ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 201-2 สารภาพ

การถือกำเนิดของติ้งอ๋องซื่อจื่อ สำหรับชาวบ้านในซีเป่ยแล้ว ไม่ต่างอันใดกับการถือกำเนิดของรัชทายาทแห่งต้าฉู่นัก ภายในเมืองหรู่หยางชาวบ้านต่างร้องเล่นเต้นระบำกันอย่างครื้นเครง มีเสียงประทัดดังขึ้นไปทั่ว ประหนึ่งกำลังเฉลิมฉลองวันปีใหม่อย่างไรอย่างนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่า เมื่อข่าวซื่อจื่อน้อยแพร่ออกไป จวนผู้ว่าการเมืองหรู่หยางก็ออกประกาศว่าจะลดภาษีทุกประเภทในเมืองหรู่หยางลงครึ่งหนึ่ง ทั้งยังมีประกาศความเมตตาต่างๆ ที่จะมีต่อประชาชนแปะอยู่ด้านนอกจวนผู้ว่าการเมืองอีกด้วย ชาวบ้านทั้งหลายย่อมยินดีกันจนเนื้อเต้น เสียงประทัดจึงดังกระหึ่มจนแม้แต่ในคุกก็ยังได้ยินอยู่ลางๆ

 

 

ภายในคุกใต้ดินที่มืดสลัวและสกปรก ซูจุ้ยเตี๋ยที่นอนอยู่กับพื้นขยับตัวด้วยความยากลำบาก เสียงประทัดที่ดังลอยเข้ามายิ่งทำให้คุกใต้ดินแห่งนี้น่าขนลุกขึ้นไปอีก และยิ่งทำให้นางที่สติสัมปชัญญะไม่ค่อยสมบูรณ์อยู่แล้วยิ่งสับสนไปหมด

 

 

ถึงคืนข้ามปีอีกแล้วหรือ นางเกือบลืมไปแล้วว่าตนเองถูกขังอยู่ในนี้นานเท่าไร สิ่งเดียวที่พอจำได้ก็คือจะต้องมีชีวิตต่อไปให้ได้ ขอเพียงยังมีชีวิตอยู่ นางก็ยังมีโอกาสไปจากที่นี่ ขอเพียงมีชีวิตอยู่ นางถึงจะได้ทุกอย่างที่ต้องการ นางถึงขั้นอดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่า หากในยามนั้นนางไม่คิดอยากได้มากมายเพียงนั้น ยามนี้นางคงได้นั่งเป็นฮูหยินรองของตำหนักติ้งอ๋องอย่างมั่นคงแล้วหรือไม่

 

 

ด้วยความสามารถทางการรบของม่อซิวเหยา บางทีนางอาจได้เป็นฮูหยินแม่ทัพใหญ่หรืออันใดไปแล้วก็เป็นได้ เพียงแต่…สิ่งที่นางต้องการมิได้มีเพียงเท่านั้น…นาง ซูจุ้ยเตี๋ยรูปลักษณ์งดงามสะท้านเมือง ความสามารถโดดเด่นเหนือผู้ใด ผู้คนต่างบอกว่านางเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าฉู่ เหตุใดนางถึงต้องอยู่ภายใต้สตรีที่แสนจะธรรมดาเหล่านั้นด้วย มีชีวิตอยู่ต่อไป ไปจากที่นี่ เพื่อให้ได้ทุกอย่างที่ตนต้องการ ซูจุ้ยเตี๋ยบอกตนเองเช่นนี้ทุกวัน

 

 

โครม…

 

 

ประตูใหญ่ของคุกถูกเปิดออก ฉินเฟิงเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเยือกเย็น จั๋วจิ้งกับหลินหานก็เข้ามาพร้อมเขาด้วย ทั้งสามคนสีหน้าดูไม่ดีนัก ซื่อจื่อน้อยเพิ่งเกิด แต่พวกเขากลับไม่สามารถไปดูลูกน้อยที่พระชายาเพิ่งให้กำเนิดได้ แต่กลับต้องมาสอบปากคำสตรีนางนี้ ทำให้พวกเขาอารมณ์ดีไม่ได้เลยจริงๆ

 

 

เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า ซูจุ้ยเตี๋ยก็ยันตัวขึ้นนั่งกับพื้น ยิ้มหันมองทั้งสาม “จะมาเริ่มกันอีกแล้วหรือ” ใบหน้าที่เลอะเปรอะเปื้อนไปกว่าครึ่ง มีประกายยิ้มเยาะและถือดี ต่อให้คนพวกนี้มาสอบสวนและทำร้ายร่างกายนางทุกวันแล้วอย่างไร แต่ก็ทำอันใดนางมิได้ไม่ใช่หรือ ทุกครั้งเมื่อเห็นพวกเขาต้องพ่ายแพ้และหัวเสียกลับไป ในใจนางมักรู้สึกยินดีอย่างประหลาด

 

 

ฉินเฟิงใช้ขาเขี่ยเศษข้าวของตรงหน้าออกไป มองนางด้วยสายตาเลือดเย็นแล้วเอ่ยอย่างเยาะหยันว่า “เจ้าคิดว่าพวกเรามีแค่วิธีเหล่านั้นที่จะทำให้เจ้ายอมสารภาพหรือ ข้าจะบอกข่าวดีเจ้าให้เรื่องหนึ่ง พระชายาเพิ่งคลอดซื่อจื่อน้อย ยามนี้ในเมืองหรู่หยางกำลังครื้นเครงกันมากทีเดียว”

 

 

นัยน์ตาซูจุ้ยเตี๋ยฉายแววริษยา นิ่งเงียบไม่พูดอันใด

 

 

ฉินเฟิงก็ไม่สนใจ เอ่ยเรียบๆ ว่า “ยังมีอีกข่าวที่ไม่ค่อยดีนัก ท่านอ๋องได้มีบัญชาลงมาแล้วว่า ภายในวันนี้จะต้องเค้นคำตอบออกมาให้ได้”

 

 

ซูจุ้ยเตี๋ยยิ้มเยาะ “ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพูดอันใด”

 

 

ฉินเฟิงพยักหน้าอย่างคาดไว้แล้ว “รู้อยู่แล้วว่าเจ้าจะต้องพูดเช่นนี้ ดังนั้นท่านอ๋องถึงได้สั่งไว้ด้วยว่า หากถามออกมาไม่ได้ ก็ให้เจ้าตายไปเสีย”

 

 

“เจ้าว่าอันใดนะ” ซูจุ้ยเตี๋ยอึ้งไป เอ่ยถามเสียงสั่นพร้อมมองหน้าฉินเฟิงอย่างไม่อยากเชื่อ

 

 

ฉินเฟิงปรายตามองสตรีที่พื้นอย่างเย้ยหยัน ส่งยิ้มให้นางอย่างเยือกเย็น “ลืมบอกเจ้าไป สองเดือนก่อนหน้านี้ พวกเราจับตัวเซวียเฉิงเหลียง รองหัวหน้าผู้บัญชาการของหน่วยอวี้หลินมาได้ เจ้าคงรู้จักกระมัง ในโลกนี้ไม่มีเรื่องใดที่เป็นความลับไปตลอดกาล หากถามเจ้าไม่ได้ความ จะถามเอาจากคนอื่นไม่ได้เชียวหรือ”

 

 

“เซวียเฉิงเหลียง?” ซูจุ้ยเตี๋ยดูงุนงงเล็กน้อย ดูเหมือนไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน

 

 

ฉินเฟิงก้มหน้าลงคิดเล็กน้อยก็เข้าใจทันที สิบปีก่อนเซวียเฉิงเหลียงเป็นเพียงองครักษ์ติดตามม่อจิ่งฉีเท่านั้น ไม่แน่ว่าซูจุ้ยเตี๋ยจะจำเขาได้ จึงเอ่ยว่า “สิบปีก่อน เจ้าเอาของอันใดจากตำหนักติ้งอ๋องไปให้ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ยามนั้นเจ้าให้ผ่านผู้บัญชาการเซวียคนนี้ไป เจ้าคงไม่ถึงกับจำไม่ได้แล้วกระมัง”

 

 

ซูจุ้ยเตี๋ยตาเบิกโพลง รีบกระถดขาข้างที่ไม่ถนัดนักเข้ามุมกำแพงอย่างรวดเร็ว ร้องเสียงแหลมว่า “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดเรื่องอันใด! ของอันใด ข้าไม่เคยเอาอันใดออกมาจากตำหนักติ้งอ๋อง!”

