เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 276 การแลกเปลี่ยน

หลังจากศึกครั้งใหญ่ระหว่างธรรมะอธรรม ผู้อาวุโสซุนก็เกิดความเคียดแค้นแทบเป็นแทบตาย ที่ไม่อาจทำอะไรหลงเฉินได้ ในทางกลับกันยังกลายเป็นทำให้ถู่ฟางเกิดความไม่ไว้ใจในตัวเขาขึ้นมาอีกด้วย

หลังจากที่ได้ย้อนกลับไปยังหมู่ตึก ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็ได้ถูกแบ่งสันปันส่วนคะแนนมากมายกันอย่างมหาศาล แต่แต้มคะแนนคุณประโยชน์เหล่านี้ เขากลับได้รับเพียงครึ่งเดียวของคนอื่น

แต้มคุณประโยชน์นั้น ต่างก็ถือได้ว่าเป็นสิ่งจำเป็นของเหล่าบรรดาศิษย์เฉกเช่นเดียวกัน แต่ทว่าแท้จริงแล้วมีไว้เพื่อแจกจ่ายให้แก่เหล่าผู้อาวุโสโดยเฉพาะนั้นเอง

เหล่าผู้อาวุโสจำเป็นที่จะต้องใช้แต้มคุณประโยชน์ เพื่อนำไปแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งที่ตนเองจำเป็นและต้องการจะนำไปใช้ในแนวทางการฝึกวิทยายุทธ์ได้ แต่หากว่าทางหมู่ตึกไม่มี ก็สามารถที่จะขอลากับทางหมู่ตึก เพื่อมุ่งหน้าไปขอแลกที่สาขาหลักแทนได้

เพราะสาขาหลักของหมู่ตึกถือได้ว่าได้ขึ้นตรงต่อเบื้องสูง ไม่ว่าจะเป็นสมบัติอันใดต่างก็มีทั้งสิ้น ขอเพียงเอ่ยออกมา หากมีแต้มคุณประโยชน์ที่เพียงพอก็สามารถที่จะแลกได้

ดังนั้นหากกล่าวถึงคุณประโยชน์ที่ได้รับ ถือได้ว่าไม่ต่างอะไรไปจากเส้นชีวิตของเหล่า ยอดฝีมือระดับผู้อาวุโส เพราะแต้มคุณประโยชน์ของพวกเขานั้น โดยส่วนมากจะได้มาจากการแจกสวัสดิการของทางหมู่ตึกในทุกเดือนนั่นเอง

และการศึกครั้งใหญ่ของธรรมะอธรรมโดยทั่วไปนั้น ทางหมู่ตึกมักจะแจกจ่ายสวัสดิการให้ก้อนโตอยู่แล้ว ซึ่งเทียบได้กับสวัสดิการทั้งปีของพวกเขาเลยทีเดียว

แต่ทว่าศึกครั้งใหญ่ธรรมะอธรรมในครั้งนี้กลับไม่เหมือนกัน ยอดฝีมือระดับผู้อาวุโส ต่างก็ถึงขั้นที่ไม่อาจจะทำเพียงแค่นั่งบัญชาการได้ แต่กลับต้องออกมาลงมือด้วยตัวเอง เพื่อเข้าสู่การต่อสู้ตัดสินความเป็นความตาย

ดังนั้นแต้มคุณประโยชน์ที่แจกจ่ายจากการต่อสู้ในครั้งนี้ เทียบได้กับสิ่งที่พวกเขาต้องลำบากลำบนมานับสิบปีที่พวกเขาอยู่ภายในหมู่ตึกได้เลยทีเดียว

ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็ดีใจลิงโลดกันทั้งสิ้น มีแต่เพียงผู้อาวุโสซุนเท่านั้น ที่ได้รับเพียงแค่ครึ่งเดียว หากผู้อาวุโสซุนจะเกิดความยินดีก็คงจะเป็นเรื่องที่แปลก

