สำหรับศิษย์สำนักแห่งความมืดแล้ว มิติแห่งความมืดเป็นเสมือนโลกที่พวกเขาควบคุมได้โดยสมบูรณ์ เช่นเดียวกับที่สวรรค์และโลกมนุษย์ถูกแบ่งออกเป็นหยินและหยาง ศิษย์สำนักแห่งความมืดที่อยู่ภายในมิติแห่งความมืดนั้นทำอะไรได้มากมายกว่าการเก็บเกี่ยวดวงวิญญาณ พวกเขายังสามารถฝึกตนได้ด้วย
และปราณมืดพิเศษภายในมิติแห่งความมืดก็เป็นสารอาหารชั้นเยี่ยม เปรียบดั่งปราณวิญญาณสำหรับสำนักแห่งความมืด ปราณชนิดนี้ช่วยให้พลังปราณของศิษย์สามารถควบรวมหยินและหยางได้ ทำให้พวกเจาแข็งแกร่งเกินสำนักอื่นๆ ไปมากนัก
สำหรับศิษย์สำนักแห่งความมืดยุคก่อน ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันที่จะเข้าไปยังมิติแห่งความมืดเพื่อฝึกตน แต่ต้องมีระดับปราณตามที่กำหนด พวกเขาต้องอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์เป็นอย่างน้อยจึงจะเข้าไปได้ ดังนั้นนั้น หวังเป่าเล่อผู้ที่เคยได้ยินและรับรู้เรื่องนี้มาระหว่างที่อยู่ในนิมิตมืด จึงไม่เคยได้เข้าไปเยือนที่นั่นมาก่อน
และหลังจากที่สำนักแห่งความมืดล่มสลายเพราะเต๋าสวรรค์พังทลาย สำนักแห่งความมืดก็เริ่มอยู่ในขาลงมา ยิ่งไปกว่านั้น เพราะตระกูลไม่รู้สิ้นได้ปิดผนึกมิติแห่งความมืดเอาไว้ ทำให้ไม่มีศิษย์สำนักแห่งความมืดคนใดได้เข้าไปที่นั่นมาเป็นเวลานานมากแล้ว
เช่นเดียวกัน เพราะไม่มีใครได้เข้าไปที่นั่นมาเป็นเวลานาน ทำให้ความเข้มข้นของปราณมืดภายในมิติแห่งความมืดภายในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นพุ่งสูงจนเหลือเชื่อ แม้ว่าวิญญาณระดับดาวพระเคราะห์ขึ้นไปจะไม่สามารถเข้าสู่มิติแห่งความมืดได้เพราะเต๋าสวรรค์ได้ตายจากไป ทำให้มิติแห่งความมืดทั้งหมดไม่มีต้นกำเนิด แต่ปราณอันเข้มข้น…ยังสามารถกลายมาเป็นอาหารอันโอชะให้หวังเป่าเล่อได้!
หลังจากที่สัมผัสได้ว่านี่คือมิติแห่งความมืดที่สำนักแห่งความมืดกล่าวขวัญถึงและรัศมีของสถานที่นี้ยังทำให้ร่างกายที่แตกสลายของเขาค่อยๆ ดีขึ้น หวังเป่าเล่อก็คิดว่าทุกๆ สิ่งคงจะสมบูรณ์แบบหากเขาสามารถนำร่างจริงมานอนอยู่ที่นี่แทนได้
ช่างน่าเสียดายอะไรอย่างนี้…หวังเป่าเล่อรู้สึกเสียดายจริงๆ แต่กลับตื่นเต้นมากกว่า เพราะตามวิชาแห่งศาสตร์มืดที่เขาเคยได้ร่ำเรียนมา ทันทีที่ชายหนุ่มบรรลุระดับดาวพระเคราะห์ได้ เขาก็จะสามารถเปิดมิติแห่งความมืดและให้ร่างจริงของเขาเข้าไปในนั้นได้
เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็คึกคักขึ้นมาอีกครั้ง ขณะที่ก้าวย่ำไปบนรูปปั้น ชายหนุ่มก็ยกมือขวาขึ้นโบกเป็นผนึกฝ่ามือ ทันใดนั้นเอง หมอกที่รายล้อมอยู่ก็เข้ามาห่อหุ้มกายก่อนจะแปรสภาพเป็นพายุหมุนที่มีตัวเขาเป็นจุดศูนย์กลาง
ขณะที่หมุนวนอยู่นั้น ปราณมืดจำนวนมากก็พุ่งเข้ามาหาหวังเป่าเล่อภายใต้เสียงตะโกนโห่ร้องยินดีและเทิดทูนบูชา ปราณมืดไหลผ่านทวารทั้งเจ็ดของชายหนุ่ม ไหลทะลักผ่านทุกรูขุมขนและร่องรอยเปิดบนผิวหนังของเขาเข้าไป
รัศมีแห่งความตายที่อาจทำให้ใครอื่นตกตะลึงหากได้สัมผัส และใครๆ ต่างก็อยากหลบเลี่ยง เป็นสิ่งที่ทรงคุณค่ายิ่งสำหรับหวังเป่าเล่อ
ขณะที่ชายหนุ่มดูดซึมมันเข้าไปนั้น ร่างสารัตถะภายใต้เกราะมหาจักรพรรดิของเขา ซึ่งตอนแรกมีร่องรอยแตกร้าวอยู่เต็มไปหมดก็ฟื้นฟูขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ยิ่งไปกว่านั้น ขณะที่รัศมีแห่งความตายไหลบ่าเข้าท่วมกาย แม้ว่าพลังปราณของหวังเป่าเล่อจะไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่ก็มีผลช่วยให้พลังปราณของเขาคงที่!
อาจกล่าวได้ว่าหวังเป่าเล่อคนก่อนเสียการควบคุมปราณที่สั่งสมไว้ไปเพราะระดับพลังปราณของเขาเพิ่มสูงขึ้นเร็วเกินไป ทำให้ไม่อาจจัดการได้อย่างเต็มที่ ทำให้แม้ระดับพลังปราณจะดูเหมือนอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลาย แต่ยังไม่อาจต่อสู้ได้อย่างเต็มกำลัง แต่ตอนนี้…ภายใต้การเกื้อหนุนของรัศมีแห่งความตาย ปัญหาทุกอย่างในอนาคตที่อาจเกิดขึ้นจากการเพิ่มพูนพลังปราณอย่างรวดเร็วก็จะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป!
ขณะที่กำลังแก้ไขอยู่นั่นเอง ก็มีพลังคลื่นแทรกปราณระเบิดออกมาจากกายเขา ทั้งยังมีสัมผัสแห่งพลังและความแข็งแกร่งที่แผ่ออกมาจากทุกอณูของกายเขาก่อนจะไหลบ่าเข้ารวมกับดวงจิตของชายหนุ่มอีกด้วย ทำให้หวังเป่าเล่อถึงกับต้องยกศีรษะขึ้นคำรามอย่างสุดจะควบคุม
เมื่อเสียงคำรามดังสนั่นออกไป พายุหมุนรอบกายก็พัดหนักอีกครั้ง และรัศมีแห่งความตายจำนวนมากก็พวยพุ่งออกมาราวกับว่ามันมีปริมาณไร้ขีดจำกัด ทั้งยังคล้ายว่ารัศมีแห่งความตายนี้มีปัญญาวิญญาณเป็นของตัวเอง และเริ่มหงุดหงิดจากการติดอยู่ในมิติแห่งความมืดนานเกินไป มันจึงอยากมาเป็นส่วนหนึ่งของหวังเป่าเล่อ และติดตามเขาออกไปเห็นดวงอาทิตย์อีกครั้งนั่นเอง!
ดังนั้นในขณะที่คลื่นเสียงครั่นครืนของอัสนีสวรรค์ดังอยู่ไม่หยุดหย่อน พายุหมุนก็ใหญ่ขึ้นทุกทีๆ และรอยฉีกทุกแห่งบนกายหวังเป่าเล่อก็สมานกันเป็นที่เรียบร้อย เมื่ออาการบาดเจ็บทั้งภายในและภายนอกหายดี ระดับพลังปราณของเขาก็คล้ายกับว่ากลับไปอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายอีกครั้ง ถึงกระนั้น…เพราะการผสานรวมกันของหยินและหยาง ทำให้พลังปราณของหวังเป่าเล่อขณะนี้หนักแน่นราวหินผา!
ในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นปัจจุบัน แม้จะมีผู้อยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะที่ระดับปราณมั่นคงใกล้เคียงกับหวังเป่าเล่ออยู่ก็ตาม ทว่า…พวกเขาเหล่านั้นก็มาจากขั้วอำนาจอันยิ่งใหญ่หรือตระกูลดัง เรียกได้ว่าคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด
มีเพียงตระกูลใหญ่ๆ เช่นนั้นที่จะสามารถฝึกปรือศิษย์และคาดหวังให้พวกเขาแบกรับความหวังของตระกูลเอาไว้ได้ นอกจากนั้น มีไม่กี่คนในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นแห่งนี้ที่จะเป็นเช่นหวังเป่าเล่อได้ คือสามารถสร้างรากฐานอันมั่นคงราวหินผาหลังจากที่เพิ่งจะควบรวมหยินและหยางเข้าด้วยกันไปหมาดๆ!