 

 

ฉินเฟิงผินหน้าไปมองจั๋วจิ้งกับหลินหานที่ยืนอยู่ข้างๆ ทั้งสามย่อมเห็นซูจุ้ยเตี๋ยที่ตัวสั่นอย่างชัดเจน

 

 

จั๋วจิ้งกระตุกมุมปาก “ลากออกมาทรมาน ไม่ต้องทะนุถนอมแล้ว ถึงอย่างไรถ้าผ่านวันนี้ไปแล้วนางก็ต้องตายอยู่ดี”

 

 

องครักษ์สองคนเดินเข้ามาตามคำสั่ง จับซูจุ้ยเตี๋ยลากขึ้นมาจากพื้นโดยไม่เกรงใจ ก่อนจับโยนออกไปในคุกด้านนอก

 

 

ห้องขังด้านนอกสะอาดและแห้งกว่าห้องขังด้านในมากนัก และยังมีโต๊ะกับเก้าอี้วางอยู่ด้วย ด้านข้างมีคนนั่งฝนหมึกเตรียมจดบันทึกคำสารภาพของนางอยู่

 

 

พวกฉินเฟิงทั้งสามนั่งลง พลิกม้วนกระดาษบนโต๊ะ ส่วนซูจุ้ยเตี๋ยถูกคนจับมัดไว้กับเสาไม้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

 

ฉินเฟิงมองสตรีมอมแมมตรงหน้าด้วยสายตาเย็นเยียบ ไม่เหลือเค้าหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าในวันวานอีกแล้ว “ว่าอย่างไร คุณหนูซู ท่านจะพูดเองหรือจะให้พวกเราค่อยๆ ทรมานท่านดี ข้าจะคอยดูว่าท่านจะทนได้สักกี่น้ำ”

 

 

ซูจุ้ยเตี๋ยกัดฟันไม่ตอบ

 

 

ฉินเฟิงยิ้มเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน “วันนี้ข้าไม่รีบ ถึงอย่างไรหากไม่ได้คำตอบก่อนยามจื่อ ต่อให้ข้าฆ่าท่านก็รายงานต่อท่านอ๋องได้อยู่ดี ส่วนถึงยามนั้นท่านจะแขนหายหรือขาขาดไปบ้าง เชื่อว่าคุณหนูซูเองก็คงไม่ว่ากระไรกระมัง”

 

 

ฉินเฟิงผินหน้ามองสำรวจซูจุ้ยเตี๋ยอยู่พักใหญ่ ก่อนชี้นิ้วไปยังคนทั้งสองที่ยืนอยู่ด้านข้าง “ต่างว่ากันว่าคุณหนูซูเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของใต้หล้า? หากกรีดมีดลงบนใบหน้าแล้วจะยังมีคนเห็นว่าสวยอีกหรือไม่นะ”

 

 

จั๋วจิ้งเบ้ปาก เอ่ยอย่างอดไม่ได้ว่า “สภาพนางเป็นเช่นนี้แล้ว ยังเหมือนหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าอันใดได้ ต่อให้ไม่กรีดหน้านางก็อัปลักษณ์จะแย่อยู่แล้ว”

 

 

ฉินเฟิงหัวเราะหึหึ “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ครึ่งปีมานี้พวกเราไม่เคยขี้เหนียวเรื่องอาหารของคุณหนูซูมาก่อน ไม่มีทางให้นางผอมแห้งผิวเหลืองอย่างแน่นอน ข้ากล้ารับประกันว่า ใบหน้านั้นยังคงงดงามอยู่มาก”

 

 

หลินหานขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ลงมือเถิด รีบทำให้เสร็จจะได้รีบกลับ”

 

 

ฉินเฟิงเชิดคางขึ้นทีหนึ่ง องครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ชักกริชออกมาเดินไปตรงหน้าซูจุ้ยเตี๋ยทันที

 

 

