ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 213-2 เจิ้นหนานอ๋องขอเจรจา

“เรียนพระชายา เจิ้นหนานอ๋องกับเจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อขอเข้าพบพ่ะย่ะค่ะ” นานๆ ทีเยี่ยหลีถึงจะมีเวลาว่างมาอยู่เป็นเพื่อนลูกน้อยในห้อง บุตรตัวน้อยอายุเกือบครบเดือนแล้ว จึงมิได้เอาแต่นอนเหมือนยามเพิ่งแรกเกิด เขากำลังจ้องตาแป๋วมาที่เยี่ยหลี ดวงตาดำขลับแป๋วแหววประหนึ่งประกายน้ำที่จ้องมองมายังเยี่ยหลี ทำให้ใจนางอ่อนยวบประหนึ่งปุยนุ่น รู้สึกเพียงว่าไม่ว่าจะรักเอ็นดูลูกตัวน้อยคนนี้อย่างไรก็ไม่เพียงพอ

 

 

เมื่อได้ยินหลินหานเอ่ยรายงานเช่นนั้น เยี่ยหลีก็ขมวดคิ้วเอ่ยถามว่า “ท่านอ๋องอยู่ในตำหนักหรือไม่”

 

 

หลินหานเอ่ยว่า “วันนี้ท่านอ๋องออกจากเมืองหลวงไปพร้อมกับคุณชายชิงเฉินตั้งแต่เช้าแล้วพ่ะย่ะค่ะ ยามนี้ยังไม่กลับมา หรือว่า…จะให้เชิญเจิ้นหนานอ๋องมาใหม่วันพรุ่งนี้พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ทั้งนายและบ่าวของตำหนักติ้งอ๋องไม่มีผู้ใดรู้สึกดีกับเจิ้นหนานอ๋องเลยแม้แต่น้อย แรกเริ่มเดิมทีที่พระชายาตกหน้าผาไปนั้น ยังเป็นเรื่องที่ติดค้างอยู่ในใจพวกจั๋วจิ้งและหลินหานอย่างมาก จึงย่อมไม่อยากให้เยี่ยหลีไปพบเจิ้นหนานอ๋องอีก

 

 

เยี่ยหลีวางม่อตัวน้อยลง ยิ้มเรียบๆ เอ่ยว่า “ไม่ต้องหรอก ยามนี้อยู่ในตำหนักติ้งอ๋อง หากข้าปฏิเสธไม่ยอมพบ กลับจะยิ่งดูขี้ขลาดไปเสีย”

 

 

หลินหานนิ่งไป ถอยออกไปยืนรอเยี่ยหลีที่หน้าประตู

 

 

ไม่นาน เยี่ยหลีก็จัดการม่อตัวน้อยจนเรียบร้อย ก่อนเดินนำพวกชิงหลวนก้าวออกจากห้องไปยังโถงหน้า

 

 

ภายในโถงใหญ่ของตำหนักติ้งอ๋อง เหลยเถิงเฟิงนั่งนิ่งอยู่ข้างๆ เจิ้นหนานอ๋อง มองพิจารณาเครื่องเรือนภายในห้องโถงใหญ่ ว่ากันตามตรงแล้ว ตำหนักติ้งอ๋องมิได้โอ่อ่าหรูหราเท่าตำหนักติ้งอ๋องในเมืองหลวง เพราะแม้แต่บรรยากาศความเก่าแก่อย่างตำหนักติ้งอ๋องที่ในเมืองหลวงก็ยังไม่มี แต่กลับมีความหยาบๆ เรียบง่ายและมีอิสระกว่าหลายส่วน

 

 

เจิ้นหนานอ๋องเองก็กำลังพิจารณาห้องโถงใหญ่โดยรอบอยู่เช่นกัน แต่สายตาของเขากลับคอยจ้องไปทางปากประตูเสียมากกว่า เมื่อได้ยินเสียงกรุ๊งกริ๊งของหยกดังมาจากด้านนอกประตู สายตาเจิ้นหนานอ๋องกลับดูล้ำลึกและคมกล้ายิ่งขึ้น

 

 

เยี่ยหลีก้าวเข้าไปในห้องโถงใหญ่ เอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงก้องว่า “ข้ามาช้า ปล่อยให้ท่านอ๋องและซื่อจื่อต้องคอยแล้ว หัวหน้าพ่อบ้านม่อ เหตุใดถึงไม่ยกน้ำชามาให้แขก”

 

 

หลินหานที่เดินหน้านิ่งตามเยี่ยหลีเข้ามา ปรายตามองเจิ้นหนานอ๋องพ่อลูกที่นั่งอยู่อย่างว่างเปล่า ทีหนึ่ง ก่อนเอ่ยเรียบๆ ว่า “เรียนพระชายา หัวหน้าพ่อบ้านม่อไปสั่งการบ่าวเรื่องจัดสถานที่พักใหม่ให้ท่านชิงอวิ๋นอยู่พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เหลยเถิงเฟิงรู้ดีว่า พวกเขาพ่อลูกไม่เป็นที่ต้อนรับของตำหนักติ้งอ๋อง จึงฝืนยิ้มหันไปเอ่ยกับเยี่ยหลีว่า “พระชายาไม่ต้องเกรงใจ”

 

 

เยี่ยหลีระบายยิ้ม “มารยาทนั้นมิอาจขาด ช่วงนี้ที่ตำหนักยุ่งกันมาก หัวหน้าพ่อบ้านม่อก็น้อยครั้งนักที่จะละเลยเช่นนี้ ซื่อจื่อโปรดอภัยด้วย หลินหาน”

 

 

หลินหานพยักหน้า ก่อนเดินออกไปสั่งสาวใช้ที่ยืนอยู่หน้าประตูให้ยกน้ำชาเข้ามา

 

 

จนเมื่อยกน้ำชาเข้ามาแล้ว เยี่ยหลีจึงยกชาขึ้นจิบแล้วหันไปเอ่ยกลั้วหัวเราะกับเจิ้นหนานอ๋องว่า “ใกล้งานเลี้ยงครบเดือนของลูกน้อยเต็มที วันนี้ข้าและท่านอ๋องต่างยุ่งกันไม่น้อย หากมีตรงใดล่าช้าไปบ้าง ท่านอ๋องได้โปรดอย่าถือสา”

 

 

เจิ้นหนานอ๋องจับจ้องเยี่ยหลีอยู่เป็นนานถึงได้เลื่อนสายตาออก เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร พระชายาจัดการทุกอย่างได้รอบคอบดีแล้ว ข้ารู้สึกประหนึ่งอยู่บ้านตนเองทีเดียว”

 

 

กับคำพูดตามมารยาทของเจิ้นหนานอ๋อง เยี่ยหลีย่อมไม่ถือเป็นจริงเป็นจังเท่าใดนัก เรื่องการดูแลต้อนรับแขกนั้น เยี่ยหลีไม่เคยเข้าไปยุ่มย่ามอยู่แล้ว แต่ไหนแต่ไรมาจั๋วจิ้งกับเว่ยลิ่นต่างก็มีนิสัยบุญคุณต้องทดแทน แค้นต้องชำระอยู่แล้ว เชื่อว่าอย่างไรพวกเขาก็ไม่มีทางต้อนรับแขกประหนึ่งอยู่บ้านเป็นแน่

 

 

เยี่ยหลีนิ่งไปเล็กน้อย ถึงได้เอ่ยปากถามว่า “ที่ท่านอ๋องและซื่อจื่อมาเยี่ยม ด้วยเพราะมีเรื่องอันใดสำคัญหรือไม่”

 

 

เหลยเถิงเฟิงยิ้มเอ่ยว่า “ด้วยเพราะมีเรื่องอยากเจรจากับติ้งอ๋องสักเล็กน้อยจริงๆ เพียงแต่ก่อนหน้านี้ข้าได้มาขอเข้าพบติ้งอ๋องแล้วสองครั้ง แต่ล้วนถูกปฏิเสธตั้งแต่ที่หน้าประตู ไม่รู้จะทำเช่นไรจึงต้องมารบกวนพระชายา หวังว่าพระชายาจะให้อภัย”

 

 

เยี่ยหลีกะพริบตาปริบๆ คิดขึ้นมาได้ว่าแค่เพียงเอ่ยถึงซีหลิงกับเจิ้นหนานอ๋อง ม่อซิวเหยาก็จะหน้างอง้ำลงทันที หากเหลยเถิงเฟิงไปขอเข้าพบก็มีโอกาสที่จะถูกปฏิเสธจริงๆ ช่วงนี้มีหลายคราที่หากม่อซิวเหยาเกิดเอาแต่ใจขึ้นมา ก็ไม่ฟังเหตุผลเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่กับเรื่องนี้เยี่ยหลีไม่ได้มีอันใดไม่พอใจเขา ในใจนางรู้ดีว่า ที่ม่อซิวเหยาเอาแต่ใจและปฏิบัติต่อคนซีหลิงอย่างไร้มารยาท มิใช่เพียงเพราะยามนี้ซีเป่ยกับซีหลิงกำลังเผชิญหน้ากัน แต่เหตุผลที่ยิ่งกว่านั้น คือเพราะตัวนาง

 

 

การสู้รบกันอย่างเอาเป็นเอาตายระหว่างแคว้นเป็นเรื่องปกติ เมื่อสู้รบกันจบแล้วก็ยังสามารถดื่มสุราด้วยกันประหนึ่งเป็นมิตรต่อกันมายาวนานได้อยู่ นั่นด้วยเพราะความสัมพันธ์ระหว่างแคว้นนั้นไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร แต่เมื่อเป็นเรื่องส่วนตัวแล้วกลับทำให้คนเจ็บแค้นกันง่ายยิ่งกว่า

 

 

เยี่ยหลีอมยิ้มมองเหลยเถิงเฟิง เอ่ยกลั้วหัวเราะอย่างไม่รู้สึกผิดว่า “ช่วงนี้ซิวเหยายุ่งจนหัวหมุนไปหมด ซื่อจื่อโปรดอภัยด้วย”

 

 

เหลยเถิงเฟิงย่อมมิอาจไม่อภัยได้ รอจนเยี่ยหลีเอ่ยถามว่า “ซื่อจื่อมีเรื่องอันใด พูดกับข้าก็เหมือนกัน”

 

 

เหลยเถิงเฟิงเหลือบมองเสด็จพ่อที่นั่งอยู่อีกด้านไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ แล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “อันที่จริงก็มิได้มีเรื่องใหญ่อันใด ข้าบังเอิญได้ยินมาว่า ติ้งอ๋องกับเป่ยหรงและหนานจ้าวล้วนเจรจาจนบรรลุข้อตกลงกันแล้ว…”

 

 

เยี่ยหลีเลิกคิ้ว คำว่าบังเอิญคำนี้นี่ช่างใช้ได้ดีจริงๆ เชื่อว่าซีหลิงคงวางคนสอดแนมไว้ตามแคว้นต่างๆ ไม่น้อย ถึงได้บังเอิญเช่นนี้ได้ นางนิ่งเงียบรอให้เหลยเถิงเฟิงพูดต่อให้จบ

 

 

ในใจเหลยเถิงเฟิงรู้สึกจนใจเป็นอย่างยิ่ง เขาไม่ใคร่ชอบการเจรจากับเยี่ยหลีเลยจริงๆ ด้วยเพราะหลังจากมีปฏิสัมพันธ์กับเยี่ยหลีมาหลายครั้ง ก็ยากนักที่เขาจะรับมือนางอย่างที่รับมือคนธรรมดาทั่วไปได้ ไม่ว่าในยามใด ก็ยากนักที่จะสังเกตเห็นสีหน้าอารมณ์ที่บังเอิญเปิดเผยออกมาบนใบหน้าของนาง ปานประหนึ่งเป็นกุลสตรีมีสกุลธรรมดาที่สุภาพไม่มีพิษมีภัยอันใดกระนั้น การเจรจากับคนเช่นนี้ ความกดดันที่นางมีให้กับอีกฝ่าย ยากเกินจะจินตนาการได้ ด้วยเพราะอีกฝ่ายไม่มีทางรู้ถึงเบื้องลึกของจิตใจนางได้เลย บางทีเบื้องลึกของนางอาจอยู่ห่างจากอีกฝ่ายเพียงเล็กน้อย แต่สิ่งที่อีกฝ่ายรู้สึกนั้นกลับปานประหนึ่งอยู่ห่างไปเป็นพันลี้

 

 

นี่มิใช่ครั้งแรกที่เหลยเถิงเฟิงรู้สึกหงุดหงิดใจเช่นนี้ ในใจลอบสะอึกไปเล็กน้อยแต่ก็มิได้สนใจอันใดเอ่ยต่อว่า “พระชายาคงรู้ว่า อันที่จริงแคว้นของข้าน้อยกับตงฉู่และหนานจ้าว ในแต่ละปีมีการทำการค้าและการไปมาหาสู่กันมาก และสินค้าในนั้นจำนวนมากล้วนจำเป็นต้องขนผ่านซีเป่ย”

 

 

ซีหลิงถึงจะมีอาณาเขตกว้างขวาง แต่เอาเข้าจริงกลับเป็นแคว้นที่ขาดแคลนสินค้าแคว้นแคว้นหนึ่ง มีสินค้าหลายอย่างที่จำเป็นต้องนำเข้าจากประเทศอื่น แน่นอนว่าสิ่งที่ซีหลิงกระทำนั้น หากปล้นได้เป็นดีที่สุด แต่ก็มักมีบางสิ่งที่ปล้นได้ไม่พอและก็มิอาจปล้นได้ อย่างเช่นผ้าไหมและผ้าแพรที่เชื้อพระวงศ์ซิงหลิงชื่นชอบ ใบชา และเครื่องกระเบื้องเคลือบ เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดจำเป็นต้องหาซื้อจากหนานจ้าวและต้าฉู่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ แคว้นเล็กๆ ทางตะวันตกล้วนหาซื้อไม่ได้

 

 

อีกทั้งจะว่าไปแล้ว เดิมทีคนซีหลิงก็มีต้นกำเนิดเดียวกับคนต้าฉู่ ดังนั้นคนซีหลิงโดยมากก็ยังคงคุ้นเคยกับการใช้สินค้าจากต้าฉู่ และซีเป่ยก็อยู่ในจุดที่ขวางเส้นทางการติดต่อระหว่างต้าฉู่กับซีหลิงพอดี ของเหล่านี้หากต้องการขนกลับซีหลิง ก็จำเป็นต้องขนผ่านทางซีเป่ย

 

 

ส่วนเส้นทางทางซีหนาน ก็เป็นเส้นทางที่ได้ชื่อว่ายากลำบากประหนึ่งขึ้นสวรรค์มาตั้งแต่โบราณ แค่เพียงคิดอยากเดินทางเข้าไปก็ยากลำบากเป็นอย่างยิ่งแล้ว หากยังต้องให้ขบวนสินค้าเดินทางข้ามน้ำข้ามภูเขา ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องระยะทางว่าต้องอ้อมไกลเพียงใดเลย แต่ความลำบากและอันตรายระหว่างทางกับขโมยขโจรที่มีอยู่ทั่ว ก็เพียงพอให้พ่อค้าโดยมากยอมแพ้แต่โดยดีแล้ว

 

 

เยี่ยหลีระบายยิ้ม เพียงแค่เหลยเถิงเฟิงเอ่ยมาประโยคเดียว นางก็เข้าใจเจตนาของพวกเขาที่มากันในวันนี้ทันที อันที่จริงตำหนักติ้งอ๋องก็รอวันที่พวกเขาจะเป็นฝ่ายมาหาอยู่แล้ว เพียงแต่เยี่ยหลีคิดว่า คนซีหลิงคิดอยากเพิ่มคุณค่าในตนเองจึงยังประวิงเวลาไม่ยอมมา แต่เอาเข้าจริงเป็นม่อซิวเหยาที่ปิดประตูไม่ยอมให้พวกเขาเข้ามาต่างหาก

 

 

นางค่อยๆ วางถ้วยชากลับลงบนโต๊ะ เยี่ยหลีเอนหลังงพิงเก้าอี้ ผินหน้าไปเอ่ยถามเหลยเถิงเฟิงว่า “ข้าเข้าใจความหมายของซื่อจื่อแล้ว เดิมทีการเปิดเส้นทางให้ทั้งสองแคว้นมีการทำการค้าระหว่างกันนั้นเป็นเรื่องดี เพียงแต่…ไม่รู้ว่าเรื่องนี้มีข้อดีอันใดกับซีเป่ยของข้าหรือ”

