เมื่อกัวหรานกล่าวจบ เขาได้ลูบไปที่แหวนมิติหนึ่งครั้ง ก็มีหน้าไม้ขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมา เรียกได้ว่าแตกต่างไปจากธนูหน้าไม้ทั่วไปโดยสิ้นเชิง ที่ส่วนหน้าด้ามจับของหน้าไม้คันนี้ มีลักษณะเป็นแนวเส้นตรง
ด้านบนของด้ามจับมีสายธนูสีทองอยู่เส้นหนึ่ง ส่วนปลายด้ามจับทั้งสองข้างก็มีล้อเลื่อนกลมๆอยู่ 2 ชิ้น บนตัวธนูมีสายพันกันยุ่งเหยิงไปหมด
หน้าไม้คันนี้มีความยาวที่มากถึงเจ็ดเซียะ มีความสูงในระดับที่เท่ากับคนทั่วๆไป ตัวหน้าไม้ตีขึ้นโดยหลักร้อยเหล็กหลอม จนสว่างไสวเป็นอย่างยิ่ง และมีน้ำหนักที่มากจนน่าตกใจเลยทีเดียว
กัวหรานทอสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องขึ้นมา เดิมทียังคิดที่จะใส่ลูกเล่นไม้ตายเพิ่มอีกหลายอย่าง ทว่าเนื่องจากจะทำให้หน้าไม้มีน้ำหนักมากเกินไป จนกลัวจะถือไม่ไหวจนต้องตั้งอยู่บนพื้นเท่านั้น
“แค๊กแค๊ก พี่ใหญ่ ข้าได้คิดค้นหน้าไม้ชนิดใหม่ขึ้นมา มันถูกเรียกว่าทลายพยัคฆ์ ท่านมาช่วยข้าลองแผลงศรออกไปซักดอกหน่อยเถอะ” กัวหรานได้กล่าวขึ้นมาด้วยความกระอักกระอ่วน
หลงเฉินทำหน้าหัวเราะไม่ออกร่ำไห้ก็ไม่ได้กล่าวขึ้นว่า “คงไม่ได้หรอก หากแม้แต่หน้าไม้ที่เจ้าคิดค้นขึ้นเองก็ยังหยิบจับได้ไม่คล่อง แล้วเจ้าจะโค่นศัตรูได้อย่างไรกัน ? เจ้าพอที่จะทำให้มันเบาลงหน่อยไม่ได้หรือไง ? ”
กัวหรานกล่าวขึ้นมาด้วยใบหน้าที่ขมขื่น “เดิมทีข้าเองก็ตั้งใจที่จะทำให้มันเบาลงบ้าง แต่ว่าเพื่อเพิ่มพูนพลังทำลายให้มากขึ้น ตัวหน้าไม้จำเป็นที่จะต้องมีความแข็งกล้าที่เพียงพอ ไม่เช่นนั้นแล้วก็แทบจะไม่อาจเกิดผลลัพธ์เช่นนั้นขึ้นมาได้”
“ได้ มาให้ข้าลองทดสอบหน้าไม้นี้ของเจ้าดูหน่อย”
เมื่อหลงเฉินจึงได้ยื่นมือเข้าไปจับ มือเขาถึงกับสั่นขึ้นมา ไม่แปลกใจเลยที่แม้แต่กัวหรานเองที่อยู่ในขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นก็ยังไม่อาจที่จะหยิบถือขึ้นมาได้ เพราะหน้าไม้ใหญ่คันนี้มีน้ำหนักที่มากถึงเจ็ดแปดสิบชั่ง
“เด็กน้อยที่ดี ช่างมีน้ำหนักที่มากเสียจริงนะ ส่วนของพลังทำลายก็อย่าได้ทำให้ข้าผิดหวังไปละ”หลงเฉินพลิกไปพลิกมา สำหรับเขาถึงแม้ว่าจะไม่เป็นอะไร แต่ว่าหากมองในมุมของยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นโดยทั่วไป ก็แทบไม่สามารถที่จะที่จะยกขึ้นมาได้
“พี่ใหญ่วางใจเถอะ แม้แต่ท่านผู้อาวุโสชางหมิง ยืนยันกับข้าเอง ทั้งยังกล่าวชมเชยไม่ขาดปาก” กัวหรานได้กล่าวขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ
“ท่านผู้อาวุโสชางหมิงก็เคยเห็นหน้าไม้คันนี้ด้วยอย่างงั้นหรือ ? ” หลงเฉินเกิดสงสัย
“ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เขายังได้เคยลองยกของข้าอีกด้วย” กัวหรานกล่าวเสริมขึ้นมา
“เขาว่าอย่างไรบ้าง?”
“ท่านผู้เฒ่าได้กล่าวว่า ลูกเต่าอย่างข้าก็ไม่เลวเลยทีเดียว เหว่ย พี่ใหญ่ท่านอย่าได้ดูแคลนข้าไปเชียวละ ท่านผู้อาวุโสชางหมิงที่เป็นถึงผู้หลอมศาสตราวุธอันดับหนึ่งแห่งหมู่ตึก ยังถึงกับชมเชยข้าไม่หยุดไม่หย่อนเลยนะ” เมื่อได้พบเห็นใบหน้าที่ดูแคลนของหลงเฉินมองมา กัวหรานจึงได้กล่าวออกมาด้วยความไม่พอใจ
“ถือว่าไม่เลวเลย ท่านผู้อาวุโสชางหมิงที่ถือได้ว่าเป็นคนทระนง แน่นอนว่าย่อมไม่ชมเชยผู้ใดอย่างง่ายดาย การที่กล่าวชมลูกเต่าเช่นเจ้าก็ถือได้ว่าเป็นการยืนยันอย่างหนึ่งแล้ว” หลงเฉินพยักหน้าเล็กน้อยแล้วกล่าว
“นั่นย่อมแน่นอน เพราะนอกจากที่ท่านผู้อาวุโสได้ชมเชยข้า ยังได้กล่าวว่าสายธนูของข้านั้นใช้ไม่ได้ จึงได้มอบสายธนูมาให้แก่ข้าอยู่หลายเส้น เหอะเหอะ นี่ถึงขั้นที่ทำให้ทลายพยัคฆ์ของข้า ยิ่งทวีความแข็งแกร่งมากขึ้นด้วย” กัวหรานก็ได้กล่าวออกมาพร้อมกับทอสีหน้าตื่นเต้น
สายธนูที่ชางหมิงได้มอบให้แก่เขา เป็นเส้นเงินที่ตัวเขาได้ทำการทอขึ้นมาเองกับมือ เส้นเงินชนิดนี้ถือได้ว่าเป็นโลหะที่มีความยืดหยุ่นเป็นอย่างยิ่ง แต่กลับมีความเหนียวทนทานจนเป็นที่น่าตกใจ หากนำมาใช้เพื่อเป็นสายธนู ก็ถือได้ว่าไม่มีอะไรที่ดีไปกว่านี้แล้ว
แต่โลหะที่ใช้ทำเป็นเส้นเงินนั้นถือได้ว่าเป็นสิ่งล้ำค่าอย่างยิ่ง กัวหรานจึงไม่มีความสามารถที่จะหามาได้ อีกทั้งต่อให้ได้รับมา ด้วยความสามารถอันน้อยนิดของนั้นของเขา ก็ย่อมไม่อาจที่จะเสริมแต่งอะไรเข้าไปได้อยู่แล้ว
ดังนั้นเมื่อได้รับสายธนูมาจากชางหมิง เขาไม่เพียงแต่เกิดความรักความถนอมอย่างเดียวเท่านั้น กลับยิ่งเพิ่มพูนความภาคภูมิใจให้แก่เขาอีกด้วย
คิดไม่ถึงว่าชางหมิงจะต้องตาหน้าไม้ของเขาถึงเพียงนี้ หลงเฉินเองก็พยายามดูหน้าไม้ด้ามนี้ ว่าแท้จริงแล้วจะมีความพิเศษพิสดารอะไรแฝงอยู่
เมื่อได้รั้งสายของหน้าไม้ออกมา ระหว่างที่หลงเฉินออกแรง ที่ด้ามของหน้าไม้ก็ได้เกิดความเคลื่อนไหวไปตัวลูกกลิ้งทั้งสองลูกเล็กน้อย เดิมทีสายธนูที่ดูระเกะระกะ ก็ได้เริ่มที่จะค่อยๆยืดขึ้นมา
“เด็กน้อยที่ดี หลักเหตุผลของเจ้าถือได้ว่าประหลาดยิ่งนัก”
หลงเฉินเองก็มองออกว่ากัวหรานได้ใช้หลักการที่พิสดารชนิดหนึ่งออกมา บวกกับการได้เพิ่มพลังจากแรงหมุนของลูกกลิ้ง กลายเป็นว่าเวลาดึงสายช่วยทำให้ง่ายขึ้นเป็นอย่างมาก