เมื่อซูจุ้ยเตี๋ยเห็นกริชที่มีประกายคมกริบแล้ว แววตาก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว นางได้ชื่อว่าเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้า หากใบหน้านี้ถูกทำให้เสียโฉม… “ไม่! เจ้ากล้า…ท่านอ๋องไม่มีทางปล่อยพวกเจ้าไปแน่! พวกเจ้ากล้าทำเช่นนี้กับข้า…”

 

 

ฉินเฟิงยิ้มเย็นอย่างดูแคลน “สตรีที่แสนโง่เขลา”

 

 

เห็นได้ชัดว่าคนที่ลงมือก็มิได้ทะนุถนอมหยกงามเลยแม้แต่น้อย กริชในมือสะบัดเป็นรูปดอกไม้สองดอก

 

 

ซูจุ้ยเตี๋ยรู้สึกเย็นวาบที่ใบหน้า ก็ร้องเสียงหลงขึ้นทันที “ไม่นะ…กรี๊ด หน้าของข้า!”

 

 

กากบาทสองอันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนางทั้งสองข้าง เลือดสดๆ ไหลทะลักออกมาจากแผล

 

 

ซูจุ้ยเตี๋ยใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม ยามนี้ถึงได้รู้สึกตัวว่า ฉินเฟิงมิได้กำลังข่มขู่นาง ใบหน้าของนางเสียโฉมไปแล้วจริงๆ “กรี๊ดๆ…หน้าของข้า! หน้าของข้า ข้าจะฆ่าพวกเจ้า! ม่อซิวเหยา เยี่ยหลี พวกเจ้าต้องตาย!”

 

 

ชายที่ยืนตรงหน้า สะบัดตบหน้านางซ้ายขวาอย่างไม่ลังเล ใบหน้าที่เพิ่งเกิดแผล เมื่อโดนตบหนักๆ อีกสองทีจึงแดงแจ๋ขึ้นมาทันที เลือดสดๆ ที่ไหลอาบลงมา ทำให้ยิ่งดูน่าสยดสยอง

 

 

การที่นางถูกทำให้เสียโฉม ดูจะทำร้ายจิตใจนางเสียยิ่งกว่าการที่ขาใช้การไม่ได้และต้องถูกสอบสวนทรมานอยู่ทุกวันมากนัก การทรมานหลังจากนั้น

 

 

ซูจุ้ยเตี๋ยยังคงเอ่ยก่นด่าสาปแช่งไม่ได้หยุด ประหนึ่งการทรมานอย่างโหดร้ายไม่มีผลอันใดกับนางกระนั้น แม้แต่จั๋วจิ้งยังอดทอดถอนใจไม่ได้ สตรีเช่นนี้หากฝึกดีๆ ต่อไปใช้ให้เป็นสายลับจะต้องเป็นสายลับที่ยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน อย่างน้อยก็ไม่ต้องเป็นห่วงว่านางจะทรยศเพราะถูกทรมาน

 

 

ในที่สุดฉินเฟิงก็หมดความอดทน ถึงแม้เขายังมีวิธีทรมานที่ยังไม่ได้เอามาใช้กับซูจุ้ยเตี๋ย แต่เขาก็ไม่อยากให้มีกลิ่นคาวเลือดในวันที่ซื่อจื่อน้อยเพิ่งกำเนิดให้มากเกินไปนัก

 

 

จนเมื่อผ่านพ้นยามจื่อไป ความอดทนของฉินเฟิงก็หมดลงทันที ลุกขึ้นเอ่ยสั่งการว่า “ลงมือเถิด ให้นางเห็นตัวเองค่อยๆ ตายไปก็แล้วกัน เสียเวลาข้าจริง สั่งการลงไป ให้คนออกเดินทางไปเมืองหลวง ลอบจับตัวคนใกล้ชิดม่อจิ่งฉีเมื่อสิบปีก่อนตามคำให้การของเซวียเฉิงเหลียงกับถานจี้จือกลับมาทันที”

 

 

“ขอรับ หัวหน้า!”

 

 

มือทั้งสองข้างของซูจุ้ยเตี๋ยถูกจับมัดไว้กับท่อนไม้ ข้อมือข้างหนึ่งถูกบาดจนเป็นแผลลึก เลือดสดๆ หยดติ๋งๆ ลงกับพื้น ภายในห้องขังกลับเงียบสงบลงไม่เหลือผู้ใดอยู่อีก นางผินหน้าไปมองรอยเลือดที่ไหลออกไปด้านนอกไม่หยุด หูก็ได้ยินเพียงเสียงหยดติ๋งๆ ของเลือด

 

 

จากนั้นในหูของซูจุ้ยเตี๋ยก็ได้ยินเพียงเสียงวิ้งๆ แล้วจู่ๆ ก็ประหนึ่งได้ยินเสียงเย็นของฉินเฟิงดังขึ้นที่ข้างหู “พระชายาเพิ่งให้กำเนิดซื่อจื่อน้อย เมืองหรู่หยางกำลังครึกครื้นทีเดียว” กำลังครึกครื้น…เหตุใดนางถึงไม่ได้ยินอันใดเลย

 

 

นางเห็นรอยเลือดบนพื้นที่ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ นางรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายนางเริ่มหมดแรง ประหนึ่งรับรู้ได้ถึงหยาดเลือดที่ไหลออกมาจากเส้นชีพจรเลยทีเดียว นางถึงขั้นรู้ตัวว่า ตนจะต้องเลือดไหลหมดตัวจนหยดสุดท้ายเสียก่อน ถึงจะค่อยๆ ตายไป

 

 

“ไม่…ข้าไม่อยากตาย…”

 

 

“ช่วยด้วย…ข้าอยากพบม่อซิวเหยา! ข้าพูด ข้าจะพูดทั้งหมด!”

 

 

ด้านนอกเงียบกริบไร้ผู้คน ซูจุ้ยเตี๋ยเริ่มหวาดกลัวเมื่อพบว่าตนจะต้องตายอยู่ที่นี่จริงๆ ความหวาดกลัวนี้ทำให้นางยิ่งร้อนรน และยิ่งรู้สึกว่าเลือดของตนไหลออกมาเร็วขึ้น “ข้าพูด! ข้าจะพูดทั้งหมด! ช่วยด้วย…ข้าไม่อยากตาย!”

 

 

ด้านนอก มุมปากฉินเฟิงยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเลือดเย็น “พูดแต่แรกก็หมดเรื่องแล้ว ยังคิดว่าต่อให้ตายนางก็จะไม่พูดเสียอีก”

 

 

หลินหานเอ่ยว่า “คงเพราะครานี้นางรู้ตัวแล้วว่าไม่มีทางไป นางไม่พูดเซวียเฉิงเหลียงก็ต้องพูด ก่อนหน้านี้นางแค่คิดว่าไม่มีผู้อื่นรู้ก็เท่านั้น”

 

 

“ไปรายงานท่านอ๋องเถิด”

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย

หลังถูกน้องสาวร่วมบิดาแทงข้างหลัง ทำให้ เยี่ยหลี คุณหนูสามแห่งจวนตระกูลเยี่ยถูกถอนหมั้นจาก ม่อจิ่งหลี ท่านอ๋องรูปงามแห่งเมืองหลวง แต่นางก็ยังมองโลกในแง่ดี หวังว่าตนจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอีกสักสองสามปี ทว่าเหตุไฉนสามวันให้หลัง ฝ่าบาทถึงได้พระราชทานสมรสให้นางอีกครั้งเล่า! การแต่งงานครั้งนี้แม้ฉากหน้าจะดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก แต่คนที่นางต้องอภิเษกสมรสด้วยกลับเป็น ม่อซิวเหยา ท่านอ๋องพิการไร้ประโยชน์ อีกทั้งยังมีรูปโฉมอัปลักษณ์ เล่าลือกันว่าเขาเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วถึงสองครา ทว่าหญิงสาวทั้งสองคนที่เขาสมรสด้วยกลับต้องมีอันเป็นไปภายหลังจากการแต่งงานได้ไม่นาน แต่ช้าก่อน…บุรุษที่แสนอ่อนโยนและเก่งกาจตรงหน้านางนี้น่ะหรือคือม่อซิวเหยา บุรุษที่กล่าวกันว่าเป็นคนน่ากลัว ไร้ค่า ไม่ได้เรื่องได้ความคนนั้น นี่คงมีอะไรที่เข้าใจผิดไปแล้วกระมัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset