บทที่ 271
สุดท้ายแล้ว ไป๋ยี่เฟยก็เปิดปากพูดขึ้น“เสว่เอ๋อ คุณ…….”
แต่แค่ไม่ได้พูดออกมาเป็นประโยค หลี่เสว่พูดต่อ“พวกเขาบอกว่าพวกเราเป็นสามีภรรยากัน แต่ฉันจำคุณไม่ได้จริงๆ ฉันก็เลยไม่สามารถรับความสัมพันธ์ของพวกเราในตอนนี้ได้”
ไป๋ยี่เฟยอึ้งตะลึงไป ในขณะเดียวกันรู้สึกว่าใจของตัวเองราวกับถูกมีดแทงเข้าอย่างแรง แสนเจ็บปวดทรมาน
หลี่เสว่เห็นความเจ็บปวดในแววตาของไป๋ยี่เฟย อยากที่จะพูดอะไรออกมา
“คุณ……โอเคใช่ไหม?”หลี่เสว่ถามขึ้นอย่างระมัดระวัง“ฉันแค่รู้สึกไม่ชินเท่านั้น……”
“ผมเข้าใจ”ไป๋ยี่เฟยส่ายหัว“คุณไม่ต้องทำแบบนี้หรอก คุณสบายใจที่จะทำยังไงก็ทำอย่างนั้นเถอะ ผมไม่ว่าอะไร”
คำพูดนี้พูดจบลง หลี่เสว่ก็เหมือนจะถอนหายใจออกมาหนึ่งเฮือก พร้อมกับยิ้มๆ
ไป๋ยี่เฟยลุกเดินขึ้นไปข้างบนทันที“ผมขึ้นไปพักผ่อนสักพักก่อนนะ”
หลังจากที่ไป๋ยี่เฟยขึ้นไปแล้ว หลี่เสว่รอดูอยู่ที่ห้องรับแขกด้วยความอยากรู้อยากเห็น จากนั้นก็ลุกขึ้นไปเดินเล่นภายในบ้านวิลล่า
พอเธอตื่นขึ้นมาในเช้าวันนี้ ก็คนกลุ่มหนึ่งล้อมรอบเธอไว้อยู่ ในตอนนั้นเธอกลัวสุดขีด ไม่รู้จักแม้แต่คนเดียว ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร อยู่ที่ไหน ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้?
จากนั้นโจวฉวี่เอ๋อก็บอกว่าพวกเธอเป็นเพื่อนสนิทกัน บอกชื่อของเธอ สถานภาพ แล้วก็ประสบการณ์ต่างๆในยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาของเธอ สุดท้าย ก็บอกเธอว่า เธอแต่งงานแล้ว
ต่อมา โจวฉวี่เอ๋อยังบอกเธอ เรื่องที่ไป๋ยี่เฟยทำเพื่อเธอ ดีกับเธอ จนเธอก็เริ่มอยากรู้อยากเห็นแล้ว ว่าไป๋ยี่เฟยเป็นผู้ชายแบบไหน?
ทำเรื่องที่น่าเหลือเชื่อมากมายขนาดนั้นเพื่อเธอจริงๆเหรอ?