การที่สามารถรั้งดึงสายได้อย่างง่ายดาย ทำให้เวลาที่ปล่อยสายธนูไป ลูกกลิ้งก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิมภายในพริบตา และจะทำให้สายธนูยิ่งเพิ่มพลังมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม นี่ถือได้ว่าเป็นกลไกที่ประหลาดพิศดารอย่างยิ่ง
“เหอะเหอะ ครั้งก่อนที่พี่ใหญ่ เคยบอกกับข้ามาก่อนแล้วว่า พรสวรรค์เชิงยุทธ์ของข้านั้นธรรมดา แต่ถ้าหากมีเส้นทางสายอื่น ขอเพียงมุ่งมั่นย่อมก่อให้เกิดผลได้
หลังจากที่ข้าได้คิดทบทวนคำพูดของพี่ใหญ่ ข้าก็คิดว่าไม่เลวเลย เกิดเป็นคนไม่จำป็นต้องเดินอยู่บนเส้นทางสายเดียว ยังไงเสียก็ต้องลองค้นหาสิ่งที่เหมาะสมกับตัวเองดู
สิ่งนี่เองทำให้ข้าเกิดความหลงใหลในหลักการกลไก ถึงแม้ว่าข้าจะเรียนรู้ได้ไม่ถึงกับล้ำลึกมากนัก ทว่าข้าเองก็เกิดความชอบในสิ่งนี้ ในบางครั้งแม้แต่ยามหลับฝันก็ยังฝันว่ากำลังอะไรบางอย่างอยู่
การต่อสู้ครั้งนี้ทำให้ข้าได้รับบทเรียนมาอย่างมากมาย ดังนั้นข้าขอสาบานเอาไว้ว่า ในภายภาคหน้าข้าจะต้องกลายเป็นช่างตีเหล็กอันดับหนึ่งให้ได้ ! ” กัวหรานกล่าวพร้อมกับเกิดความเชื่อมั่นอยู่เต็มใบหน้า
เมื่อนึกถึงการหยอกล้อก่อนหน้านี้ เขาคิดไม่ถึงว่ากัวหรานจะถึงกับฝังใจมากถึงเพียงนี้ จนหลงเฉินรู้สึกไม่ถูกต้องขึ้นมา
“น้องพี่ข้าต้องขอโทษด้วยนะ ข้าไม่สมควรที่จะเยาะเย้ยเจ้าเลย”
กัวหรานหัวเราะฮาฮาขึ้นมาแล้วกล่าว “พี่ใหญ่กล่าวอะไรกัน ข้าทราบว่าท่านกล่าวหยอกล้อกับข้าเท่านั้นเอง”
หลงเฉิน : “ไม่ ข้ากล่าวจริงจังจริงๆนะ”
กัวหราน : “……”
หลงเฉินเองก็หยุดกล่าวหยอกล้อ จากนั้นก็ได้ออกแรงดึงสายธนูออก สิ่งทำให้หลงเฉินต้องตกใจขึ้นมาก็คือ แม้ว่าจะมีลูกกลิ้งคอยช่วยเหลือ แต่เมื่อรั้งดึงจนถึงท้ายที่สุดก็ยังจำเป็นที่จะต้องใช้พลังที่มหาศาลอีกมากมายด้วย
“โครม”
เมื่อได้เห็นสายธนูกับตัวด้ามถูกดึงรั้งขึ้นจนตึง สายหน้าไม้ที่ติดอยู่ด้านบนของคาน โค้งงอจนคล้ายดั่งจันทราเต็มดวง แม้แต่หลงเฉินเองก็ยังเกิดอาการขนลุกขึ้นมาเป็นสาย
ลูกศรที่เปี่ยมไปด้วยพลังอันมหาศาลเช่นนี้ มันน่าสะพรึงมาก แทบจะเรียกได้ว่าเอาชีวิตคนได้อย่างง่ายดายเลยทีเดียว
“กัวหราน หน้าไม้ด้ามนี้ เจ้าอย่าได้เพิ่งรีบนำไปใช้ หากว่ายังไม่มีพลังเรี่ยวแรงที่มากถึงยี่สิบหมื่นชั่ง ก็จงอย่าได้คิดที่จะรั้งดึงสายธนูไปจนสุดโดยเด็ดขาด” หลงเฉินกล่าวขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง
กัวหรานกล่าวขึ้นมาด้วยใบหน้าที่ขมขื่น “นี้ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ข้าปวดเศียรเวียนเกล้ามากที่สุดแล้ว เส้นรากปราณของข้านั้นเพียงแค่ระดับสามัญเป็น ร่างกายเองก็สามัญธรรมดา พลังจิตวิญญาณก็ธรรมดาสามัญ เมื่อรวมเข้าด้วยกันก็จะกลายเป็นยิ่งปกติธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อได้สร้างหน้าไม้ทลายพยัคฆ์ที่สุดยอดอย่างถึงที่สุดขึ้นมาได้ เดิมทียังคิดว่าสามารถที่จะสังหารผู้อยู่เหนือขอบเขตได้ซักคนสองคน แต่ว่า……ข้ากลับไม่อาจที่จะควบคุมไปเสียได้ ช่างเป็นความขมขื่นนับตั้งแต่กำเนิดเกิดมายิ่งนัก ! ”
“สามารถที่จะฆ่าผู้อยู่เหนือขอบเขตได้ด้วยอย่างงั้นหรือ ? ” หลงเฉินตื่นตกใจขึ้นมา
กัวหรานเองก็ได้กล่าวขึ้นมาด้วยความภาคภูมิใจว่า “ตอนนี้อาจจะเป็นเพียงความหวังลมๆแล้งๆ แต่ข้าเชื่อมั่นว่าต้องมีซักวันที่จะทำให้สมบูรณ์แบบขึ้นมาได้ และย่อมต้องสังหารผู้อยู่เหนือขอบเขตได้อย่างแน่นอน”
“พี่ใหญ่ ข้าจะไปเอาลูกดอกหน้าไม้ให้แก่ท่าน”
กัวหรานกล่าวจบ ก็ได้เข้าไปภายในถ้ำแบกลูกธนูของหน้าไม้ชิ้นหนึ่งออกมา หลงเฉินเมื่อได้มองดูอย่างละเอียดแล้ว ก็คิดขึ้นว่านี่มันใช่ลูกธนูของหน้าไม้ที่ไหนกัน เห็นๆกันอยู่ว่าเป็นหอกสั้นเล่มหนึ่ง
หอกสั้นนี้มีความยาวถึงหกเซียะ มีความหนาเท่าไข่ห่าน เมื่อได้เห็นกัวหรานแบกมันออกมา ก็ทราบว่าของเล่นชิ้นนี้เอาเรื่องเลยทีเดียว
เมื่อได้ลองใช้มือยกขึ้นเพื่อวัดน้ำหนัก อย่างน้อยก็ต้องมีน้ำหนักถึงหนึ่งหมื่นกว่าชั่งแน่นอน บนลูกและธนูหน้าไม้ยังได้ถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยหลุมเล็กหลุมน้อยอย่างถี่ยิบ
เมื่อได้มองไปที่ร่องหลุมเหล่านี้ หลงเฉินก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวชมเชยขึ้นมา : “กัวหราน เจ้าช่างมีพรสวรรค์เสียจริง”
“พี่ใหญ่ ท่านทราบด้วยอย่างงั้นหรือว่าหลุมเหล่านั้นมีไว้ทำอะไร ? ” กัวหรานเกิดอาการตกใจขึ้นมา
“ถ้าหากข้าเดาไม่ผิดแล้วละก็ หลุมเหล่านี่มีไว้เพื่อลดทอนแรงต้านของลม และช่วยลดทอนการเสียงขึ้นสินะ” หลงเฉินกล่าว
สิ่งของเช่นนี้เมื่อได้ถูกดีดตัวออกไปด้วยความเร็วสูง จะทำให้เกิดแรงต้านจากสภาวะอากาศกดดันเอาไว้ จนเกิดเป็นดั่งเสียงระเบิด นี่ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในหลักการของวัตถุทางกายภาพ
บนตัวลูกธนูหน้าไม้ ที่ปกคลุมไปด้วยหลุม ช่วยทำให้ลดทอนเสียงที่เกิดขึ้นมาได้ ในเวลาเดียวกันก็ยังสามารถที่จะลดทอนการสัมผัสจากสภาวะอากาศให้เหลือน้อยลงได้อีกด้วย
ลูกธนูหน้าไม้ที่แข็งแกร่งดอกนี้ หากถูกปล่อยออกไปโดยไร้สุ่มเสียงไร้ร่องรอย กว่ารอคอยจนตรวจพบได้ ลูกธนูก็ถึงตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“พี่ใหญ่ก็ยังคงเป็นพี่ใหญ่ นี่ถือเป็นสิ่งที่ข้าคิดค้น ทั้งยังได้ทำการวิจัยอยู่นาน จึงสามารถทำให้เกิดผลลัพธ์เช่นนี้ขึ้นมาได้ แต่ท่านมองเพียงแค่คราเดียวก็มองออกได้อย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว” กัวหรานอดไม่ได้ที่จะต้องทอสีหน้านับถือเลื่อมใสพร้อมกับกล่าวออกมา
“เอาเถอะ พวกเราชายชาตรีก็อย่าได้มัวแต่ชมกันไปชมกันมาอีกเลย ออกไปทำการทดลองพลังทำลายกันเถอะ” หลงเฉินกล่าว
ทั้งสองคนก็ได้ออกไปจากหมู่ตึก เสาะหาภูเขาเล็กๆแห่งหนึ่ง ภูเขาเล็กๆลูกนี้ที่มีความสูงประมาณสิบจั้ง แท้จริงแล้วก็คือภูเขาศิลาลูกหนึ่งนั้นเอง
“เป็นมันก็แล้วกัน”
หลงเฉินก็ได้ยกหน้าไม้ขึ้นมา ทำการเล็งไปที่ภูเขาลูกเล็กที่อยู่ห่างออกไปสิบลี้ ใช้มือขวาดึงไปที่ตะขอเกี่ยว
ลูกธนูหน้าไม้ลอยออกไปประดุจสายฟ้าแลบสายหนึ่ง ในช่วงพริบตาเดียวที่ลูกธนูหน้าไม้ได้ลอยออกไป หลงเฉินก็รู้สึกได้ถึงพลังไหลย้อนกลับที่รุนแรงขุมหนึ่งขึ้นมาได้ ถึงกับทำให้ถอยหลังไปหลายสิบก้าวจนไม่อาจที่จะทรงตัวอยู่ได้
“ตูม”
ภูเขาเล็กที่อยู่ห่างออกไปลูกนั้นก็ได้เกิดเสียงระเบิดดังขึ้น ทั่วทั้งภูเขาลูกเล็กๆก็ได้ถูกทำลายจนแหลกลานไปด้วยพลังอันน่าหวาดกลัว และถูกปกคลุมไปด้วยม่านฝุ่น
“เจ้าหนูยอดเยี่ยมยิ่งนัก”
หลงเฉินกับกัวหรานต่างก็มองทุกสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยอาการอ้าปากตาค้าง กัวหรานกลับยิ่งทวีความตกใจมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม
ถึงแม้ว่าหรานจะเป็นคนคิดค้นขึ้นมา แต่กัวหรานกลับยังไม่มีพลังความสามารถพอที่จะดึงลูกศรได้ด้วยตัวเอง วันนี้จึงถือได้ว่าเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นผลลัพธ์นี้เกิดขึ้น
บนลูกธนูหน้าไม้มิได้ติดเครื่องมือที่ทำให้ระเบิดขึ้นมา แต่ทั้งหมดเกิดขึ้นมาจากแรงเฉื่อยที่อยู่บนตัวของลูกธนูหน้าไม้โดยทั้งสิ้น ทั้งยังได้ทำให้ภูเขาศิลาลูกนี้ระเบิดราบเป็นหน้ากอง ถือได้ว่าเป็นพลังทำลายที่ทำให้น่าตระหนกเป็นอย่างยิ่ง
สิ่งที่ทำให้ต้องตกใจที่สุดก็คงจะเป็น ในยามที่ลูกธนูหน้าไม้นั้นได้ลอยออกไป กลับไม่มีสภาวะอะไรเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย
“ธนูลับทำร้ายคน*”
*เป็นคำเปรียบเทียบกับแผนการ หรือพฤติกรรมลอบทำร้ายผู้อื่น
หลงเฉินกับกัวหรานก็ได้สบตามองกัน พร้อมกับหัวเราะดังเหอะเหอะ ถึงกับกล่าวทั้งสี่คำนี้ออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
เมื่อทั้งสองคนกล่าวจบ ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะฮาฮาขึ้นมายกใหญ่ เมื่อกัวหรานมีเครื่องมือสังหารเช่นนี้แล้ว การสังหารทำร้ายผู้คนย่อมมีความเป็นไปได้ที่สูงจนน่าตกใจเลยทีเดียว
ทว่าหัวเราะไปหัวเราะมา กัวหรานก็หัวเราะต่อไปไม่ออกแล้ว ต่อให้เป็นสิ่งของที่สุดยอดกว่านี้ แต่หากใช้ไม่ได้ก็ไม่มีความหมายอะไร
ถึงแม้หลงเฉินจะสามารถใช้ได้ แต่ที่ผ่านมาหลงเฉินเป็นคนที่ต้องวิ่งออกไปแนวหน้าเป็นคนแรก จึงแทบไม่มีโอกาสที่จะใช้สิ่งของเช่นนี้อยู่แล้ว
หลงเฉินก็ได้ตบไปที่บ่าของกัวหรานแล้วกล่าวขึ้นมาว่า “วางใจเถอะ เรื่องนี้มอบให้แก่ข้าเอง ข้าจะช่วยเจ้าจัดการเอง”
“จริงหรือ?” กัวหรานดีใจขึ้นมายกใหญ่
“ข้าเคยหลอกเจ้าด้วยอย่างงั้นหรือ ?” หลงเฉินกล่าวขึ้นมาด้วยอาการไม่สบอารมณ์
“ทว่ามีอยู่บางจุดที่จำเป็นที่จะต้องบอกกับเจ้าให้เข้าใจก่อน ขอเพียงเจ้าสามารถที่จะคงวิถีแห่งใจได้อย่างมั่นคง ข้าก็สามารถรับรองว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่มีสิ่งใดขวางกั้นได้การพัฒนาได้”
“เป็นไปได้อย่างไรกัน?” กัวหรานทอใบหน้าไม่อยากที่จะเชื่อพร้อมกับกล่าวออกมา
ชั่วชีวิตนี้จะไม่มีสิ่งใดขวางกั้นได้ ต่อให้เป็นเทพ ก็ใช่ว่าจะสามารถทำได้ !
“ขอเพียงเจ้าสามารถที่จะทำให้วิถีแห่งใจของเจ้ามั่นคงเอาไว้ได้ ข้าก็สามารถที่จะทำได้” หลงเฉินกล่าวขึ้นมาด้วยความมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง
“พี่ใหญ่ อะไรคือสิ่งที่เรียกกันว่าวิถีแห่งใจ ?” กัวหรานเอ่ยถามขึ้นมา
“สิ่งที่เรียกกันว่าวิถีแห่งใจ ก็คือความศรัทธาชนิดหนึ่ง เมื่อเจ้ามีความเชื่อมั่นในจิตใจขึ้นมาจริง ก็จะไม่เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล
แต่ว่าความศรัทธาของทุกๆคนนั้นหาได้มีเหมือนกันไม่ ยกตัวอย่างเช่นเจ้าที่มีความศรัทธาต่อการประศิษฐ์และกลไลของเจ้าในตอนนี้ เจ้าเชื่อมั่นว่าเจ้านั้นมีความเฉลียวฉลาด สามารถที่จะก้าวข้ามความยากลำบากไปได้ จนสามารถที่จะกลายเป็นเทพแห่งการหลอมที่ผู้คนต่างก็ศรัทธาเลื่อมใส
นี้ก็คือจิตใจของเจ้า ขอเพียงมีจิตใจที่มุ่งมั่นไม่หวั่นไหว ข้าสามารถที่จะใช้ยาโอสถ เพื่อช่วยสนับสนุนเจ้าให้เพิ่มพูนพลังขอบเขตไม่หยุดเอง
แต่ว่าเมื่อวันที่วิถีแห่งใจของเจ้าเกิดปัญหาขึ้นมา เจ้าจะกลายเป็นว่าเจ้าเลือกที่เกิดความรู้สึกสงสัยและมืดมนในตัวของเจ้า จนทำให้เจ้าหยุดที่จะฝึกปรือไปโดยตลอดกาล” หลงเฉินกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมเป็นอย่างยิ่ง
วิถีแห่งใจของของทุกคนก็แตกต่างกัน มีคนเชื่อมั่นในสายเลือดของตนเอง มีคนที่เชื่อมั่นในวิชาทักษะของตนเอง มีคนเชื่อมั่นในสิ่งที่สืบทอดกันมาของตนเอง มีคนเชื่อมั่นว่าตนเองก็คือผู้มีพรสวรรค์ที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นวิถีแห่งใจชนิดใด ต่างก็จำเป็นที่จะต้องมีการขัดเกลาไม่หยุด มีผู้คนมากมายที่ในระหว่างการขัดเกลา ยิ่งมากก็ยิ่งเกิดความไม่เชื่อมั่นขึ้นมา จนท้ายที่สุดไม่ทราบว่าตนเองแท้จริงแล้วเชื่อมั่นในสิ่งใดกันแน่ จนกลายเป็นสูญเสียหลักแห่งเชื่อไป
ต่อให้เป็นคนที่มีจิตใจที่มุ่งมั่น หลังจากที่ได้รับความล้มเหลวอย่างรุนแรงขึ้นมา จิตใจก็ย่อมที่จะยากที่จะรักษากลับมาดั่งเดิมได้ จึงสูญเสียโอกาสที่จะได้กลายเป็นสุดยอดฝีมือไป
และวิถีแห่งใจของกัวหรานนี้ถือได้ว่าอยู่ในขั้นวิกฤติเป็นอย่างยิ่ง เพราะด้วยความเชื่อมั่นที่มีอยู่แต่เดิมของเขาเอง จนวันหนึ่งเขากระจ่างแจ้งต่อการประดิษฐ์ จนหลงงมงายและละทิ้งวิถีแห่งยุทธ์ไป เมื่อวันหนึ่งลืมเลือนไป ก็จะกลายเป็นว่าจบสิ้นแล้ว
เพราะพื้นฐานของเขาต่างก็เป็นการใช้ยาโอสถในการสร้างขึ้นมา เขาจึงไม่มีโอกาสที่จะเลือกสรรทางเลือกใหม่ได้เลย จะว่าไปแล้ว ก็เหมือนกับสิ่งที่เรียกกันว่าหากไม่เสียสละก็มีไม่อาจที่จะสำเร็จได้
“พี่ใหญ่ ข้าจะต้องเป็นเทพแห่งการหลอมให้ได้อย่างแน่นอน” กัวหรานสูดลมหายใจเข้าคำหนึ่งแล้วกล่าว
หลงเฉินพยักหน้าไปมา ในเมื่อกัวหรานได้เลือกเส้นทางสายนั้นแล้ว เช่นนั้นหลงเฉินก็ต้องทุ่มเทพลังทั้งหมดเพื่อช่วยเหลือเขา ให้เขาสามารถก้าวไปจนถึงขั้นนั้นได้ ก็คงจะอยู่ที่ตัวเขาเองแล้ว
ในขณะที่หลงเฉินได้ชื่นชมสิ่งประดิษฐ์ใหม่ของกัวหราน ก็ได้ทำให้หลงเฉินอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น กัวหรานถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์คนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งเก่าแก่บริสุทธิ์ต่างก็มีจนหมด
ในวันถัดมาขณะที่หลงเฉินกำลังเสาะหาอะไรทำอยู่ ผู้อาวุโสซุนก็ได้กลับมาแล้ว