บทที่429
“คุณหมายความว่าอะไรหรือ? คุณเปลี่ยนไปแล้วเกี่ยวอะไรกับเขาหรือ?” หยางหนิวถาม
ไป๋ยี่เฟย แฮ่ๆ หัวเราะหนึ่งที “ก็คือให้เถ้าแก่ของคุณรู้ ผมไม่เหมือนกันกับแต่ก่อนแล้วล่ะ!”
หยางหนิวจ้องมองไป๋ยี่เฟยเหมือนดั่งเห็นคนปัญญาอ่อน “เขาเหมือนหรือไม่เหมือนเกี่ยวอะไรกันอยู่หรือ?”
“ผมว่าคุณ ก็ไม่สามารถคิดมากกว่านี้หน่อยหรือ?” ไป๋ยี่เฟย อิ เสียงหนึ่ง “คิดว่าพวกคุณล้วนรู้แล้วว่าในหนึ่งเดือนนี้ผมไปทำอะไรล่ะ?”
“แม้ว่าพวกคุณอาจจะไม่เชื่อ แต่ผมไม่เหมือนเดิมแล้วจริงๆ อย่างเช่น ถ้าหากว่าตอนนี้คุณต่อยผมละก็ ไม่แน่ว่าจะต่อยชนะผมได้ เรื่องลูกสาวสุดที่รักของเถ้าแก่คุณมีอาจารย์คนหนึ่งคุณรู้ไหม? ตอนนี้ก็เป็นอาจารย์ของผมแล้วด้วย”
พูดจบ หยางหนิวเบิกตาโพลงทั้งคู่ในฉับพลัน
ไป๋ยี่เฟยเห็นสภาพในใจพูดว่า: เหมือนอย่างที่คิดจริงๆ!
ในเมื่อเหลียงยู่ติดตามผู้หญิงคนนั้น งั้นเหลียงหมิงเยว่เป็นบิดาของเหลียงยู่ย่อมต้องรู้อย่างแน่นอน ในเมื่อหยางหนิวเป็นคนของเหลียงหมิงเยว่ คิดว่าน่าจะได้เข้าใจเล็กน้อยด้วย
ถึงแม้ว่าหยางหนิวไม่รู้สถานะของผู้หญิงคนนั้น แต่เหลียงหมิงเยว่ย่อมรู้อย่างแน่นอน เพียงแค่หยางหนิวเล่าเรื่องนี้ให้กับเหลียงหมิงเยว่ งั้นมากน้อยเขาก็สามารถค้นหาถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสถานะของผู้หญิงคนนั้นสักหน่อย
นี่ก็คือจุดประสงค์ที่วันนี้เขามาพบเจอกับหยางหนิว
……
หลังจากไป๋ยี่เฟยออกไปแล้ว ก็ไปยังโหวจวี๋กรุ๊ปโดยตรง
เดินไปถึงออฟฟิศ เปิดเอกสารที่เมื่อคืนจางหัวปินให้เขาใหม่อีกครั้ง
เฝิงหย่งก้าง เดิมทีเป็นคนคนหนึ่งที่ทำธุรกิจเพาะเลี้ยงสัตว์ แต่ไม่รู้ว่าทำไม ช่วงเวลาก่อนหน้านั้นได้รับเงินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง ซื้อโรงงานเครื่องประดับแห่งหนึ่งไว้โดยตรง
โรงงานเครื่องประดับรับผิดชอบทำการผลิต แต่เพื่อที่จะได้รับกำไรอย่างมาก เฝิงหย่งก้างให้คนปรับเปลี่ยนทองแท้กลายเป็นทองเคลือบโดยตรง ส่วนหยกเจดไดต์ก็คือใช้เกรดCมาแทนเกรดBอีกทั้งเป็นเกรดAแต่เพชร ใช้เพชรสังเคราะห์มาแทนเพชรธรรมชาติ
เป็นเช่นนี้มา ทำให้ลูกค้ามากมายที่ซื้อมาล้วนเป็นของปลอมโดยเฉพาะเป็นทองเคลือบเหล่านั้น เนื่องเพราะสาเหตุมาจากวัตถุดิบ คนที่ผิวแพ้ง่ายหลังจากสวมใส่แล้วแพ้ง่ายอย่างมาก
แต่ว่าเป็นนักเพาะเลี้ยงสัตว์คนหนึ่ง กล้าทำสิ่งเหล่านี้ เบื้องหลังย่อมต้องมีบุคคลยิ่งใหญ่ช่วยอยู่ ไม่งั้นถูกจับไปดื่มน้ำชาอยู่ในสถานีตำรวจมานานแล้ว