อันที่จริง หวังเป่าเล่อไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งนี้คือวัตถุประสงค์ของศิษย์พี่เฉินชิงของเขา เมื่อครั้งที่เฉินชิงพาหวังเป่าเล่อออกจากสหพันธรัฐเพื่อไปยังสถานที่นัดพบลับของสำนักแห่งความมืด เขาก็ตั้งใจจะให้หวังเป่าเล่อใช้พลังของมิติแห่งความมืดเพื่อสร้างร่างกายดุจหินผาหลังจากที่ชายหนุ่มบรรลุระดับดาวพระเคราะห์แล้ว
ถึงแม้จะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นระหว่างกระบวนการนั้น ส่งผลให้หวังเป่าเล่อยังไม่บรรลุระดับดาวพระเคราะห์ แต่สถานการณ์ปัจจุบันก็ไม่ต่างจากแผนของเฉินชิงนัก เพราะหวังเป่าเล่อ ที่ตอนนี้สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในระดับปราณ ก็ได้รับอานิสงส์โดยหารู้ไม่ว่านี่เป็นแผนของศิษย์พี่ที่วางเอาไว้ ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มก็เปรียบเทียบตนเองกับผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายที่เพิ่งจะได้พบตอนทำภารกิจของปรมาจารย์แห่งไฟ
หวังเป่าเล่อเข้าใจอย่างชัดแจ้งว่าก่อนหน้านี้ตนเองมีระดับเกือบเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายหากไม่นับความช่วยเหลือจากสมบัติเวทอื่นๆ ด้วย และหลังจากที่ได้ซึมซับรัศมีแห่งความตายมาแล้ว ชายหนุ่มก็รู้สึกราวกับมีมังกรและพยัคฆ์ผสานรวมกันอยู่ในกาย…ต่อให้ปราศจากความช่วยเหลือจากเกราะมหาจักรพรรดิและสมบัติเวทอื่นๆ เขาก็ยังสามารถสังหารผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายได้ด้วยพลังของตนเอง!
และหวังเป่าเล่อยังมั่นใจอีกด้วยว่ากระบวนการนี้จะใช้เวลาไม่นานเท่าใด ดังนั้น ในชั่วพริบตา ชายหนุ่มจึงได้ตัดสินใจว่า เมื่อใดก็ตามที่ระดับปราณของเขาบรรลุถึงระดับดาวพระเคราะห์ เขาก็จะเข้าไปยังมิติแห่งความมืดและดูดซับรัศมีแห่งความตายอีกครั้ง หวังเป่าเล่อจะสามารถปล่อยให้พลังปราณของตนมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ และก้าวพ้นคนอื่นไปได้ด้วยวิธีนั้นนั่นเอง!
ขณะที่ข้า…สวมเกราะอยู่ ข้าจะสามารถรับมือกับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ได้หรือไม่นะ หวังเป่าเล่อตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เพราะเขายังไม่เคยปะทะกับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์มาก่อน ชายหนุ่มทำได้เพียงคาดคะเนอยู่ในใจ คำตอบสุดท้ายที่ได้มาก็คือ…
หากตัดสินจากการปะทะกับผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นที่ข้าพบระหว่างภารกิจของปรมาจารย์แห่งไฟ…หากข้าสวมเกราะมหาจักรพรรดิ ต่อให้ล้มพวกเขาไม่ได้ ก็คงแทบเป็นไปไม่ได้ที่ผู้อยู่ระดับดาวพระเคราะห์ชั้นต้นจะสังหารข้าได้!
เมื่อเข้าใจเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็หัวเราะออกมาเสียงดัง ในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มก็เห็นว่า ร่างกายของเขาเริ่มซึมซับรัศมีความตายได้ช้าลง เขารู้แล้วว่าร่างกายตนเริ่มถึงขีดจำกัด หวังเป่าเล่อไม่อยากดึงดันต่อจนกระทั่งเสี่ยงเสียสมดุลหยิน-หยางไป นัยน์ตาของชายหนุ่มส่องประกาย เขาหยุดการซึมซับลงด้วยความมั่นใจ เมื่อชายหนุ่มก้มศีรษะลงมองรูปปั้น จู่ๆ ก็มีความรู้สึกอยากจะซ่อนมันเอาไว้ให้พ้นสายตา
แต่รูปปั้นนั้นช่างประหลาดและไม่สามารถเอาเข้ากระเป๋าคลังเก็บได้ แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะรู้สึกว่าน่าเสียดาย แต่การทิ้งรูปปั้นเอาไว้ในมิติแห่งความมืดก็คงไม่เสียหายอะไร ดังนั้นชายหนุ่มจึงใช้ผนึกฝ่ามือด้วยมือทั้งสองข้างและใช้วิชาแห่งศาสตร์มืดผนึกรูปปั้นเอาไว้อีกครั้ง หลังจากที่จัดวางคลื่นพลังรบกวนแห่งความมืดของตนเองเพื่อให้หารูปปั้นเจอทันทีที่กลับมา หวังเป่าเล่อก็สูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะเงยศีรษะขึ้นมองไปยังความเวิ้งว้างเบื้องบน
ได้เวลาที่ข้าจะออกจากที่นี่แล้ว!
เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็หรี่ตาลง แม้ว่าร่างกายของชายหนุ่มจะหายดีแล้ว เขาก็ยังไม่ปลดเกราะมหาจักรพรรดิออก ในวินาทีนั้น พลังปราณของเขาก็ทะลักออกมาภายนอก และมีคลื่นพลังปราณแทรกแซงที่เทียบเท่ากับขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลาย แต่อาจจะทำให้เพื่อนร่วมระดับปราณตกตะลึงเพราะความเข้มข้นของมันพุ่งทะยานออกมาจากกาย และภายใต้พลังเสริมจากเกราะมหาจักรพรรดิของเขา คลื่นพลังแทรกแซงนั้นก็ระเบิดออกมาอีกคำรบ อันที่จริงแล้ว นอกจากเรื่องที่ว่าหวังเป่าเล่อยังไม่มีพลังกดดันพิเศษที่ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ได้รับหลังจากที่กลืนกินดาวเคราะห์เข้าไป ชายหนุ่มก็ไม่ได้อยู่ห่างไกลจากคนเหล่านั้นเท่าใดนัก
ภายใต้แรงระเบิดนั้น เงาของเขาก็พุ่งทะยานไปบนท้องฟ้าราวกับเป็นดาวหางที่เคลื่อนที่เร็วขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ชายหนุ่มเร่งความเร็วออกไป หมอกจากมิติแห่งความมืดก็ติดตามร่างกายของเขามาและหมุนวน ราวกับว่าจะมาส่งหวังเป่าเล่อกระนั้น ส่งผลให้ชายหนุ่มเดินทางเร็วขึ้นไปอีก เมื่อความเร็วเพิ่มไปถึงจุดสูงสุด ก็เกิดเสียงกัมปนาทราวสายฟ้าฟาดดังก้องไปทั่วบริเวณ เหมือนว่าความว่างเปล่าได้ระเบิดเป็นเสี่ยงๆ พายุหมุนที่พุ่งทะยานเป็นทางสู่โลกภายนอกปรากฏขึ้นตรงหน้าหวังเป่าเล่อขณะที่เขาเร่งความเร็วออกไป
ร่างของชายหนุ่มพุ่งเข้าไปในพายุหมุนโดยไม่รอช้า ชายหนุ่มหนีออกจากนพภูมิของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ และเมื่อมาปรากฏตัวอีกครั้ง…เขาก็อยู่ในจักรวาลบริเวณนอกดาวเอกดวงเนตรสวรรค์เรียบร้อย!
จักรวาลเลื่อนลั่น มีอักขระโบราณกระจายไปทั่วบริเวณ สร้างพลังแทรกแซงที่มองเห็นได้ไกลหลายสิบกิโลเมตรออกมา แน่นอนว่าพลังนี้ย่อมต้องไปเตะตาบรรดาผู้ฝึกตนจากสามสำนักหลักที่ประจำอยู่นอกดาวเอกดวงเนตรสวรรค์แน่อันที่จริงแล้ว กระทั่งบรรดาผู้ฝึกตนที่อยู่บนพื้นผิวดาวเอกดวงเนตรสวรรค์ก็ยังมองเห็นความเปลี่ยนแปลงในจักรวาลเมื่อแหงนหน้าขึ้นมอง
แต่ขณะนี้…ดาวเอกดวงเนตรสวรรค์ทั้งดวงกลับเงียบสนิท กองทหารของสามสำนักหลักที่เคยตั้งอยู่ที่นั่น…กลายเป็นละอองฝุ่นนับไม่ถ้วนที่ล่องลอยอย่างเงียบงันอยู่ในห้วงอวกาศ…
ศีรษะหนึ่งที่ดวงตาเบิกโพลงอย่างน่าเวทนา ลอยเคว้งผ่านหน้าหวังเป่าเล่อไปช้าๆ!
……………………