เธอมีความรู้สึกเหมือนตัวเองหลุดเข้ามาอยู่ในโลกของนิทาน
จนกระทั่งตอนบ่ายเห็นไป๋ยี่เฟยตื่นขึ้นมา หลี่เสว่มองเขาด้วยจิตใจที่อยากรู้อยากเห็น แต่สภาพที่ดูทึ่มๆของเขา มันรู้สึกแทบจะไม่เหมือนกับที่โจวฉวี่เอ๋อพูดไว้เลย
ส่วนในขณะนี้เอง ไป๋ยี่เฟยที่อยู่ข้างบนทิ้งตัวลงบนเตียง กลับไม่รู้สึกอยากนอนเลยแม้แต่น้อย
คำพูดของหลี่เสว่เมื่อตะกี้ยังวนเวียนอยู่ข้างหูของเขา ทำให้เขารู้สึกอัดอั้นอยู่ภายในใจ
คิดไปคิดมา ไป๋ยี่เฟยก็หมดหนทาง
ที่หลี่เสว่เป็นแบบทุกวันนี้ ก็เพราะว่าตัวเขาเอง
ในเมื่อเป็นแบบนี้ ก็ปล่อยวางไปบ้างก็ดีแล้ว
เขากับหลี่เสว่แต่งงานกันตามข้อตกลง ไม่เคยมีประสบการณ์รักกันจริงๆเลย พอดีได้ถือโอกาสนี้ ทำให้หลี่เสว่ชอบตนเองใหม่เลยแล้วกัน ดูเหมือนว่านี่จะเป็นสิ่งที่คุ้มค่ากับการรอคอยอยู่เหมือนกัน
……
ช่วงค่ำ ณ ตลาดกลางคืนผู้คนจอแจ แสงสีระยิบระยับ
ณ ร้านปิ้งย่างข้างถนนร้านหนึ่ง สวีลั่งกับไป๋หู่ทั้งสองคนสั่งปิ้งย่างมาเยอะสุดๆ ดื่มเบียร์ไปพลาง กินปิ้งย่างไปพลาง
ทั้งสองคนเป็นคนที่พูดไม่เยอะอยู่แล้ว ตลอดระยะเวลาที่กินก็ไม่ได้พูดอะไรกันสักประโยค แต่กลับยกแก้วเบียร์ขึ้นมาชนกันอย่างเงียบๆ เป็นภาพที่ดูแปลกประหลาดไม่น้อย
ไม่นาน จู่ๆโต๊ะของพวกเขาก็มีชายอีกคนเข้ามานั่งด้วย
ผู้ชายคนนี้ดูอ่อนปวกเปียก สีหน้าก็ไม่ค่อยดี ดูเหมือนป่วยเป็นโรค
สวีลั่งกับไป๋หู่ก็หยุดลงทันที ไป๋หู่กลับไม่ได้มีสีหน้าท่าทีอะไร ส่วนสวีลั่งชะงักลง เม้มปากเล็กน้อย
“รุ่นพี่”ชายเป็นโรคเรียกขึ้นมาหนึ่งคำ
สวีลั่งตอบ อื้อ ไป ก่อนจะหยิบไม่ปิ้งย่างขึ้นมากินไปหนึ่งไม้
ไป๋หู่เห็นแบบนี้ก็ทำเหมือนกับว่าคนคนนี้ไม่ได้นั่งอยู่ตรงนั้นด้วย ก้มหน้ากินต่อ
ชายเป็นโรครู้สึกผิดหวังไม่น้อย“รุ่นพี่ เรื่องเมื่อวาน ผม……”
“ฉันเข้าใจ นายไม่ต้องอธิบาย”สวีลั่งพูดตอบกลับ
ชายเป็นโรคได้ยินแบบนั้นก็อึ้งตะลึง หัวเราะเยาะตัวเอง“รุ่นพี่ ขอโทษครับ”
สวีลั่งอึ้งเล็กน้อย“นายไม่ต้องขอโทษหรอก”
พวกเขาเป็นคนสนิทกัน แม้ว่าพวกเขาจะยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน แถมยังเคยทะเลาะกันครั้งหนึ่งอีก แต่มันก็เป็นเรื่องของคนที่ซื่อสัตย์และภักดีต่อกัน ไม่จำเป็นต้องมาขอโทษ
ชายเป็นโรคกลับไม่ได้คิดแบบนี้ รุ่นพี่ดีกับเขาขนาดนั้น แต่เขากับลงมือกับเขา พูดกันตามหลักเหตุผลแล้วไม่ใช่ปัญหาอะไรหรอก แต่ในเรื่องของความรู้สึก เขารับมันไม่ได้ ดังนั้นจึงมาขอโทษสวีลั่ง
หลังจากนิ่งเงียบไปสักพัก ชายเป็นโรคก็พูดขึ้น“รุ่นพี่ ผมกินได้ไหม?”
สวีลั่งมองเขาหนึ่งที“ไม่ได้ สุขภาพของนายไม่ดี ไม่ควรกินของพวกนี้”
ชายเป็นโรคยิ้มๆ“อื้อ แล้วแต่รุ่นพี่เลยแล้วกัน”
……
ซุนฮุยถูกจับไปแล้ว หลักฐานมัดตัว จู้ติ่งก็ถูกตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วนภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว ทำให้เจอปัญหามากมาย ด้วยเหตุนี้จู้ติ่งจึงได้รับผลกระทบอยากใหญ่หลวง
ราคาหุ้นตก งานร่วมมือกันหยุดชะงักลง ผู้ประกอบการถอนทุน กระทบกันเป็นทอดๆ จู้ติ่งจบแล้ว
ในตอนแรกไป๋ยี่เฟยให้หลงหลิงหลิงกับจางหรงไปแจ้งให้พวกผู้ประกอบการเหล่านั้นทราบ ให้พวกเขารีบถอนทุนให้เร็วที่สุด แต่มีบางคนไม่ฟัง ดื้อดึงจะรอดูก่อน ตอนนี้จบแล้ว จู้ติ่งสูญสิ้นทุกอย่างแล้ว
พวกผู้ประกอบที่ไม่ได้ถอนทุนเหล่านั้น พลอยได้รับผลกระทบไปด้วย ขาดทุนกันอย่างมหาศาล
ต่างรู้สึกเสียใจภายหลังกันแทบตาย!
ถึงยังไงในโลกนี้มันก็ไม่มียาแก้เสียใจภายหลังให้หรอก
……
หลังจากสองวันผ่านไป ตึกใหม่หนึ่งตึกในเขตเมืองใต้ สามารถรองรับคนได้กว่าร้อยคน
เย่อ้ายเชื้อเชิญประธานผู้ประกอบการส่วนใหญ่ของเมืองเทียนเป่ยมา เกือบจะนั่งเต็มทั้งห้องประชุม
รอจนคนมาครบแล้ว เย่อ้ายจึงปรากฏตัวออกมาอยู่บนเวทีโฮสต์ของห้องประชุม
ผู้คนจ้องมองไปที่เย่อ้าย พากันรู้สึกอยากรู้อยากเห็น บริษัทเย่ซื่อเอนเตอร์เทนเมนท์เรียกพวกเขามารวมตัวกันเพื่ออะไร?
เย่อ้ายถือไมค์ พูดเสียงดังก้องไปทั่วทั้งห้องประชุม“จุดประสงค์ที่เรียกทุกท่านมาในวันนี้ ก็เพื่ออยากที่จะให้ทุกท่านร่วมมือกันจัดการกับโหวจวี๋กรุ๊ป”
พูดจบ ห้องประชุมก็เริ่มมีเสียงฮือฮาพูดคุยกันอย่างร้อนแรงขึ้นมาทันที
“อะไร?”
“จัดการโหวจวี๋กรุ๊ป? ฉันไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหม?”
“โหวจวี๋กรุ๊ปเป็นผู้ประกอบการแนวหน้าของเมืองเทียนเป่ยเชียวนะ ถ้าพวกเราไปต่อกรกับโหวจวี๋กรุ๊ป มันก็เหมือนกับเอาไข่ไปกระทบหินชัดๆ”
“เธอเป็นใครกัน? กล้าดียังไงถึงพูดว่าจะไปจัดการกับโหวจวี๋กรุ๊ป?”
“ฉันจำได้ว่าเธอเป็นประธานของบริษัทเอนเตอร์เทนเมนท์ๆเล็กบริษัทหนึ่ง เห็นๆอยู่ว่ากระดูกคนละเบอร์กับโหวจวี๋กรุ๊ป ไม่คิดว่าจะกล้าพูดอะไรที่บ้าระห่ำแบบนี้ แถมกล้าไปต่อกรกับโหวจวี๋อีก?”
“เพ้อฝันเกินจริงสุดๆ!”
“……”
เย่อ้ายนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างสงบนิ่ง รอพวกเขาพูดคุยกันเสร็จ
จนกระทั่งห้านาทีผ่านไป ทุกคนเห็นเย่อ้ายไม่ได้พูดอะไร ในที่สุดก็เงียบสงบลง
ในตอนนี้เย่อ้ายจึงพูดขึ้น“ฉันรู้ดี ทุกคนรู้สึกว่าโหวจวี๋กรุ๊ปเป็นบริษัทแนวหน้าของเมืองเทียนเป่ย รู้สึกพวกเราไปสู้กับเขาไม่ได้ใช่ไหม?”
“ใช่ สู้ไม่ไหวหรอก แต่ถ้าผู้ประกอบการจำนวนหลายร้อยของเมืองเทียนเป่ยแบบพวกเรานี้ร่วมมือกันล่ะก็ จะจัดการกับโหวจวี๋กรุ๊ปแค่บริษัทเดียวไม่ได้เลยเหรอ? ต่อให้โหวจวี๋กรุ๊ปเก่งกว่านี้ ก็ยังเก่งกว่าผู้ประกอบการหลายร้อยบริษัทอีกอย่างนั้นเหรอ?”