 

 

เพียงแค่ประโยคเดียว นั่นคือเหตุใดกองทัพตระกูลม่อของข้าจะต้องเปิดทางให้ขบวนการค้าของซีหลิงผ่านด้วย

 

 

แววตาของเหลยเถิงเฟิงขรึมไป เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ระว่างทั้งสองแคว้น ต่อให้อยู่ในยามสงครามก็ไม่มีการห้ามเรื่องขบวนการค้า การไปมาหาสู่กันนั้น เป็นเรื่องที่แคว้นของข้าน้อยกับตงฉู่ เป่ยหรง และหนานจ้าวล้วนรับรู้กันเป็นอย่างดี ที่พระชายาเอ่ยเช่นนี้ทำให้ข้าน้อยไม่เข้าใจเอาเสียเลย”

 

 

เยี่ยหลีหลุบตาลง ยิ้มเรียบๆ เอ่ยว่า “ถ้าเป็นเช่นนั้น ขบวนการค้าของซีหลิงก็เดินทางผ่านซีเป่ยก็สิ้นเรื่อง เหตุใดซื่อจื่อถึงยังต้องตั้งใจมาสอบถามเรื่องนี้กับข้าด้วยเล่า”

 

 

เหลยเถิงเฟิงถูกเอ่ยขัดจนสะอึกไป ข้อตกลงระหว่างกันที่ว่านั่น เมื่อถึงเวลาปฏิบัติจริงแล้ว ก็เป็นเพียงกระดาษไร้ประโยชน์แผ่นหนึ่งเท่านั้น เส้นทางการค้าที่ยาวไกล ระหว่างทางมีเรื่องราวเกิดขึ้นได้มากมาย อาจมีโจรปล้นเอาเมื่อใดก็ได้ อุบัติเหตุเช่นนี้ผู้ใดเลยจะอธิบายได้ชัดเจน อย่างน้อยช่วงปีกว่ามานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงครึ่งปีมานี้ ขบวนการค้าจากต้าฉู่มาซีหลิงนั้น น้อยเสียยิ่งกว่ายามเกิดสงครามเสียอีก ยามนี้ภายในเมืองหลวงของซีหลิง มีสินค้าหลายตัวที่ราคาสูงลิบลิ่วแล้ว

 

 

ได้ยินเพียงเยี่ยหลีเอ่ยอย่างสบายๆ ว่า “ที่ซื่อจื่อเอ่ยว่า ยามสงครามก็ยังไม่ห้ามขบวนการค้านั้น ข้านึกคับข้องใจมากทีเดียว หากทั้งสองแคว้นสู้รบกัน ย่อมต้องอยากเอาอีกฝ่ายให้ถึงตาย หรือว่าแม้ในช่วงเวลานี้ ต้าฉู่ก็ยังต้องเห็นด้วยที่จะขายผ้าไหมและเสบียงอาหารให้ซีหลิงอย่างนั้นหรือ และยังจะเห็นด้วยให้หนานจ้าวจนส่งตัวยาผ่านต้าฉู่ไปยังซีหลิงหรือ อีกอย่าง ต่อให้ไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ ซื่อจื่อจะแบ่งแยกได้อย่างไรว่าพ่อค้าที่ผ่านเข้าออกในยามสงคราม เป็นพ่อค้าจริงๆ หรือเป็นคนสอดแนมกันแน่”

 

 

เหลยเถิงเฟิงอึ้งไปเล็กน้อย ได้แต่ทอดถอนใจด้วยความจนใจ เหลือบมองไปทางเจิ้นหนานอ๋องที่เอาแต่นิ่งเงียบฟังพวกเขาพูดคุยกันอยู่

 

 

เวลานี้เจิ้นหนานอ๋องถึงได้เงยหน้าขึ้นส่งสายตาเคลือบแคลงสงสัยไปทางเยี่ยหลี แล้วเอ่ยถามว่า “ชายาติ้งอ๋องต้องการเงื่อนไขอันใด”

 

 

เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ หันไปโบกมือให้หลินหานที่ยืนอยู่ด้านหลัง หลินหานหยิบจดหมายพับสองฉบับออกมาส่งให้เจิ้นหนานอ๋องและเหลยเถิงเฟิงคนละฉบับ

 

 

เจิ้นหนานอ๋องรับไป ก่อนหันมองเยี่ยหลีด้วยสายตาสงสัยแล้วจึงก้มลงเปิดอ่าน ครู่หนึ่งถึงได้เงยหน้าขึ้นถามว่า “ที่พระชายาเขียนมานี้ ซีหลิงของพวกเราจะได้ประโยชน์อันใด”

 

 

เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ในเมื่อซีเป่ยสามารถทำการค้ากับทุกแคว้นได้ ก็ย่อมไม่ปฏิบัติกับซีหลิงต่างไป เงื่อนไขที่เจิ้นหนานอ๋องและซื่อจื่อเอ่ยมานั้น ก็ย่อมสามารถแก้ได้ง่ายๆ แล้วมิใช่หรือ”

 

 

เจิ้นหนานอ๋องขมวดคิ้ว เอ่ยเสียงขรึมว่า “ข้าต้องการเวลาใคร่ครวญสักเล็กน้อย”

 

 

เยี่ยหลียิ้ม “เรื่องนี้แน่นอนอยู่แล้ว ท่านอ๋องกับซื่อจื่อค่อยให้คำตอบก่อนท่านไปจากหรู่หยางก็พอ”

 

 

เจิ้นหนานอ๋องพับกระดาษพับ ลุกขึ้นมองเยี่ยหลีแล้วเอ่ยว่า “ข้อเสนอที่ข้าเคยให้ก่อนหน้านี้ พระชายาจะไม่พิจารณาสักนิดเลยจริงๆ หรือ หากพระชายายินยอมมาที่ซีหลิง ข้าจะต้องให้ตำแหน่งอัครเสนาบดีกับท่านอย่างแน่นอน”

 

 

เยี่ยหลีอึ้งไป แล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ ในขณะที่กำลังจะเอ่ยปากตอบนั้น ก็ได้ยินเสียงเย็นๆ ของม่อซิวเหยาดังมาจากนอกประตูว่า “ขอบคุณในความหวังดีของเจิ้นหนานอ๋อง ชายารักของข้าไม่ต้องการตำแหน่งอัครเสนาบดีของซีหลิง อีกอย่าง ผู้ใดไม่รู้บ้างว่า ตำแหน่งอัครเสนาบดีในซีหลิงก็เป็นเพียงตำแหน่งลอยๆ เท่านั้น!”

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย

หลังถูกน้องสาวร่วมบิดาแทงข้างหลัง ทำให้ เยี่ยหลี คุณหนูสามแห่งจวนตระกูลเยี่ยถูกถอนหมั้นจาก ม่อจิ่งหลี ท่านอ๋องรูปงามแห่งเมืองหลวง แต่นางก็ยังมองโลกในแง่ดี หวังว่าตนจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอีกสักสองสามปี ทว่าเหตุไฉนสามวันให้หลัง ฝ่าบาทถึงได้พระราชทานสมรสให้นางอีกครั้งเล่า! การแต่งงานครั้งนี้แม้ฉากหน้าจะดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก แต่คนที่นางต้องอภิเษกสมรสด้วยกลับเป็น ม่อซิวเหยา ท่านอ๋องพิการไร้ประโยชน์ อีกทั้งยังมีรูปโฉมอัปลักษณ์ เล่าลือกันว่าเขาเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วถึงสองครา ทว่าหญิงสาวทั้งสองคนที่เขาสมรสด้วยกลับต้องมีอันเป็นไปภายหลังจากการแต่งงานได้ไม่นาน แต่ช้าก่อน…บุรุษที่แสนอ่อนโยนและเก่งกาจตรงหน้านางนี้น่ะหรือคือม่อซิวเหยา บุรุษที่กล่าวกันว่าเป็นคนน่ากลัว ไร้ค่า ไม่ได้เรื่องได้ความคนนั้น นี่คงมีอะไรที่เข้าใจผิดไปแล้วกระมัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset