สองสามวันหลังจากนั้น ท่านหมอหลินถึงเก็บของทุกอย่างจนเสร็จเรียบร้อย รวมถึงตำราหนังสือที่เรียกได้ว่าโบราณและตำราที่มีเพียงเล่มเดียวของเขา ส่วนเยี่ยหลีเองก็อาศัยช่วงเวลานี้ในการจัดเตรียมสิ่งของที่จำเป็น จากนั้นในช่วงเช้าตรู่ที่คนในหมู่บ้านทั้งหลายยังคงหลับใหล ก็มีหัวหน้าชนเผ่าที่อายุกว่าเจ็ดสิบปีเป็นคนออกมาส่งพวกเขาเข้าภูเขาด้วยตนเอง
เส้นทางนั้นเป็นเส้นทางใต้น้ำตกที่เยี่ยหลีค้นพบจริงๆ ชายชราหัวหน้าชนเผ่านำทั้งสองคนแทรกตัวเข้าไปหลังม่านน้ำตก ด้านในเป็นถ้ำหินปูนขนาดใหญ่โตมโหฬาร
เยี่ยหลีเตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว นางดึงเสื้อคลุมไม้ไผ่ที่คลุมไหล่อยู่ออกมาสะบัดน้ำที่อยู่ด้านบนออก ตั้งแต่ตอนที่นางดึงเสื้อคลุมไม้ไผ่ออกมาคลุมไหล่ หัวหน้าชนเผ่าและท่านหมอหลินต่างก็มองนางด้วยความตกใจ
เยี่ยหลีระบายยิ้มน้อยๆ “นี่ข้ามิได้ทำเพื่อลูกน้อยหรือ ป้องกันไว้ก่อน…”
ท่านหมอหลินมองนางด้วยสายตาที่มีความหมายล้ำลึก แต่มิได้พูดอันใดออกมา
หัวหน้าชนเผ่าที่ศีรษะเต็มไปด้วยผมขาวมองทั้งสองแต่มิได้พูดอันใดเช่นกัน เห็นได้ชัดว่า ก่อนหน้านี้ท่านหมอหลินได้เคยพูดคุยกับเขาเรื่องนี้แล้ว แล้วจึงออกเดินนำทั้งสองเข้าไปในถ้ำหินปูน
ถ้ำหินปูนแห่งนี้ทั้งใหญ่และลึก เห็นได้ชัดว่าเป็นถ้ำหินตามธรรมชาติ บนเพดานถ้ำมีหินย้อยหน้าตาประหลาดต่างๆ และมีหยดน้ำหยดลงมาเป็นระยะๆ ตรงกลางเป็นแม่น้ำที่คนสร้างขึ้นที่มีกระแสน้ำเชี่ยวกราก เส้นทางน้ำไม่เพียงทำขึ้นอย่างเรียบร้อยสวยงาม แต่แม้แต่ริมแม่น้ำทั้งสองฝั่ง ยังใช้หินที่ตัดขึ้นอย่างปราณีต ถึงแม้จะด้วยเพราะไม่มีคนใช้งานผ่านไปผ่านมาเป็นเวลาหลายปีจนมีตะไคร่น้ำขึ้นเต็มไปหมด แต่หากลองสังเกตดีๆ แล้ว ที่ด้านใต้หินยังคงเห็นเป็นลวดลายอันงดงาม
เยี่ยหลีอดไม่ได้ที่จะกระตุกมุมปากขึ้น ว่ากันว่าฮ่องเต้ทุกพระองค์ เมื่อขึ้นครองราชย์ก็จะเริ่มสร้างสุสานหลวงของตนเองขึ้น หากสุสานหลวงทั้งหมดมีขนาดเท่าสุสานของปฐมฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ก่อนแล้ว เช่นนั้นก็จำเป็นต้องเริ่มสร้างตั้งแต่ขึ้นครองราชย์จริงๆ เพราะแม้แต่สถานที่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับสุสานหลวงยังสร้างถึงขั้นนี้ หากไม่เริ่มสร้างโดยเร็ว ไม่แน่ว่าคนตายไปแล้วอาจยังไม่มีที่ฝังก็เป็นได้
ทั้งสามเดินตามทางในถ้ำหินปูนตรงเข้าไปด้านใน เมื่อเดินเข้าไปได้เกือบครึ่งชั่วยามจึงหยุดลง และมาจนถึงสุดทาง เห็นเพียงกระแสน้ำที่ไหลทะลักเข้ามาใต้กำแพงหิน เยี่ยหลีเพียงหวังว่า นางจะไม่ต้องดำน้ำด้วยสภาพในยามนี้
หัวหน้าชนเผ่าอาวุโสเอามือคลำไปทั่วกำแพงหินที่มีตะไคร่และวัชพืชต่างๆ ขึ้นเต็มไปหมด ผ่านไปพักใหญ่ ถึงได้คลำไปเจอจุดหนึ่ง จากนั้นจึงได้หยิบกุญแจรูปร่างประหลาดออกมาจากหน้าอกเสื้อ แล้วนำไปบิดหมุนบนกำแพงหิน ไม่นาน ก็เกิดเสียงดังกระหึ่มขึ้น กำแพงหินแยกออกจากกันกลายเป็นประตู