สำหรับเรื่องของเมื่อคืน เป็นคนบางคนตั้งใจสั่งทำ อีกทั้งเมื่อวานยังเห็นคนที่อยู่ข้างกายของเฝิงหย่งก้าง ถึงขนาดเป็นเซียวหรงเทาเพื่อนร่วมชั้นเรียนเก่าของไป๋ยี่เฟย
เป็นเซียวหรงเทาชักนำเฝิงหย่งก้างมาให้กับหลี่เสว่ นี่จึงทำให้หลี่เสว่ประสบพบกับเรื่องของเมื่อคืน
ยังมีอีกหนึ่ง หนิวจิน เดิมทีเป็นคนของโหวจวี๋กรุ๊ป ติดตามหลี่เสว่ก็ควรที่จะช่วยเหลือหลี่เสว่ แต่เมื่อคืน เขาไม่เห็นหนิวจินสักนิด อย่างนี้อธิบายได้ถึงอะไรหรือ ไม่ต้องพูดก็เห็นได้ชัด
อ่านเอกสารเหล่านี้จบ ไป๋ยี่เฟยหัวเราะเย็นชาเสียงหนึ่ง “เฝิงหย่งก้างเซียวหรงเทา หนิวจิน ทั้งสามคนนี้ เขาจะไม่ปล่อยแม้แต่คนเดียว”
“หลิงหลิง ไป ติดต่อหนิวจินเข้ามาสักหน่อย” ไป๋ยี่เฟยต่อสายภายในของออฟฟิศ
……
หลี่เสว่ไปทำงานที่บริษัทตามเวลา พบเจอหนิวจิน อยู่หน้าประตูบริษัท
หลังจากหนิวจินมองเห็นหลี่เสว่ตกใจจนไม่กล้าสบตากับหลี่เสว่ “ประธานหลี่”
ส่วนหลี่เสว่กลับไม่มีสีหน้าที่ดีต่อหนิวจิน สภาพการณ์แบบนั้นในเมื่อคืน ถึงแม้ว่าพวกเขาทั้งสองล้วนต่อต้านไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ต้องมีท่าทีสักหน่อย
แต่การโต้กลับของเขา แสดงให้เห็นชัดทั้งหมด
ในเวลานี้หนิวจินยังไม่รู้ว่าไป๋ยี่เฟยกลับมาแล้ว เมื่อคืนหลังจากถูกเซียวหรงเทาขวางไว้แล้ว ทั้งสองคนไปกินข้าวข้างนอก ยังพูดคุยไปมากมาย ทำให้หนิวจินรู้สึกถึงว่าการตัดสินใจของตนเองเป็นสิ่งที่ถูกต้องอย่างมาก
ดังนั้นวันนี้เข้ามา เขาคิดว่าจะมาลาออก ยังไงโหวจวี๋กรุ๊ปก็จะจบแล้วเช่นกัน ลาออกเร็วหน่อย ก็จะรอดตัวเร็วหน่อย
หนิวจินก้มหัวพูดกับหลี่เสว่ว่า “ประธานหลี่ ผมจะลาออก”
หลี่เสว่หยุดชะงักเล็กน้อย จากนั้นหัวเราะเย็นชาเสียงหนึ่ง “ได้สิ ฉันอนุมัติแล้ว”
คราวนี้หนิวจินหยุดชะงักเลย เขาเงยหน้าจ้องมองไปที่หลี่เสว่ สีหน้าของหลี่เสว่ก็ยังดีอยู่ ล้วนไม่เหมือนประสบกับเรื่องแบบนั้น นี่……ตกลงเกิดเรื่องอะไรกันแน่?
หนิวจินยังคิดไม่ออก ตัวหลี่เสว่เองเดินไปยังบริษัทแล้ว
หนิวจินเห็นสภาพก็ไม่ได้คิดมากด้วย ถึงยังไงสถานการณ์ก็กำหนดไว้แล้ว ไม่เห็นจะเป็นอะไร
ดังนั้นหลังจากหนิวจินออกไปก็ไปยังโหวจวี๋กรุ๊ปทันที เพราะว่าเขายังเป็นพนักงานของโหวจวี๋กรุ๊ป ดังนั้นหลังจากลาออกจากฝั่งนี้แล้ว ยังต้องไปลาออกที่โหวจวี๋กรุ๊ป
ระหว่างทาง ได้รับสายของหลงหลิงหลิง
“กรุณามาโหวจวี๋กรุ๊ปทันที”
หนิวจินรีบขานรับ ในใจกลับสงสัยงงงวยมาก หรือว่าโหวจวี๋กรุ๊ปได้รับข่าวอะไรแล้วหรือ?
แฝงไว้ด้วยใจที่สงสัยงงงวย หนิวจินถูกหลงหลิงหลิงพาไปยังออฟฟิศประธานกรรมการ
ในใจหนิวจินอดไม่ได้ดังกุ๊กๆเสียงหนึ่ง ท่านประธานกรรมการกลับมาแล้วหรือ?
ผลักประตูออฟฟิศออก หลงหลิงหลิงหันข้างพูดว่า “เชิญเข้ามา”
ใจของหนิวจินแฝงไว้ด้วยความกังวลและคงโชคดีเดินเข้าไปในออฟฟิศ มองเห็นไป๋ยี่เฟยที่อยู่ข้างหลังโต๊ะทำงาน ทันทีนั้นตกใจจนสั่นระริก “ท่าน…….ท่านประธานกรรมการ”
ไป๋ยี่เฟยเห็นแล้ว ให้สัญญาณหลงหลิงหลิงออกไปก่อน จากนั้นพูดกับหนิวจินว่า “มาแล้วหรือนั่งลง”
หนิวจินกลับไม่กล้านั่งเลย ในใจวุ่นวายเหลือเกิน นี่ตกลงว่าเป็นเรื่องอะไรกันแน่? เมื่อวานเซียวหรงเทาไม่ใช่บอกว่าไป๋ยี่เฟยล่วงเกินคนมากมายขนาดนั้น ถูกฆ่าทิ้งแล้วล่ะ?
ตอนนี้ทำไมโผล่ออกมาอยู่ที่นี่ล่ะ?
งั้นเรื่องของเมื่อคืน ท่านประธานกรรมการย่อมต้องรู้แน่นอน ดังนั้นจึงให้เขาเข้ามา?
“ท่านประธานกรรมการ ผมผิดไปแล้ว!”หนิวจินนึกถึงตรงนี่ ยอมรับผิดโดยอัตโนมัติทันที “ท่านประธานกรรมการ ขอความกรุณาท่านให้โอกาสผมอีกครั้งหนึ่ง วันหลังผมจะไม่ทำผิดอีกเด็ดขาด”
ไป๋ยี่เฟยเห็นสภาพหัวเราะเย็นชาเสียงหนึ่ง “รู้ว่าผมกลับมาแล้ว ดังนั้นเลือกที่จะยอมจำนนหรือ?”
“ไม่ ไม่ใช่ ท่านประธานกรรมการ ผมไม่มี ขอให้เชื่อผมเถอะ ผมก็ถูกบีบบังคับอย่างจนปัญญาเช่นกัน เมื่อคืนพวกเขามีบอดี้การ์ดสองคน พวกเราไม่ใช่คู่ต่อสู้สักนิด……” หนิวจินพูดอธิบายอย่างสับสนวุ่นวาย
ไป๋ยี่เฟยพูดอย่างราบเรียบว่า “ดังนั้น คุณคิดว่าจะเสียสละภรรยาของผม มาทำให้คุณสมหวังหรือ?”
“ไม่ใช่ ท่านประธานกรรมการ ไม่ใช่อย่างนี้ล่ะ ท่านประธานกรรมการ……”
ไป๋ยี่เฟย ฮึ เสียงเบาๆเสียงหนึ่ง “คุณจำไว้ เรื่องอื่นๆ ผมอาจยอมอดทนได้ แต่เพียงแค่เป็นสิ่งที่ทำร้ายภรรยาผม แม้แค่พูดว่าเธอไม่ดีสักคำ ผมล้วนไม่ยอมปล่อย!”
“ดังนั้น จากวันนี้เป็นต้นไป ผมไม่อยากเห็นคุณอยู่ในเทียนเป่ยอีก เข้าใจหรือยัง?”
หนิวจินได้ยินคำพูดเบิกตาโพลงทั้งคู่อย่างฉับพลัน จากนั้น “ปุ้ง” เสียงหนึ่ง คุกเข่าลงไป “ท่านประธานกรรมการ ผมผิดไปแล้ว ผมผิดไปแล้วจริงๆ ให้โอกาสผมสักครั้งเถอะ……..”
ไป๋ยี่เฟยลุกขึ้นมา เดินไปยังข้างกายหนิวจิน เตะเขาออกไปหนึ่งที “ถ้าให้คุณอีกครั้ง แม่มึงเอ่ย ผมก็จะไม่ใช่ลูกผู้ชายแล้ว!”
“ไสหัวออกไป!”
หนิวจินเห็นสภาพตกใจจนสั่นระริก รู้ว่าตนเองไม่มีช่องทางใดๆที่ยังเหลืออยู่อีกเลย ใจเหมือนหมดอาลัยตายอยากไสหัวออกไปจาก ออฟฟิศประธานกรรมการ
ใครก็นึกไม่ถึงด้วย หนิวจินมาลาออกแล้วจริงๆ แต่ว่าขั้นตอนในการลาออกนี้ อย่างที่เขาจินตนาการต่างกันฟ้ากับดิน
ไป๋ยี่เฟยจัดการหนิวจินเสร็จ ก็โทรหาไอ้หัวล้านหลิวในทันที “ฮัลโหล ผมต้องการประมาณร้อยกว่าคน มีไหม ?”