ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 155 ความเป็นความตายของเทียนอี้เก๋อ

 

 

เมื่อเห็นองครักษ์สองนายเดินเข้ามา เขาก็หันมองบรรดาองครักษ์ที่ยืนอยู่ข้างเยี่ยหลี หานหมิงเย่ว์ถอนใจเฮือกหนึ่ง แต่มิได้มีเจตนาที่จะต่อต้าน เพียงยืนรอให้เข้ามาจับตัวไปเท่านั้น กับเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับซูจุ้ยเตี๋ยแล้ว หานหมิงเย่ว์ถือเป็นคนที่ฉลาดมาโดยตลอด เขาย่อมรู้ดีกว่า ในสถานการณ์เช่นนี้ ต่อให้เขาต่อต้านไปก็เสียแรงโดยเปล่าประโยชน์

 

 

เขาเหลือบมองซูจุ้ยเตี๋ยอย่างรู้สึกผิด หานหมิงเย่ว์เอ่ยเสียงเบาว่า “จุ้ยเตี๋ย ดูท่าเราคงต้องอยู่ในจวนผู้ว่าการอีกสักพักหนึ่งแล้ว”

 

 

ซูจุ้ยเตี๋ยกัดฟัน จับจ้องเยี่ยหลีที่นั่งสบายๆ อยู่ด้วยแววตาแฝงความแค้นใจ ก่อนหันไปถลึงตาใส่หานหมิงเย่ว์เอ่ยว่า “เจ้าไม่เคยทำอันใดสำเร็จเลยสักอย่าง! มิน่าท่านอ๋องถึงได้บอกว่าเจ้ามีแต่จะทำให้เสียเรื่อง

 

 

หานหมิงเย่ว์ก้มหน้าลงด้วยความเจ็บปวด

 

 

เยี่ยหลีมองทั้งสองคนแล้วได้แต่เอ่ยทอดถอนใจว่า “คุ้มค่าหรือ”

 

 

“ในเมื่อได้เลือกแล้ว ก็ไม่มีคำว่าคุ้มค่าหรือไม่” หานหมิงเย่ว์เอ่ยเรียบๆ หันไปประสานมือให้เยี่ยหลี ก่อนหมุนตัวยอมให้องครักษ์พาตัวออกไป

 

 

เยี่ยหลีมองประเมินสตรีผู้แสนงดงามตรงหน้าเงียบๆ เมื่อผ่านช่วงเวลาตื่นตาตื่นใจที่สุดไปแล้ว แล้วยิ่งได้เห็นลักษณะนิสัยหลายอย่างของซูจุ้ยเตี๋ยในช่วงหลายวันนี้ ก็ค่อยๆ ทำให้ความงดงามจับใจของสตรีผู้นี้ดูจืดจางลง

 

 

เยี่ยหลีมองนางพร้อมยกริมฝีปากขึ้นยิ้มน้อยๆ หญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าฉู่…ก็เท่านี้เอง ว่าเรื่องความงามแล้ว นางโดดเด่นเหนือยผู้ใดก็จริง แต่กลับขาดความรู้สึกรักใคร่โดยไม่อยากจาก บางทีการอยู่ในห้วงของความคาดหวังอาจเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด คนในใต้หล้าต่างจดจำความงดงามที่สะท้านไปทั่วแผ่นดินของเมืองหลวงได้ และการที่ซูจุ้ยเตี๋ยเสียชีวิตไปก่อนเวลาอันควรก็ยิ่งทำให้ความงดงามของนางกลายเป็นสิ่งลึกลับประหนึ่งมีผ้าคลุมหน้าบดบังอยู่อีกชั้นหนึ่ง แต่เมื่อสตรีที่งดงามเช่นนั้นมาปรากฏต่อหน้าต่อตาแล้ว กลับทำให้ผู้คนอดรู้สึกผิดหลังไม่ได้ หญิงงามอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้า…ก็เท่านี้เอง

 

 

ซูจุ้ยเตี๋ยรับรู้ถึงสายตาประเมินของเยี่ยหลีที่มองมาอย่างชัดเจน หากในตอนแรกนางยังพอมีความได้ใจซ่อนอยู่บ้างแล้วล่ะก็ สายตามองประเมินของเยี่ยหลีที่มีแววไม่ยอมรับนางเช่นนั้น ก็ก่อเกิดความโกรธแค้นอยู่ในจิตใจของนาง

 

 

นางนิ่งเฉยอยู่พักใหญ่ จนในที่สุดก็อดไม่ได้ เอ่ยออกมาด้วยความโกรธว่า “มองอันใดนักหนา!”