หัวหน้าชนเผ่าอาวุโสมองทั้งสองคนแล้วเอ่ยว่า “พวกเจ้าเข้าไปเถิด ดูแลตัวเองด้วย”
ท่านหมอหลินพยักหน้า “พวกเจ้า…”
หัวหน้าชนเผ่าอาวุโสยกมือขึ้นขัดเขา พยักหน้าเอ่ยว่า “ข้ารู้ พวกเราคุ้มครองสถานที่แห่งนี้มาหลายร้อยปีแล้ว ไม่เคยมีผู้ใดเข้าไปมาก่อน ผ่านมานานหลายปีเช่นนี้…พวกเราเองก็ไม่อยากรู้ว่าด้านในมีอันใดแล้ว ในเมื่อในยามนั้นปฐมฮ่องเต้มิได้ส่งมอบสิ่งของด้านในให้คนรุ่นหลัง เช่นนั้นยามนี้พวกเราก็ไม่อยากเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ ข้าแก่แล้ว หวังเพียงว่าต่อไปหมู่บ้านแห่งนี้จะกลายเป็นเพียงหมู่บ้านธรรมดาๆ ไม่ต้องปกป้องคุ้มครองอันใดอีก ความลับนี้ให้สิ้นสุดลงที่ข้าก็แล้วกัน ข้าขอบคุณเจ้ามาก ที่หลายปีมานี้เจ้าไม่เปิดเผยความลับให้กับนายน้อยได้ล่วงรู้…เมื่อพวกเจ้าเข้าไปแล้ว สิ่งนี้ก็คงใช้ประโยชน์ไม่ได้อีก นำติดตัวไปด้วยก็แล้วกัน”
ท่านหมอหลินพยักหน้า “รักษาตัวด้วย” เมื่อรับกุญแจที่หัวหน้าชนเผ่าอาวุโสส่งมาให้แล้ว ท่านหมอหลินก็ดึงเยี่ยหลีให้เดินเข้าไปด้านใน แล้วกำแพงหินก็ค่อยๆ ปิดกลับเข้าหากันอีกครั้ง
ในขณะที่ประตูปิดสนิทเข้าหากันอีกครั้งนั้น ตรงหน้าทั้งสองก็มีเพียงความมืดมิด ท่านหมอหลินจุดชุดไฟพกพาขึ้น แล้วเดินเข้าไปจุดตะเกียงน้ำมันบนกำแพง แสงไฟจากตะเกียงบนกำแพงหิน สะท้อนกับกระจกที่อยู่ทะแยงมุมไปอีกด้าน แล้วแสงไฟนั้นก็สะท้อนไปทางกระจกอีกอันอย่างรวดเร็ว ในชั่วเวลาไม่นาน ทางเดินที่เคยมืดมิดก็สว่างขึ้นทันที
เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้น เดินตามท่านหมอหลินเข้าไปโดยมิได้พูดอันใด
ภายในทางเดินเงียบสนิท ได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าของทั้งสองคนเท่านั้น เยี่ยหลีเดินไปพลางมองสำรวจกำแพงหินทั้งสองด้านไปพลาง ต้องบอกเลยว่า ปฐมฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ก่อนช่างร่ำรวยเสียจริง เยี่ยหลีที่มีฐานะเป็นชายาตำหนักติ้งอ๋องเคยได้ร่วมพิธีเซ่นไหว้สุสานหลวงอยู่ครั้งสองครั้ง วังใต้ดินของอดีตฮ่องเต้ก็เคยเข้าไปมาแล้ว ถึงแม้จะอยู่เพียงด้านนอกสุดก็ตาม แต่ถึงอย่างไรบนทางเดินด้านนอกสุดที่ไม่เป็นที่สะดุดตา ก็ยังสร้างขึ้นโดยใช้หินแกะสลักอย่างงดงาม มังกรที่แกะสลักอยู่ทั้งบนกำแพงหินและบนพื้นทางเดินนั้นเสมือนจริงประหนึ่งมีชีวิต มังกรทุกตัวฝังอัญมณีสีสันต่างๆ เอาไว้ที่ดวงตา ความร่ำรวยและความดุดันของราชวงศ์พุ่งตรงเข้ามาหาทันทีที่ได้เห็น
ทั้งสองเดินไปตามเส้นทางด้านหน้า แต่ยังไม่พบค่ายกลหรือหลุมพรางประเภทต่างๆ อย่างในนิยาย ในสุสานหลวงที่ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันเช่นนี้ เยี่ยหลีทำได้เพียงวิเคราะห์ทิศทางและระยะทางที่พวกเขาเดินมาคร่าวๆ เท่านั้น
ครึ่งชั่วยามต่อมา ในที่สุดก็มาถึงห้องด้านข้าง กลิ่นจากตะเกียงน้ำมันทั่วตำหนักหอมฟุ้งไปทั่วห้อง เยี่ยหลีถอยห่างจากตะเกียงน้ำมันไปสองสามก้าวอย่างระมัดระวัง แต่นางก็สามารถตั้งตัวได้อย่างรวดเร็ว กลิ่นนี้มิใช่กลิ่นที่มีพิษ แต่เป็นกลิ่นหลงเสียง เพียงแต่กลิ่นนั้นก็มิได้มีประโยชน์อันใดต่อสตรีมีครรภ์ เยี่ยหลีจึงพยายามอยู่ให้ห่างกลิ่นนั้นอย่างเต็มที่
ท่านหมอหลินก้มลงมองแผนที่ที่เก่าและขาด พร้อมกวาดตามองห้องที่ว่างเปล่า “พักสักหน่อยแล้วกัน เจ้าเองก็เหนื่อยแล้ว…”
เยี่ยหลีมองแผนที่ในมือเขา เอ่ยถามด้วยความแปลกใจว่า “ในเมื่อหัวหน้าชนเผ่าอาวุโสไม่อยากให้ทรัพย์สมบัติในสุสานหลวงได้พบแสงตะวัน เขาไม่กลัวว่าเมื่อพวกเราออกไปแล้วจะกลับมาเอาของข้างในไปหรือ”
ท่านหมอหลินหันหน้ามามองนาง แล้วเอ่ยเรียบๆ ว่า “ว่ากันว่า…ทางเข้าสุสานหลวงที่พวกเราเข้ามา หากไม่มีกุญแจจะไม่สามารถเปิดได้ ส่วนประตูที่พวกเราจะออกไป…สามารถเปิดได้เพียงครั้งเดียว และแต่ละครั้งจะเปิดได้เพียงหนึ่งเค่อเท่านั้น”
เยี่ยหลีอดเหงื่อตกไม่ได้ “ท่านอาจารย์มั่นใจหรือว่า ทางออกนั้นยังไม่เคยมีผู้ใดเปิดมาก่อน”
การมีคนเรียกเขาว่าท่านอาจารย์ดูจะทำให้เขาอารมณ์ดีไม่น้อย สีหน้าดูผ่อนคลายลงมากทีเดียว “หากเคยเปิดมาแล้ว เจ้าจะทำเช่นไร”
เยี่ยหลีระบายยิ้ม เอ่ยอย่างจนใจว่า “เช่นนั้นก็ทำได้เพียงร่วมเป็นร่วมตายไปพร้อมกับท่านอาจารย์เท่านั้น สงสารก็เพียงบุตรในครรภ์ของข้า…”
ท่านหมอหลินอดยิ้มออกมาไม่ได้ มองหน้านางเอ่ยว่า “เจ้าเด็กคนนี้มีชะตาที่ยิ่งใหญ่นัก อยู่กับเจ้ามานานเช่นนี้แล้วยังแข็งแรงดี ไม่เป็นอันใดหรอก”
“น้อมรับคำอวยพรของท่านอาจารย์” เยี่ยหลีเอ่ยยิ้มๆ จิตใจผ่อนคลายลงมาก แล้วเยี่ยหลีจะเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัยอย่างยิ่งว่า “ฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งแคว้นแห่งราชวงศ์ก่อนทิ้งสิ่งใดไว้ในสุสานหลวงหรือ แล้วยังหัวหน้าชนเผ่าอาวุโสอีก เหตุใดถึงไม่อยากให้หลินย่วนได้ของสิ่งนั้นไปหรือเจ้าคะ”
ท่านหมอหลินเอ่ยเรียบๆ ว่า “ไม่รู้สิ แต่ปฐมฮ่องเต้ได้เคยรับสั่งไว้ว่า องครักษ์ที่คุ้มครองสุสาน มิอาจให้สมบัติภายในออกไปด้านนอกได้ ส่วนหัวหน้าชนเผ่าอาวุโส…พวกเขาเพียงแค่อยากใช้ชีวิตอยู่ต่อไปเท่านั้น”
เยี่ยหลีเลิกคิ้ว
ท่านหมอหลินเอ่ยว่า “หลินย่วนเติบโตในหมู่บ้านมาตั้งแต่เด็ก หัวหน้าชนเผ่าอาวุโสย่อมรู้จักนิสัยเขาเป็นอย่างดี หากเขายังไม่ได้ของสิ่งนั้นก็ว่าไปอย่าง แต่หากให้เขาได้ของสิ่งนั้นไปแล้ว คนในหมู่บ้านนี้คงไม่มีผู้ใดรอดชีวิตไปได้แม้แต่คนเดียว”
เยี่ยหลีนึกสงสัย ท่านหมอหลินโบกมือเป็นสัญญาณว่าไม่อยากพูดถึงอีก
เยี่ยหลีหาที่นั่งนั่งลง ลูบท้องเบาๆ เป็นการปลอบลูกน้อยในครรภ์ จากนั้นจึงมองสำรวจลวดลายที่แกะสลักอยู่บนกำแพงหิน ภายในห้องที่ทำจากหินอันว่างเปล่านั้นเงียบสงัด ได้ยินเพียงเสียงเยี่ยหลีเอามือเคาะกำแพงหินเบาๆ เป็นครั้งคราวเท่านั้น