แต่ว่าเขาเองก็ไม่กล้าพอที่จะโต้แย้ง เพราะในขณะที่ถู่ฟางได้แจกจ่ายแต้มคุณประโยชน์ให้แก่เขาได้กล่าวเอาไว้ว่า “แต้มคุณประโยชน์จะมากจะน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับการใช้พลังความสามารถในการต่อสู้นั้น มาเพื่อแจกจ่ายเอง เจ้าเองก็คงเข้าใจดี”

คำว่า“เจ้าเองก็คงเข้าใจดี” แค่เพียงคำนี้คำเดียวก็ได้ทำให้ภายในอกของผู้อาวุโสซุนสุมไปด้วยเพลิงแค้นขึ้นมา ถึงขั้นที่ทำให้เขากลายเป็นตัวไร้ค่าไปในทันที ทั้งยังไร้หนทางที่จะต่อปากต่อคำได้เลย

ผู้อาวุโสซุนถึงกับทอสีหน้ามืดมน หลังจากที่ได้กลับมาที่ถ้ำของตนเอง ในวันถัดมาก็ได้มีคนมาส่งข่าวที่ยิ่งทำให้เกิดความหดหู่ขึ้นยิ่งกว่าเดิมเสียอีก คือทางหมู่ตึกได้ทำการตัดสินผู้อาวุโสที่ได้ทำคุณงามความดีในศึกการต่อสู้ที่ดีที่สุด เพื่อรับช่วงดูแลหอพลิกสวรรค์

ผู้อาวุโสซุนถึงกับเกือบที่จะระเบิดโทสะออกมาเลยทีเดียว เพราะสวัสดิการของผู้อาวุโสภายในหมู่ตึก ที่จะได้รับนั้นขึ้นอยู่กับหน้าที่ความรับผิดชอบที่พวกเขาดูแลนั่นเอง

ตัวผู้อาวุโสซุนเองก็ถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีอิทธิพลภายในหอพลิกสวรรค์มาหลายสิบปี คิดไม่ถึงว่าถู่ฟางจะโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ถึงกับฉุดดึงเขาลงมาต่ำสุดถึงเพียงนี้ในคราวเดียว

จนทำให้เขาแทบกลายเป็นผู้อาวุโสที่ไร้งานไร้การทำเลยทีเดียว สิ่งที่เรียกกันว่าผู้อาวุโสไร้งานไร้การ ก็คือการที่ไม่มีภารกิจติดตัวนั่นเอง และอาวุโสไร้งานไร้การนั้น ในทุกๆ เดือนจะได้รับแค่เพียงรับสวัสดิการที่พอจะเลี้ยงปากเลี้ยงท้องได้ในแต่ละวันแค่นั้นเอง

ที่แล้วมาตำแหน่งผู้อาวุโสของผู้อาวุโสซุนในหมู่ตึก ถือได้ว่าเป็นบุคคลที่อยู่ในตำแหน่งสำคัญเป็นอย่างยิ่งเลยทีเดียว ทำให้ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็เกิดความเกรงอกเกรงใจต่อเขาเรื่อยมา

แต่ว่าขณะนี้ “อุบัติเหตุเล็กน้อย”เพียงแค่เรื่องเดียวเช่นนี้ กลับหยุดความก้าวหน้าของตนเองไป ทั้งยังไม่ได้รับค่าชดเชยในการทำภารกิจที่มากมาย การที่ต้องพึ่งพาเพียงสิ่งที่เหลืออยู่อันน้อยนิด นั่นก็เท่ากับว่าเขาก็คงจะต้องกินต้นทุนเดิมต่อไปแล้ว

*กินต้นทุนเดิม 吃老本 อุปมาว่า อาศัยแต่ผลงานในอดีตไม่ยอมสร้างผลงานใหม่

ดังนั้นผู้อาวุโสซุนจึงได้ทอสีหน้าขึงขัง และกล่าวถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงต่ำต่อผู้อาวุโสถู่ฟาง เพื่อความแน่ชัด ว่าเหตุใดถึงได้ทำเช่นนี้ต่อตนเอง

ผลสุดท้ายคำพูดของถู่ฟางเพียงแค่ประโยคเดียว ก็เกือบที่จะทำให้ผู้อาวุโสซุนกลายเป็นดอกเบญจมาศร่วงโรยไป และราวกับว่าสิ่งที่จุกอยู่ในอกจะแตกออกมาได้ทุกเมื่อ

“เจ้าเองก็คงเข้าใจดี” ถู่ฟางตอบกลับไป ยังคงเป็นคำพูดที่เย็นชาสั้นๆ ได้ใจความ

ในระหว่างทางไปยังที่พักของตนเอง ผู้อาวุโสซุนก็แทบจะทำลายถ้ำที่พักอาศัยของตนเองจนย่อยยับ สาบานว่าผู้ใดหากหาญกล้าที่จะกล่าวเช่นนี้ต่อเขาอีกเพียงแค่สามคำ จะทำให้มันผู้นั้นไม่ได้ตายดีแน่

หลายวันมานี้ผู้อาวุโสซุนแม้แต่จะกินข้าวก็ยังกินไม่ลง นอนก็นอนไม่เต็มอิ่ม และยิ่งไม่มีกระจิตกระใจที่จะฝึกปรือเลยด้วยซ้ำ เขารู้สึกว่าตนเองนั้นแทบจะเป็นบ้าขึ้นมาแล้ว

เขาทราบว่าการที่ถู่ฟางเล่นไม้แข็งกับเขาโดยใช้หลักการ ตามแบบฉบับกรรมใดใครก่อกรรมนั้นคืนสนอง เพราะเขาก่อนหน้าคิดที่จะหาข้ออ้าง ที่จะปั้นเรื่องใส่ร้ายหลงเฉิน และอำพรางให้น้ำไม่รั่วแม้สักหยดเดียว* จึงทำให้ถู่ฟางไม่อาจที่จะทำอะไรเขาได้

* 滴水不漏 อุปมาว่า มิดชิด รอบคอบ ไม่มีช่องโหว่

ขณะนี้ถู่ฟางคิดที่จะใช้เรื่องที่เขาลงแรงแต่ไม่ลงมือทำอะไร เพื่อที่จะใช้มากดดันเขา จนทำให้เขามีเพลิงโทสะสุมอยู่ในอก จนยากที่จะคลี่คลายออกมาได้

ผู้อาวุโสซุนในวันนี้ เรียกได้ว่าได้รับความบอบชำมาอย่างแสนสาหัญเลยทีเดียว แล้วก็ทำให้ภายในถ้ำ ที่พึ่งจะจัดเสร็จเรียบร้อย เละเทะขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เพื่อเป็นการระบายความอัดอั้นให้ตนเองสบายใจขึ้นมา

“เรียนท่านผู้อาวุโส หลงเฉินมาขอเข้าพบ”

ในช่วงเวลาที่ผู้อาวุโสซุนกำลังอยู่ในสภาพจิตใจที่เย็นขึ้นมาบ้างแล้ว หลงเฉินก็ได้มาถึง

หลงเฉินที่เข้ามาภายในถ้ำที่เป็นห้องพักของผู้อาวุโสซุน ก็ได้พบเห็นข้าวของที่กองอย่างระเกะระกะอยู่ตามพื้น ก็อดไม่ได้ที่จะที่จะปรบมือแล้วกล่าวขึ้นว่า

“ผู้อาวุโสซุนก็ช่างมีอารมณ์อันสุนทรีย์เสียเหลือเกิน กลับมาออกกำลังกายตั้งแต่เช้าตรู่ จุ๊จุ๊ ช่างน่าสนใจโดยแท้”

ผู้อาวุโสซุนก็ได้ทอสีหน้าเย็นยะเยือกขึ้นมา จ้องมองไปที่หลงเฉินอย่างเอาเป็นเอาตายแล้วกล่าว

“หลงเฉิน เจ้าได้ใจให้มันน้อยๆ หน่อยนะ บอกมา เจ้ามาหาข้าผู้ชรานั้นมีเรื่องอะไรกัน ถ้าหากเจ้าเพียงคิดที่จะมาหัวเราะเยาะข้าผู้ชรา เจ้าก็ไสหัวกลับไปได้แล้ว”

ในเวลานี้บนใบหน้าของหลงเฉิน ก็ได้แฝงเอาไว้ด้วยรอยยิ้มที่คล้ายกับสรวงสวรรค์ประทานพรมาให้ ยิ่งทำให้โทสะที่สลายหายไปแล้วเล็กน้อยของผู้อาวุโสซุน ก็ได้ถูกสุมกองขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

“อายุอานามก็มากถึงเพียงนี้แล้ว ก็น่าจะมีโทสะให้มันน้อยลงหน่อยนะ ในหนังสือโบราณได้มีคำกล่าวเอาไว้ว่า คนที่ชอบแทงข้างหลัง* ต่างก็ถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีความร้ายกาจเป็นอย่างยิ่งมิใช่หรือ? ดูไปแล้วเจ้าคนที่ชอบแทงข้างหลังผู้นี้ จะยังไม่โหดเหี้ยมพอนะ”หลงเฉินถอนหายใจออกมาแล้วกล่าว

“เจ้าหาที่ตายงั้นหรือ? ”

ผู้อาวุโสซุนเมื่อได้ฟังก็มีโทสะเดือดพร่านขึ้นมายกใหญ่ เพราะคนที่แทงข้างหลังที่หลงเฉินเอ่ยถึงนั้น ถือเป็นคำเรียกขานถึงคนที่เป็นขันทีที่ชาวบ้านต่างเรียกกัน

*คำว่าขันที (阉人) กับคนที่ชอบแทงคนข้างหลัง (阴人) ยังมีการออกเสียงที่ใกล้เคียงกัน อีกส่วนหนึ่งก็คล้ายกับมีความข้องเกี่ยวถึงการระบุระหว่างบุรุษเพศและสตรีเพศ

และคนที่ชอบแทงคนข้างหลังในโลกของผู้ฝึกยุทธ์ ก็คือเหล่าบุรุษที่ชอบฝึกปรือพลังฝีมือธาตุหยิน (เย็น) จนกลายเป็นไม่ชายไม่หญิง ทั้งยังเป็นคนที่ไม่หยินและไม่หยาง หรือก็คือเป็นการด่าทอผู้คนอย่างหนึ่งนั้นเอง

“หาผายลม? มิผิด ไม่เช่นนั้นแล้วข้าจะมาที่นี่ไปทำอะไรกัน? ที่ข้ากำลังตามหาอยู่ก็คือลมผายที่เน่าแก่เสียยิ่งกว่าเน่าแก่อย่างเจ้านี้ไง!” หลงเฉินกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเฉยชา

“หลงเฉิน อย่าได้บีบคั้นให้ข้าต้องฆ่าเจ้า”เส้นผมของผู้อาวุโสซุนก็ได้ตั้งชูชันขึ้นมาทีละเส้น ทอแววตาแดงก่ำ พวยพุ่งพลังสภาวะไปทั่วทั้งร่าง จนเกิดการระเบิดขึ้นเป็นทางระหว่างสองข้างทาง

“ข้อแรกเจ้าไม่อาจที่จะฆ่าข้าได้ ต่อให้ไม่มีการช่วยเหลือจากฉู่เหยา เจ้าก็ฆ่าข้าไม่ได้แล้ว หากเจ้าลงมือไปก็มีแต่จะเปลืองแรงเท่านั้น