 

 

เยี่ยหลีเก็บสายตากลับประหนึ่งไม่มีอันใดเกิดขึ้น เอ่ยเรียบๆ ว่า “ไป๋กุ้ยเฟยยังมีเรื่องอันใดอีกหรือไม่ หากไม่มีแล้วก็กลับเข้าห้องไปพักผ่อนเถิด ข้าขอตัวล่ะ”

 

 

ซูจุ้ยเตี๋ยส่งเสียงหึเบาๆ ก่อนหมุนตัวเดินเข้าห้องไป

 

 

เยี่ยหลียิ้มบางๆ ก่อนลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปเช่นกัน คณะฉินเฟิงเดินตามนางออกไป เยี่ยหลีเดินไปพลางเอ่ยถามไปพลางว่า “ด้านนอกเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”

 

 

เว่ยลิ่นตอบว่า “พระชายาโปรดวางใจ คนของเทียนอี้เก๋อในซีเป่ยถูกรวบเอาไว้ได้หมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้ายิ้มด้วยความพอใจ “ถึงแม้ก่อนหน้านี้ท่านอ๋องได้พยายามกำจัดคนของเทียนอี๋เก๋อไปแล้วไม่น้อย แต่ก็ยังมีพวกที่หลุดรอดจากแหไปได้ เดิมทีก็ไม่เห็นไรหรอก แต่ในยามที่ทั้งสองแคว้นกำลังทำสงครามกันอยู่ในขณะนี้ หากซีเป่ยมีผู้มีอิทธิพลเช่นนี้อยู่ มีแต่จะทำให้คนปวดหัว ครานี้โชคดีที่มีเว่ยลิ่น”

 

 

เว่ยลิ่มก้มหน้าลงเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “นี่เป็นหน้าที่ของข้าน้อย่พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

จั๋วจิ้งตบบ่าเว่ยลิ่นพร้อมเอ่ยกลั้วหัวเราะ “น้องสี่ เจ้าไม่ต้องถ่อมตนไปหรอก พระชายากล่าวถูกต้องแล้ว ครานี้หากมิใช่เพราะเจ้า กว่าพวกเราจะจับตัวหานหมิงเย่ว์ได้ คงต้องเปลืองแรงกันไม่น้อย แต่ที่สำคัญที่สุดคือ ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว พวกเราพี่น้องจะได้อยู่พร้อมหน้ากันเสียที หากพี่ใหญ่กลับมาอีกคนคงยิ่งดีกว่านี้”

 

 

เว่ยลิ่นเงยหน้าขึ้นมองเยี่ยหลี

 

 

เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “มีอันใดก็พูดมาตรงๆ”

 

 

เว่ยลิ่นเอ่ยว่า “เมื่อสองเดือนก่อนข้าน้อยได้พบพี่ใหญ่หนึ่งครั้ง”

 

 

เยี่ยหลีเลิกคิ้วเล็กน้อย เป็นสัญญาณให้เขาพูดต่อ

 

 

เว่ยลิ่นเอ่ยว่า “เดิมทีข้าน้อยคิดอยากใช้อิทธิพลของเทียนอี้เก๋อในการสืบข่าวสำนักเยี่ยนอ๋องกับบัณฑิตขี้โรค จากนั้นข้าน้อยได้รับข่าวเล็กๆ น้อยๆ มาบ้าง จึงหาข้ออ้างไปที่ชายแดนมาคราหนึ่ง จึงได้พบกับพี่ใหญ่เข้าพอดี แต่ข้าน้อยทำตามที่พระชายาสั่ง มิได้เข้าไปแสดงตัว และมิได้พูดอันใดกับเขาขอรับ”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า “ดูท่าองครักษ์ลับหนึ่งคงทำได้ไม่เลว?”

 

 

เว่ยลิ่นยิ้มเล็กน้อย “เท่าที่ข้าน้อยเห็นก็ดูไม่เลวพ่ะย่ะค่ะ ด้วยสิ่งที่พระชายาได้ชี้แนะไว้ ยามนั้นข้าน้อยเห็นว่าพี่ใหญ่ดูเหมือนจะได้เป็นเสี้ยวเว่ยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

จั๋วจิ้งส่งเสียงจึ๊จ๊ะในลำคอ “ถึงแม้เสี้ยวเว่ยจะเป็นลำดับขั้นที่ไม่สูงสักเท่าไร แต่พี่ใหญ่ไปอยู่ในนั้นเพียงไม่กี่เดือนก็เป็นได้ถึงขั้นนี้แล้ว ไม่เสียแรงที่เป็นพี่ใหญ่จริงๆ ไม่แน่ว่าหากอีกสักสองปี พี่ใหญ่อาจได้เป็นถึงแม่ทัพก็ได้นะ”

 

 

ฉินเฟิงที่มาจากหน่วยเฮยอวิ๋นฉีถึงกับหัวเราะพรืดออกมา “อย่าฝันไปเลย จากพลทหารธรรมดาๆ ได้เลื่อนขั้นไปเป็นเสี้ยวเว่ยอาจจะไม่ยาก แต่หากคิดเลื่อนขั้นจากเสี้ยวเว่ยไปเป็นแม่ทัพ ที่ต้องก้าวข้ามมิใช่เพียงก้าวหรือสองก้าว หากไม่มีแปดหรือสิบปีก็อย่าหวังเลย คุณชายเฟิ่งซานร่วมเป็นร่วมตายติดตามท่านอ๋องมาตั้งแต่อายุสิบแปดปี ยามนี้ยังเป็นเพียงรองแม่ทัพเท่านั้นเลย”

 

 

จั๋วจิ้งไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย “รองแม่ทัพก็เป็นแม่ทัพเหมือนกันนี่ เจ้าสามารถขึ้นเป็นเสี้ยวเว่ยได้ในเวลาเพียงสองสามเดือนหรือ”

 

 

ฉินเฟิงเงียบไม่ตอบ เขาทำไม่ได้จริงๆ

 

 

เยี่ยหลีอมยิ้ม เอ่ยห้ามสงครามน้ำลายระหว่างลูกน้องทั้งสองด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ “อย่าเพิ่งไปยุ่งกับองครักษ์ลับหนึ่งเลย องครักษ์ที่คอยคุมหานหมิงเย่ว์จัดการเรียบร้อยแล้วหรือ”

 

 

ฉินเฟิงเอ่ยตอบด้วยความเคารพว่า “เรียนพระชายา จัดการเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่…ข้าน้อยไม่เข้าใจ เหตุใดถึงไม่จับหานหมิงเย่ว์กับซูจุ้ยเตี๋ยไว้ที่เดียวกันหรือพ่ะย่ะค่ะ จัดไว้สองที่แยกกัน มีแต่จะเปลืองกำลังทหารไปเฉยๆ นะพ่ะย่ะค่ะ ยามนี้องครักษ์ที่อารักขาจวนผู้ว่าการของพวกเราก็มิได้เพียงพอสักเท่าใดนัก”

 

 

ดวงตาคู่ใสของเยี่ยหลีโค้งขึ้นเล็กน้อย เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “จับไว้ที่เดียวกัน แล้วเกิดถูกเอาตัวไปพร้อมๆ กันจะทำเช่นไร เจ้าวางใจเถิด หากข้าเป็นเจิ้นหนานอ๋อง ข้าจะไม่มีทางส่งคนมาช่วยซูจุ้ยเตี๋ยหรอก ดังนั้น…ฟากซูจุ้ยเตี๋ยนั่น ให้ถอนกำลังบางส่วนออกไปลอบวางกำลังอยู่ที่หานหมิงเย่ว์”

 

 

เมื่อเห็นลูกน้อยยังดูไม่เข้าใจ เยี่ยหลีจึงยิ้มเอ่ยว่า “หากเจิ้นหนานอ๋องมีใจรักไป๋กุ้ยเฟยจริง จะปล่อยให้นางมาที่ซิ่นหยางคนเดียวได้อย่างไร ไป๋กุ้ยเฟยถูกพวกเรากักบริเวณมานานเช่นนี้ พวกเจ้าเห็นว่าเจิ้นหนานอ๋องมีความเคลื่อนไหวอันใดหรือ?”

 

 

ทุกคนต่างเข้าใจอย่างแจ่มชัดในทันที “เช่นนั้นทางด้านหานหมิงเย่ว์…”

 

 

เยี่ยหลียิ้มอย่างอารมณ์ดีขึ้นไปอีก “หากยังช่วยซูจุ้ยเตี๋ยออกไปไม่ได้ ต่อให้ยามนี้ปล่อยหานหมิงเย่ว์ออกไป เขาก็คงไม่ไปหรอก”

 

 

ฉินเฟิ่งเพิ่งเข้าใจ “พระชายาคิดอยากใช้ซูจุ้ยเตี๋ยในการคุมตัวหานหมิงเย่ว์นี่เอง”

 

 

เยี่ยหลีได้แต่เอ่ยอย่างทอดถอนใจว่า “จะว่าเช่นนั้นก็ได้ ดูแลซูจุ้ยเตี๋ยไว้ให้ดีๆ ยามนี้นางยังตายไม่ได้”

 

 

 

 

“เรียนท่านอ๋อง…คุณชายหานขาดการติดต่อไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ภายในกระโจมใหญ่ค่ายใหญ่แคว้นซีหลิง ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้หนึ่งเอ่ยรายงานด้วยความเคารพ

 

 

พู่กันขนจิ้งจอกชั้นดีในมือเจิ้นหนานอ๋องชะงักไปเล็กน้อย “เทียนอี้เก๋อเป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

ผู้ใต้บังคับบัญชาลังเลไปเล็กน้อย “เทียนอี้เก๋อก็เงียบหายไปเลยตั้งแต่เมื่อคืนวานพ่ะย่ะค่ะ ตามความเห็นของข้าน้อย…ดูจะมีแต่เรื่องไม่ดีมากกว่าดีพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เจิ้นหนานอ๋องหลับตาลง ประหนึ่งกำลังระงับโทสะในใจ ภายในน้ำเสียงที่ราบเรียบแฝงไปด้วยรังสีสังหาร “ถ่ายทอดคำสั่งข้าลงไป นอกจากทหารที่ล้อมเมืองซิ่นหยางไว้แล้ว ทหารอื่นๆ ที่เหลือระดมกำลังบุกโจมตีเมืองทุกเมืองในซีเป่ย ข้าต้องการให้ซิ่นหยางกลายเป็นเมืองอันโดดเดี่ยว!”

 

 

“ข้าน้อยรับบัญชา”

 

 

เมื่อเห็นผู้ใต้บังคับบัญชาถอยออกไปแล้ว สีหน้าเรียบนิ่งของเจิ้นหนานอ๋องก็เปลี่ยนเป็นบึ้งตึงทันที “หานหมิงเย่ว์ ไอ้เจ้าโง่เง่า!”

 

 

 

 

ในขณะที่เจิ้นหนานอ๋องกำลังโกรธจัดอยู่นั้น ยามนี้หานหมิงเย่ว์กลับดูสงบนิ่งและสบายอารมณ์เป็นพิเศษ

 

 

ยามที่ม่อซิวเหยาก้าวเข้าไปภายในนั้น ก็เห็นหานหมิงเย่ว์กำลังนั่งเล่นหมากรุกอยู่คนเดียวริมหน้าต่าง เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า เขาก็เงยหน้าขึ้นมาเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “อาเหยา มาเล่นหมากรุกด้วยกันสักตาดีหรือไม่”

 

 

ม่อซิวเหยาเดินเข้าไปนั่งลง หยิบหมากสีดำขึ้นมาวางเล่นๆ ลงไปบนกระดาน หานหมิงเย่ว์เลิกคิ้วขึ้นอย่างนึกสนุก วางหมากสีขาวในมือลง

 

 

ม่อซิวเหยาสีหน้าเรียบเฉย หยิบหมากสีดำขึ้นมาวางลงเช่นกัน ทั้งสองสลับกันวางหมากลงไปเรื่อยๆ เวลาผ่านไปยังไม่ถึงครึ่งก้านธูป หมากกระดานที่เคยคู่คี่สูสีก็กลายเป็นฝ่ายหนึ่งได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด หมากสีขาวบนกระดานล้มตายไปเป็นจำนวนมาก

 

 

หานหมิงเย่ว์เอ่ยทอดถอนใจว่า “หมากของอาเหยามีรังสีสังหาร”

 

 

“เจ้านี่นับวันยิ่งไม่พัฒนาเลยนะ” ม่อซิวเหยาเอ่ยอย่างเยาะหยัน

 

 

เมื่อสหายเก่ามาเอ่ยวิจารย์ตนเช่นนี้ หานหมิงเย่ว์กลับไม่นึกใส่ใจ เพียงยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ข้าไม่เหมือนกับเจ้า เกิดมาข้าก็เป็นคนที่ไม่สามารถหักห้ามใจตัดขาดความรักได้อยู่แล้ว”

 

 

ห้ามใจตัดขาดความรัก? ม่อซิวเหยายิ้มเยาะ พร้อมพ่นลมหายใจออกทางจมูก เขาไม่เคยถือว่าตนเองเป็นเทพแห่งความรัก แต่ก็มิใช่คนที่จิตใจเลือดเย็นไม่มีความรักให้แก่ผู้ใด เพียงแต่คนที่ทำให้เขานึกเอาใจใส่อยากปกป้องนั้น ปรากฏตัวขึ้นช้าเกินไปเท่านั้น และที่สำคัญกว่านั้นคือ เขารู้ว่าสิ่งใดควรทำสิ่งใดไม่ควรทำ และเขายิ่งรู้จักว่าคนเช่นใดควรค่าแก่การปกป้องเอาใจใส่ คนเช่นใดต้องตัดออกไปจากชีวิต

 

 

แต่ไหนแต่ไรมาคนตระกูลม่อไม่มีหลักการที่จะทุ่มเทความรู้สึกของตนให้ผู้ใด ดังนั้นสำหรับความรักอย่างหูหนวกตาบอดของหานหมิงเย่ว์นั้น ม่อซิวเหยาไม่เคยนึกซาบซึ้งใจอันใดอยู่แล้ว มีก็แต่เพียงความดูแคลนเท่านั้น

 

 

“ข้าไม่คิดว่าเจ้ามิได้เรียกหาข้าเพื่อมาพูดเรื่องเก่าๆ เสียอีก” ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ

 

 

หานหมิงเย่ว์พยักหน้า “เจ้ารู้ถึงแผนการของเจิ้นหนานอ๋องแล้ว?”

 

 

ม่อซิวเหยาไม่ตอบ เพียงมองเขาเรียบๆ เท่านั้น

 

 

หานหมิงเย่ว์เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ยามนี้ข้าอยู่ในมือของเจ้าแล้ว เจ้ามิจำเป็นต้องกันข้าถึงเพียงนี้หรอก ยามนี้ทั้งเมืองซิ่นหยางอยู่ในมือของพระชายา เช่นนั้นคนที่เป็นติ้งอ๋องอย่างเจ้าย่อมต้องทำอันใดที่สำคัญกว่าอยู่แน่นอน ข้าคิดไปคิดมาก็มีเพียงเรื่องนี้เท่านั้นที่สำคัญกว่าเมืองซิ่นหยางถูกปิดล้อม เพียงแต่…ข้านึกแปลกใจเล็กน้อย ในเมื่อเจ้าก็รู้เรื่องแล้ว เหตุใดถึงยังปักหลักไม่เคลื่อนพลทหารอีก”

 

 

เขามองม่อซิวเหยาที่นั่งวางหมากต่อไปเงียบๆ หานหมิงเย่ว์นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยอย่างคิดอันใดออกว่า “เป็นเพราะม่อจิ่งฉี? เดิมทีข้ายังคิดว่าเจิ้นหนานอ๋องจะติดต่อเพียงม่อจิ่งหลีกับหนานจ้าวเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าม่อจิ่งฉีก็เอากับเขาด้วย เช่นนั้นเจ้าก็ควรระวังไว้หน่อยจริงๆ เสียแล้ว ไม่แน่ว่าเป่ยหรงเองก็อาจมาร่วมสนุกด้วยก็ได้นะ ซิวเหยา ข้าเริ่มนึกสงสัยว่าเจ้าจะออกไปจากหมากที่ต้องชนะตานี้ของเจิ้นหนานอ๋องได้เช่นไรเสียแล้ว”

 

 

ม่อซิวเหยาหัวเราะอย่างเยาะหยัน “ในเมื่อเจ้ารู้มากเช่นนี้ ก็ควรรู้ว่าที่ข้ามาหาเจ้า มิได้เพื่อมาเล่นหมากรุก”

 

 

หานหมิงเย่ว์ยิ้มอย่างเกียจคร้าน “ข้ามิได้ส่งข่าวที่เจ้ารู้เรื่องนี้แล้วไปให้เจิ้นหนานอ๋อง หรือว่ายังไม่พออีก”

 

 

ม่อซิวเหยาปรายตามองเขาเรียบๆ หานหมิงเย่ว์ยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “อิทธิพลของเทียนอี้เก๋อในต้าฉู่ถูกเจ้าจัดการเสียจนราบคาบหมดแล้ว ที่ข้ากลับมาครานี้ก็คิดจะมาเก็บกวาดให้เรียบร้อยเสียหน่อย ยามนี้เจ้าเอาไปก็ไม่มีประโยชน์”

 

 

ม่อซิวเหยายิ้มเยาะ เอ่ยว่า “ข้าไม่จำต้องใช้เทียนอี้เก๋อ”

 

 

หานหมิงเย่ว์อึ้งไป มองม่อซิวเหยาด้วยความสงสัย ได้ยินเพียงม่อซิวเหยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ต่างไปจากปกติว่า “ของที่ได้รับต่อมาจากคนที่ทรยศต่อแคว้น ข้าไม่กล้าใช้”

 

 

หานหมิงเย่ว์ยิ้มขื่น “มิใช่คนบ้านเดียวกัน ก็ไม่เข้าประตูบ้านเดียวกันจริงๆ เจ้ากับพระชายาพูดออกมาประหนึ่งเป็นคนคนเดียวกัน เช่นนั้นเจ้าคิดจะทำเช่นไรหรือ”

 

 

ม่อซิวเหยาเอ่ยว่า “ข้าจะให้ในใต้หล้นี้ไม่มีเทียนอี้เก๋ออีกต่อไป!”

 

 

หานหมิงเย่ว์อึ้งไป หมากในมือหล่นลงบนกระดาน จนหมากบนกระดานกระเด็นมั่วซั่วไปหมด เขาเงยหน้าขึ้น มองใบหน้าหล่อเหลาของม่อซิวเหยาที่ยังคงราบเรียบและสงบนิ่ง หานหมิงเย่ว์ส่ายหน้าพร้อมยิ้มขื่น “ซิวเหยา ไม่ลงมือก็เรื่องหนึ่ง แต่หากลงมือขึ้นมาก็สะเทือนเลื่อนลั่นไปทั้งปฐพี เจ้ารู้หรือไม่ว่าหากเทียนอี้เก๋อหายสาบสูญไป จะทำให้เกิดเรื่องอันใดขึ้นบ้าง”

 

 

เทียนอี้เก๋อมิใช่สำนักเล็กๆ ที่ไร้ชื่อเสียง หรือเป็นการพานิชย์ขนาดเล็ก แต่เทียนอี้เก๋อได้ชื่อว่าเป็นสำนักข่าวอันดับหนึ่งของใต้หล้า ถึงแม้หลังจากถูกม่อซิวเหยาจัดการจนทำให้อิทธิพลในต้าฉู่ถูกทำลายไปมาก แต่สำนักข่าวทั่วไปก็ยังคงเทียบชั้นไม่ได้ เมื่อใดก็ตามที่เทียนอี้เก๋อไม่อยู่แล้ว ก็หมายความว่าอิทธิพลลับในใต้หล้าคงได้มีการล้างไพ่กันใหม่

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย

หลังถูกน้องสาวร่วมบิดาแทงข้างหลัง ทำให้ เยี่ยหลี คุณหนูสามแห่งจวนตระกูลเยี่ยถูกถอนหมั้นจาก ม่อจิ่งหลี ท่านอ๋องรูปงามแห่งเมืองหลวง แต่นางก็ยังมองโลกในแง่ดี หวังว่าตนจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอีกสักสองสามปี ทว่าเหตุไฉนสามวันให้หลัง ฝ่าบาทถึงได้พระราชทานสมรสให้นางอีกครั้งเล่า! การแต่งงานครั้งนี้แม้ฉากหน้าจะดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก แต่คนที่นางต้องอภิเษกสมรสด้วยกลับเป็น ม่อซิวเหยา ท่านอ๋องพิการไร้ประโยชน์ อีกทั้งยังมีรูปโฉมอัปลักษณ์ เล่าลือกันว่าเขาเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วถึงสองครา ทว่าหญิงสาวทั้งสองคนที่เขาสมรสด้วยกลับต้องมีอันเป็นไปภายหลังจากการแต่งงานได้ไม่นาน แต่ช้าก่อน…บุรุษที่แสนอ่อนโยนและเก่งกาจตรงหน้านางนี้น่ะหรือคือม่อซิวเหยา บุรุษที่กล่าวกันว่าเป็นคนน่ากลัว ไร้ค่า ไม่ได้เรื่องได้ความคนนั้น นี่คงมีอะไรที่เข้าใจผิดไปแล้วกระมัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset