รับความเห็นชอบ มันจึงทำให้นายท่านหลี่โกรธมาก ตอนนั้นไป๋ยี่เฟยก็ยืนปกป้องเธออยู่ข้างๆ
หลี่ฝานที่เอาแต่ก่นด่าประชดประชันไป๋ยี่เฟยต่างๆ นาๆ ไป๋ยี่เฟยก็ไม่พูดอะไรสักคำ เก็บกระเป๋าของหลี่เสว่ที่ถูกหลี่ฝานโยนลงพื้น
ตอนอยู่ที่บ้าน ไม่มีวันไหนเลยที่หลิวจื่อหยุนไม่รังเกียจไป๋ยี่เฟย เธอเอาแต่สั่งไป๋ยี่เฟยราวกับคนใช้
ในเวลาสองปี ไป๋ยี่เฟยไม่เคยบ่นออกมาเลยสักคำ
ในเวลาสองปีนั้น หลี่เสว่ได้เห็นมันทุกอย่าง เธอไม่ได้ไร้หัวใจ แต่เธอแค่รู้สึกประทับใจกับเรื่องนี้เท่านั้น ประทับใจไม่ได้หมายถึงความรัก
หลี่เสว่ได้สูญเสียความศรัทธาต่อความรักที่สวยงามไปแล้ว เธอคิดว่าการใช้ชีวิตอย่างเคารพซึ่งกันและกันแบบนี้กับไป๋ยี่เฟยไปมันอาจจะไม่แย่ก็ได้
แต่ทุกอย่างก็เกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งตัว
จู่ๆ ไป๋ยี่เฟยก็ได้ขึ้นเป็นประธานกรรมการของโหวจวี่กรุ๊ป กลายเป็นผู้สืบทอดของตระกูลไป๋
เขาในตอนนั้นยิ่งใหญ่มาก ยิ่งใหญ่จนศัตรูของเขาต้องรู้สึกกลัว รู้สึกสยอง
และยังมอบความรักที่หลี่เสว่คาดหวังให้ในเวลาเดียวกันด้วย
แต่ว่า ความรักที่ต้องใช้เวลาสามปีกว่าจะได้มา บอกว่าทิ้งก็จะทิ้งได้เลยเหรอ?
พอหลี่เสว่นึกถึงเรื่องนี้ หัวใจมันก็เหมือนถูกมีดแทงเข้าไปทันที
ในตอนนั้นเอง ข้างหลังของหลี่เสว่ก็ได้มีเสียงของคนที่คุ้นเคยดังขึ้น
“เสว่เอ๋อ”
หลี่เสว่อึ้งไป เธอยกมือขึ้นมาเช็ดที่ขอบตาของตัวเองโดยอัตโนมัติ เธอกลัวว่าเมื่อกี้ตัวเองจะเผลอร้องไห้ออกมา
“ทำไมถึงเป็นคุณ?”
หลิ่วจาวเฟิงยิ้มออกมาเล็กน้อย “เสว่เอ๋อ ไม่สิ ตอนนี้ควรเรียกว่าประธานหลี่แล้ว”
“คุณมาทำอะไรที่นี่?” หลี่เสว่ชักสีหน้าใส่
หลิ่วจาวเฟิงยักไหล่ด้วยความจนใจ “ยังไงเราก็เรียนมาด้วยกัน ต้องขนาดนี้เลยเหรอ? ทำอย่างกับว่าเราเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันอย่างนั้นแหละ”
หลี่เสว่จ้องเขม็งมาที่เขาโดยที่ไม่พูดอะไรเลยหลิ่วจาวเฟิงจึงจำใจต้องขอโทษ “โอเคครับ ไม่พูดก็ได้ ผมขอโทษ”
“เรื่องที่ผ่านมาผมผิดเอง ผมขอโทษ ผมแค่อยากให้คุณหันมามองผมเท่านั้น ผมใจร้อนเกินไปจนขาดสติ ถึงได้ทำเรื่องพวกนั้นออกมา คุณพอจะให้อภัยผมได้มั้ยครับ?”
หลี่เสว่ชะงักไปพักหนึ่ง เหมือนเธอจะไม่ค่อยเชื่อว่าหลิ่วจาวเฟิงขอโทษเธอจากใจจริงรึเปล่า ดังนั้น พอเขาพูดจบ หลี่เสว่ก็ยังทำหน้าเคร่งขรึม “ไม่จำเป็นต้องขอโทษก็ได้ เพราะสามีของฉันได้สั่งสอนคุณไปแล้ว”
ตอนที่หลี่เสว่พูดนั้น เธอได้เน้นคำว่า ‘สามี’ ไปโดยไม่รู้ตัว
ด้วยเหตุนี้ หลี่เสว่กับหลิ่วจาวเฟิงจึงชะงักไปทั้งคู่
หลิ่วจาวเฟิงนั้นไม่ชอบใจที่หลี่เสว่พูดคำนั้นออกมา มันทำให้เขานึกถึงไป๋ยี่เฟย มันยิ่งทำให้เขาไม่ชอบใจขึ้นไปอีก
ส่วนหลี่เสว่ก็นึกถึงไป๋ยี่เฟย นึกถึงปัญหาเมื่อกี้
หลิ่วจาวเฟิงขมวดคิ้วไปแป๊บหนึ่งก่อนจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “เอาแบบนี้แล้วกัน ผมให้สัญญาว่าผมจะไม่มีความคิดที่ไม่เข้าท่าแบบนั้นกับคุณอีก แต่ผมไม่รับปากว่าจะไม่หาเรื่องไป๋ยี่เฟยอีกนะครับ”
“ถ้าคุณต้องการ ผมยอมไปขอโทษไป๋ยี่เฟยด้วยก็ได้”
หลี่เสว่มองหลิ่วจาวเฟิงด้วยความแปลกใจ การที่คำพูดแบบนี้ออกมาจากปากของหลิ่วจาวเฟิง มันช่างน่าประหลาดใจจริงๆ
……
ไป๋ยี่เฟยและคนอื่นๆ ขึ้นมาบนเรือสำราญแล้ว
พอขึ้นเรือมา ไป๋ยี่เฟยก็เห็นหลี่เสว่ที่ยืนอยู่ตรงราวระเบียงแล้ว
พอได้เห็นกับตาว่าหลี่เสว่ยังปลอดภัยดี เขาก็เบาใจลงมาก ในเวลาเดียวกัน เขาก็พบว่าคนที่ยืนอยู่ข้างๆ หลี่เสว่คือหลิ่วจาวเฟิง
สีหน้าของไป๋ยี่เฟยเปลี่ยนไปทันที
เขาหันไปถามหลิวเสี่ยวอิง “มียาที่สามารถระงับความเจ็บปวดได้ทันทีรึเปล่าครับ?”
“มีค่ะ” หลิ่วจาวเฟิงเอามันออกมาให้ไป๋ยี่เฟย “แต่มันมีไว้ใช้กับผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งเท่านั้น คุณ……คิดจะทำอะไร? นี่……”
พูดอยู่ ไป๋ยี่เฟยก็เอายายัดเขาปากไป
พอกลืนยาลงคอไป ไป๋ยี่เฟยก็สูดหายใจเข้า แล้วตั้งใจจะเดินไปทางนั้น