ข้อสอง หากปล่อยให้ข้าลงมือขึ้นมา เจ้าจะต้องรู้สึกผิดหวังไปทั้งชีวิต เพราะทันทีที่เจ้าได้ลงมือออกมา เจ้าจะต้องสูญเสียสิ่งของที่เจ้าเฝ้าใฝ่หาไป”

หลงเฉินเจอโต๊ะตัวหนึ่งพอที่จะวางเท้าได้ จากนั้นก็ได้พิงไปที่กำแพงหน้าต่างบานหนึ่ง นั่งลงด้านบนอย่างสบายอกสบายใจ ทั้งยังได้กระดิกเท้าไปมา และมองไปทางผู้อาวุโสซุนด้วยใบหน้าที่ผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง

ผู้อาวุโสซุนก็ทราบดีว่าหลงเฉินไม่ต่างอะไรไปจากสัตว์ประหลาดตนหนึ่ง ต่อให้ไม่มีฉู่เหยาคอยสนับสนุน เขาหากคิดที่จะลงมือสังหารหลงเฉิน ก็ไม่ใช่ว่าจะใช้เพียงแค่สองสามกระบวนท่าถึงจะเอาได้ลง ต่อให้เขาทุ่มพลังทั้งหมดเพื่อลงมือ ก็คงต้องทำให้ถ้ำถูกทำลายไปอย่างแน่นอน และจะเป็นการชักนำยอดฝีมือคนอื่นๆ เข้ามา ดังนั้นเขาเองก็ทราบดีว่า การคิดที่จะลงมือสังหารหลงเฉินนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

เพียงแต่ว่าคำพูดเหล่านั้นเมื่อครู่นี้เป็นแค่การระบายอารมณ์ออกมาเท่านั้น ทว่าหลังจากที่ได้ฟังประโยคสุดท้ายที่หลงเฉินกล่าวออกมา ก็ต้องขมวดคิ้วขึ้นแล้วกล่าว “หมายความว่าอย่างไรกัน? ”

หลงเฉินก็ได้ปัดฝุ่นที่ติดอยู่ตรงแขนเสื้อไปมาเบาๆ แล้วจึงค่อยกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเฉยชา “ข้าต้องการที่จะทำข้อแลกเปลี่ยนกับเจ้าซักครา”

“แลกเปลี่ยนอะไร” ผู้อาวุโสซุนเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

“ยังจะมาเสแสร้งอะไรกันอีกเล่า? บนตัวของข้าไม่ใช่ว่ามีสิ่งที่เจ้าคิดคำนึงหาอยู่ตลอดเวลาอยู่หรอกหรือไง? ในเมื่อเป็นเช่นนั้นจริง ยังจะทำเป็นไขสืออยู่ทำไม” หลงเฉินพูดขึ้นมาอย่างเย็นชา บนใบหน้ายังคงเปี่ยมไปด้วยความไม่แยแส

“ผายลม เจ้ากล่าวเหลวไหลอะไรกัน? ” ผู้อาวุโสซุนกล่าวขึ้นมาด้วยโทสะ ถึงแม้เขาคิดที่จะครอบครองสิ่งที่อยู่บนตัวของหลงเฉิน แต่ว่าเขาก็ย่อมไม่สามารถที่จะยอมรับได้อย่างแน่นอน

“มิใช่ข้าดูแคลนเจ้า เพียงแต่ข้าดูแคลนเจ้าจริงๆ ”

หลงเฉินส่ายหน้าอย่างไม่แยแส และในมือก็ได้มีศิลาโบราณชิ้นหนึ่งเพิ่มขึ้นมา ที่ด้านบนก็ได้มีรูปภาพเก่าแก่แขวนเอาไว้อยู่ มันกำลังแผ่บรรยากาศเก่าแก่โบราณออกมา

เมื่อได้พบเห็นศิลาที่อยู่ในมือหลงเฉิน ผู้อาวุโสซุนก็ได้หรี่นัยน์ตาลง เขาทราบว่าก้อนศิลาชิ้นนั้นมีชื่อเรียกกันว่าเพทายทมิฬ ซึ่งถือได้ว่ามีความแข็งเป็นอย่างยิ่ง แม้ดาบกระบี่ยากที่จะทำให้เกิดความเสียหายได้

เพทายทมิฬเดิมทีแล้วถือได้ว่าเป็นวัสดุในการหลอมสร้างศาสตราวุธที่หาได้ยากชนิดหนึ่ง และในส่วนที่เป็นจุดที่แข็งที่สุดของมัน ก็สามารถที่จะถ่ายทอดพลังทักษะยุทธ์ที่แข็งแกร่งในระดับตำนานได้

ยอดฝีมือสามารถที่จะบันทึกทักษะยุทธ์เอาไว้อยู่บนเพทายทมิฬ เพทายทมิฬยังสามารถที่จะสร้างขอบเขตสร้างส่วนที่เป็นสำนึกของคนผู้หนึ่งเอาไว้ได้ เพื่อที่จะทำให้ชนชั้นรุ่นหลัง สามารถที่จะทำความเข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้นกว่าเดิม

และที่ด้านบนเพทายทมิฬในมือหลงเฉิน ยังแฝงเอาไว้ด้วยขอบเขตจิตสำนึกเอาไว้อยู่ชนิดหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะเบาบางไปบ้าง แต่ว่าด้วยพลังความแข็งแกร่งของผู้อาวุโสซุน ก็ย่อมที่จะสามารถตรวจพบได้อย่างง่ายดาย

“เดิมที่ยังคิดที่จะทำข้อแลกเปลี่ยนกับเจ้าซักคราก่อน ทว่าเจ้ากลับเอาแต่หน้าด้านไร้ยางอายถึงเพียงนี้ ยังถึงกับไม่ยอมรับ เช่นนี้ก็ช่างมันเถอะ เจ้าก็ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษจอมปลอมของเจ้าต่อไปเถอะ” หลงเฉินหัวเราะขึ้นมาอย่างเย็นชา แล้วก็ได้หมายที่จะมุ่งหน้าเดินจากไป

“รอก่อน”ผู้อาวุโสซุนก็ได้รีบกล่าวออกมา

หลงเฉินเองก็ได้หันหน้ากลับมา ปรายสายตามองไปทางด้านผู้อาวุโสซุนแล้วกล่าวออกมา “คิดที่จะรั้งข้าเอาไว้อย่างงั้นหรือ? คิดที่จะฆ่าคนปิดปากหรือไง? ยังคงคำพูดเดิม มิใช่เป็นข้าดูแคลนเจ้า เพียงแต่เป็นข้าดูแคลนเจ้าจริงๆ ”

ผู้อาวุโสซุนทอสีหน้าประเดี๋ยวเขียวประเดี๋ยวแดงขึ้นมาเป็นสาย คำพูดของหลงเฉินเรียกได้ว่าทำร้ายกันมากจนเกินไปแล้ว ทว่าเพื่อวัตถุเช่นนี้ เขายังคงอดทนแล้วพยายามกล่าววาจาออกมา

“เจ้าต้องการที่จะแลกเปลี่ยนยังไง? ”

ผู้อาวุโสซุนเองก็ถือได้ว่าเป็นคนที่เฉลียวฉลาดเป็นอย่างยิ่ง เขาเองก็ได้เคยสืบชาติกำเนิดของหลงเฉิน หากเป็นไปตามชาติกำเนิดของหลงเฉิน แน่นอนว่าย่อมไม่อาจที่จะไม่รู้จักเพทายทมิฬอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่ไม่สูงมากนัก

อีกส่วนก็คือเพทายทมิฬนั้นถือได้ว่าแข็งอย่างไร้ที่เปรียบ หากคิดที่จะขีดวาดด้านบนของมัน หากว่ายังไม่มีพลังการฝึกปรือจนถึงขอบเขตขั้นก่อฟ้า ก็จงอย่าได้คิดเลย หลงเฉินต่อให้คิดที่จะปลอมแปลง ก็หามีความสามารถนั้นไม่ หากใช้คำพูดของหลงเฉินก็คือ มิใช่เป็นข้าดูแคลนเจ้า เพียงแต่เป็นข้าดูแคลนเจ้าจริงๆ

อย่างที่สามก็คือ เพทายทมิฬในมือของหลงเฉินก็ได้แฝงเอาไว้ด้วยพลังสภาวะบางอย่างเอาไว้ แล้วในยามที่ได้ไหลเวียนไปตามพลังวงแหวนเทวะของหลงเฉิน ก็ได้ปลดปล่อยพลังสภาวะชนิดหนึ่งที่เหมือนกันออกมา

เมื่อมีเงื่อนไขทั้งสามนี่ ผู้อาวุโสซุนย่อมต้องวินิจฉัยเพทายทมิฬในมือของหลงเฉินได้อย่างชัดเจน เพื่อที่จะได้ครอบครองวิชายุทธ์ลึกลับของหลงเฉิน ดังนั้นจึงค่อยได้เรียกหลงเฉินขึ้นมาด้วยความรีบร้อนถึงเพียงนี้

ถึงแม้จะไม่ทราบว่าที่แท้จริงแล้วหลงเฉินมีเป้าหมายอะไรกันแน่ ทว่าผู้อาวุโสซุนเองที่กระหายต่อวิชายุทธ์ของหลงเฉินมนาน หากว่าสบโอกาสย่อมไม่ปล่อยไปอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงยอมหน้าด้านหน้าทนเรียกรั้งหลงเฉินเอาไว้

“การแลกเปลี่ยน ก็ไม่ต่างอะไรไปจากการทำการค้า จะทำการค้าก็ย่อมต้องมองถึงประโยชน์ที่จะได้รับ ถ้าหากไม่มีผลประโยชน์ร่วมกัน ก็ย่อมไม่อาจก่อให้เกิดผลได้

วาจาของเจ้าเมื่อครู่ ได้ทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายใจยิ่งนัก ดังนั้นข้าตอนนี้จึงตัดสินใจได้แล้วว่า จะไม่ทำการค้ากับเจ้าด้วยแล้ว” หลงเฉินก็ได้หันกายมุ่งหน้าเดินออกไป

ผู้อาวุโสซุนยิ่งร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด เพียงแค่พริบตาเดียวก็ได้ขยับร่างมาขวางอยู่ที่ด้านหน้าของหลงเฉิน นี่ถือได้ว่าเป็นโอกาสที่จะพบเจอได้ยากในรอบพันปี ถ้าหากปล่อยให้หลงเฉินไป เขาคงจะต้องเสียใจไปชั่วชีวิตแน่

“หลงเฉิน เรื่องทุกอย่างย่อมสามารถที่จะเจรจากันได้ เจ้าคลายโทสะก่อนนะ” ผู้อาวุโสซุนทอใบหน้าที่แห้งกร้านคล้ายกับเปลือกไม้ จนถึงขั้นที่ฉีกยิ้มออกมาแล้วกล่าว

“จะให้คลายโทสะ ย่อมได้ ก่อนอื่นเจ้าต้องยอมรับก่อน ว่าสิ่งที่เจ้ากล่าวออกมาก่อนหน้านี้ต่างก็ผายลมด้วยกันทั้งสิ้น” หลงเฉินปรายตามองไปทางผู้อาวุโสซุนแล้วกล่าว

“นี่มัน……ได้ ข้ายอมรับว่าก่อนหน้านี้ข้าผายลม”

ผู้อาวุโสซุนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อพบว่าหลงเฉินหมายจะจากไป จึงได้กัดฟันขึ้นมาแล้วกล่าว

“ช่างไม่สมกับเป็นผู้อาวุโสแปดบวงสรวงเลยนะ ผายลมนี้ก็คละคลุ้งเกินไปเสียจริง ให้มันลงกว่านี้สักหน่อยเถอะ ไม่เช่นนั้นก็คงจะต้องกลายเป็นอาจมแล้ว เลื่อมใส เลื่อมใส! ” หลงเฉินหัวเราะฮาฮาขึ้นมาแล้วกล่าว

ผู้อาวุโสซุนทอสีหน้าปั้นยากขึ้นมาเล็กน้อย ภายในแววตาทั้งคู่ก็ได้เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังสภาวะรังสีสังหารที่เข้มข้นยิ่งกว่าเดิม หลงเฉินเองก็หาได้ปิดบังความเกลียดชังที่มีต่อเขาไม่

ทว่าเพื่อวิชาพลังที่เร้นลับเช่นนั้น ผู้อาวุโสซุนจึงได้แต่อดทนไปอีกสักพักหนึ่งแล้ว ทว่าก็ยังคงดีดลูกคิดรางแก้วในใจ รอคอยจนได้รับวิชามาแล้ว จะได้ค่อยๆ จัดการกับหลงเฉินซักครา

เมื่อได้มองไปที่บนใบหน้าผู้อาวุโสซุนที่แสร้งทำเป็นสงบราบเรียบ ภายในส่วนลึกของแววตายังไงเสียก็ยากที่จะซ่อนเร้นความอำมหิตเอาไว้ได้ บนใบหน้าของหลงเฉินก็ได้ปรากฏรอยยิ้มอันเย็นเยียบขึ้น

เจ้าเฒ่าบัดซบ คิดที่จะเอาชีวิตข้า ข้าจะเล่นกับเจ้าสักพักก่อนก็แล้วกัน การเล่นกับเจ้าหาใช่เป้าหมายไม่ แต่เป้าหมายจะเป็นเล่นจนเจ้าตายไปข้าง

ไม่ทราบเป็นเพราะอะไร เมื่อได้ถูกใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มอันเย็นเยียบของหลงเฉินจ้องมอง ภายในใจผู้อาวุโสซุนก็ได้เกิดการสั่นคลอนขึ้นมา จนเกิดกลายเป็นความรู้สึกที่ไม่ถูกต้องขึ้นมาชนิดหนึ่ง

“บอกมา การแลกเปลี่ยนนี้ให้ทำอะไรบ้าง เจ้าต้องการอะไรกันแน่ ทว่าการและเปลี่ยนนี้จะต้องเป็นไปอย่างยุติธรรม เจ้าจงอย่าได้คิดที่จะกล่าววาจาใหญ่โต ข้าผู้ชรากลับหาได้หัวอ่อนไม่”

ผู้อาวุโสซุนเองก็มิใช่คนโง่งม ย่อมไม่อาจที่จะปล่อยให้หลงเฉินกดขี่เขาอยู่ฝ่ายเดียวแน่ ดังนั้นจึงได้กล่าวออกมาอย่างชัดเจนก่อน เพื่อที่จะได้สร้างโอกาสในการต่อรองให้แก่ตนเองขึ้นมาได้

หลงเฉินก็ได้ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้แก่ผู้อาวุโสซุน

“ไปนำสิ่งของที่เขียนเอาไว้ตามนี้มา และรวบรวมมาให้ข้าจนครบ”

ผู้อาวุโสซุนก็ได้รับกระดาษแผ่นหนึ่งมาจากมือหลงเฉินมาดู แล้วก็ได้มีสีหน้าเปลี่ยนไป กล่าวขึ้นมาด้วยโทสะ “เป็นไปไม่ได้แน่นอน!”

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset