หานหมิงเย่ว์มองสำรวจซูจุ้ยเตี๋ยโดยละเอียด นึกโล่งอกในใจ ถึงแม้จะผอมลงไปสักหน่อย แต่ก็ดูว่าไม่ได้ถูกทำร้ายแต่อย่างใด รอยแผลบนหน้าผากก็ไม่ได้ดูชัดเจนมากนัก ต่อให้อีกหน่อยเกิดทิ้งรอยแผลเป็นไว้ ก็คงไม่มีผลอันใดต่อความงามของนาง
เมื่อซูจุ้ยเตี๋ยเห็นหานหมิงเย่ว์มา ก็มีสีหน้าแห่งความยินดีอยู่เพียงชั่วครู่ นางหุบยิ้มลงอย่างรวดเร็ว เอ่ยว่า “เอายาจื่อหลุ่ยลู่มาด้วยหรือไม่”
หานหมิงเย่ว์ขมวดคิ้ว “ชายาติ้งอ๋องไม่ได้ให้ยาทาแผลเจ้าหรือ ยังเจ็บแผลอยู่หรือไม่”
เพียงเอ่ยถึงชื่อเยี่ยหลี ก็ประหนึ่งไปโดนแผลสดของซูจุ้ยเตี๋ยเข้า นางสะบัดแขน เอ่ยอย่างเกรี้ยวกราดว่า “อย่าพูดถึงนังสารเลวนั่น!”
หานหมิงเย่ว์ถอนหายใจ หยิบขวดกระเบื้องเคลือบเล็กๆ ออกจากช่องในหน้าอกส่งให้ซูจุ้ยเตี๋ย ซูจุ้ยเตี๋ยรับขวดนั้นมาดม ก่อนหมุนตัวกลับห้องไปทายาหน้ากระจกด้วยความพอใจ
หานหมิงเย่ว์เดินตามนางเข้าไปในห้องนอน เมื่อเห็นสภาพห้องที่เรียกได้ว่าตกแต่งอย่างเรียบง่าย ธรรมดาๆ ก็เข้าใจว่า เหตุใดเมื่อครู่ซูจุ้ยเตี๋ยถึงได้โกรธเกรี้ยวกับสาวใช้ถึงเพียงนั้น คนที่ได้รับการดูแลอย่างประคบประหงมมาตั้งแต่เด็กอย่างนาง มิใช่คนที่สามารถทนความลำบากได้ ไม่ว่าจะเป็นของอันใดที่ดูด้อยลงมาเพียงเล็กน้อย นางก็ล้วนรับไม่ได้ทั้งสิ้น แต่นางกลับถูกเยี่ยหลีขังไว้ในห้องที่สภาพซอมซ่อเช่นนี้ นางอารมณ์ดีสิถึงจะแปลก
เมื่อทายาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซูจุ้ยเตี๋ยถึงได้มีกระจิตกระใจหันมามองหานหมิงเย่ว์ มองแววตาที่หลงใหลชื่นชมของเขาด้วยความพอใจ ซึ่งทำให้นางที่หลายวันนี้รู้สึกผิดหวังและถูกทำลายความมั่นใจ กลับมีความมั่นใจในตนเองขึ้นมาไม่น้อย นางค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ยกยิ้มในองศาที่งดงาม แล้วซูจุ้ยเตี๋ยก็เอ่ยถามเสียงเบาว่า “หมิงเย่ว์ เจ้ามาช่วยข้าหรือ”
หานหมิงเย่ว์สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ถอนใจเบาๆ พร้อมพยักหน้า “หากมิได้มาช่วยเจ้า แล้วจะมาทำอันใด ข้าจัดคนไว้รอรับอยู่ที่ด้านนอกแล้ว อีกเดี๋ยวพวกเราก็ไปจากที่นี่ได้แล้ว”
ซูจุ้ยเตี๋ยอึ้งไปเล็กน้อย ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนส่ายหน้า “ไม่ได้ จะไปเสียเช่นนี้ไม่ได้”
หานหมิงเย่ว์ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เจ้าจะยังอยู่ทำอันใดที่นี่อีก”
ซูจุ้ยเตี๋ยกัดฟันเอ่ยว่า “เยี่ยหลี! นังสารเลวนั่น…เจ้าไปช่วยข้าฆ่านางที”
รอยยิ้มของหานหมิงเย่ว์ดูฝืนและขมขื่น มองลึกเข้าไปในดวงตาของซูจุ้ยเตี๋ยและเอ่ยเหตุผลกับนางว่า “จุ้ยเตี๋ย ข้าเคยสัญญาไว้แล้ว…ว่าจะไม่ทำร้ายเยี่ยหลีอีก” ไม่เพียงเพราะม่อซิวเหยา แต่ด้วยเพราะหานหมิงซี ต่อให้หานหมิงเย่ว์หลงรักซูจุ้ยเตี๋ยจนไม่สนใจสิ่งใด แต่อย่างไรหานหมิงซีก็เป็นน้องชายแท้ๆ เพียงคนเดียวของเขา เป็นคนที่มีสายเลือดใกล้ชิดกับเขามากที่สุดในใต้หล้านี้
ความรู้สึกที่น้องชายเขามีต่อเยี่ยหลีนั้น เขารู้ดี ถึงแม้จะรู้ว่าหานหมิงซีรักนางแต่เพียงข้างเดียว แต่หานหมิงเย่ว์รู้ดีว่าหากเขาทำร้ายเยี่ยหลีเข้าให้จริงๆ หานหมิงซีไม่มีทางอภัยให้เขาอย่างแน่นอน เขาไม่เคยคิดอยากจะเป็นศัตรูกับน้องชายที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กจริงๆ เลยสักที
สีหน้าซูจุ้ยเตี๋ยเปลี่ยนไป หัวเราะเยาะหยันทีหนึ่ง “สัญญา! สัญญาอีกแล้ว! ข้ารู้อยู่แล้วว่าในใจเจ้า ข้ามิได้สำคัญอันใดหรอก ถ้าเช่นนั้น เจ้าจะมาสนใจว่าข้าจะเป็นจะตายไปเพื่ออันใด ข้าเองก็ไม่ต้องให้คุณชายใหญ่ตระกูลหานยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเหมือนกัน ต่อให้ข้าถูกเยี่ยหลีฆ่าตาย ก็เป็นเพราะข้าหาเรื่องใส่ตัวเอง เจ้าไปของเจ้าเองเถิด ไม่ต้องสนใจข้า”
“จุ้ยเตี๋ย” หานหมิงเย่ว์เอ่ยเสียงขรึม “ยามนี้ไม่ใช่ยามที่จะมาเอาแต่ใจนะ ยามนี้พวกเราสามารถออกไปได้อย่างปลอดภัยก็ถือว่าไม่เลวแล้ว คิดอยากจะเข้าถึงตัวเยี่ยหลีนั้นเป็นไปไม่ได้เลย หลายวันนี้เจ้าก็น่าจะเข้าใจแล้ว ม่อซิวเหยาไม่มีทางอยู่ข้างเจ้าแน่นอน”
เมื่อถูกจี้เข้าที่แผล ซูจุ้ยเตี๋ยก็ถึงกับชะงักไป และเข้าใจสิ่งที่หานหมิงเย่ว์พูด แต่หากจะให้ปล่อยเยี่ยหลีไปเช่นนี้ นางก็ยอมรับไม่ได้
แววตานางเปลี่ยนไป หันมองหานหมิงเย่ว์ เอ่ยด้วยน้ำเสียงออดอ้อนว่า “เช่นนั้นความหมายของเจ้าคือต่อไปหากมีโอกาสเจ้าจะช่วยข้าสั่งสอนนางใช่หรือไม่”
หานหมิงเย่ว์อึ้งไป ความหมายของเขาคือ ต้องการให้ซูจุ้ยเตี๋ยไม่ต้องไปหาเรื่องเยี่ยหลีต่างหาก แต่ในยามนี้ก็มิใช่ยามที่จะมาคุยเรื่องเหตุผลกับนาง จึงทำได้เพียงพยักหน้าไปส่งๆ “อีกหน่อยคงมีโอกาส”
ซูจุ้ยเตี๋ยระบายยิ้ม หลุบตาลงเอ่ยว่า “ข้ารู้อยู่แล้วว่าในใต้หล้านี้หมิงเย่ว์ดีกับข้าที่สุด” เหตุใดนางถึงจะไม่รู้ว่าหานหมิงเย่ว์เพียงรับปากนางส่งๆ เท่านั้น แต่ไม่เป็นไรหรอก ขอเพียงหานหมิงเย่ว์รับปากแล้ว นางย่อมมีหนทางให้เขาทำตามสิ่งที่นางต้องการ กับหานหมิงเย่ว์นั้น ซูจุ้ยเตี๋ยมีความมั่นใจและมีวิธีในการจัดการเขามากมายนัก
“คิดอยากจัดการข้า เหตุใดถึงต้องเลือกเวลา ข้าก็อยู่ที่นี่แล้วมิใช่หรือ” เสียงเอ่ยกลั้วหัวเราะเรียบเรื่อยติดจะเกียจคร้านเล็กน้อยดังขึ้นจากด้านนอก
หานหมิงเย่ว์ใจเสีย ลอบระแวดระวังขึ้นเงียบๆ ตนถึงขั้นไม่รู้ตัวว่ามีคนเข้ามาอยู่ในโถงดอกไม้ด้านนอกแล้วเชียวหรือ
ได้ยินเพียงเยี่ยหลีเอ่ยกลั้วหัวเราะเรียบๆ ว่า “คุณชายหาน ตั้งแต่จากกันที่กว่างหลิง ก็ไม่ได้พบกันเสียนานเลยนะ คุณชายหานจะไม่ออกมาคุยเรื่องความหลังกันสักหน่อยหรือ”
หานหมิงเย่ว์ก้มลงมองซูจุ้ยเตี๋ย ยิ้มแล้วเอ่ยปลอบใจนางเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่ต้องกลัว ไม่มีอันใดหรอก พวกเราออกไปดูสักหน่อยเถิด”
เมื่อเดินผ่านม่านบังตาออกไปจากห้อง ก็เห็นเยี่ยหลีกำลังนั่งอย่างเกียจคร้านอยู่บนเก้าอี้นวมในโถงดอกไม้ ยิ้มเรื่อยๆ มองมาทางทั้งสองคน
เมื่อเห็นหานหมิงเย่ว์ ก็อมยิ้มเอ่ยว่า “คุณชายหมิงเย่ว์ฝีมือเก่งกาจนัก เมืองซิ่นหยางและจวนผู้ว่าการนี้ คุณชายหมิงเย่ว์เข้าออกได้ตามใจประหนึ่งเป็นเมืองร้างกระนั้น”
หากในยามนี้หานหมิงเย่ว์ยังมองไม่ออก เขาก็คงไม่ได้เป็นนายใหญ่แห่งเทียนอี้เก๋อ สำนักข่าวอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าแล้ว เกรงว่านางคงรอให้เขากระโดดเข้ามาติดกับเสียนานแล้ว
เยี่ยหลียกมุมปากขึ้นยิ้ม เอ่ยเสียงเบาว่า “คุณชายหมิงเย่ว์ช่างมีความรักอันลึกซึ้งจนเรียกได้ว่าเป็นเทพแห่งความรัก ข้านับถือยิ่งนัก ในเมื่อไป๋กุ้ยเฟยอยู่ที่นี่ คุณชายหมิงเย่ว์จะไม่อยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
หานหมิงเย่ว์ฟังน้ำเสียงส่อเสียดในคำพูดของเยี่ยหลีออก เขาเพียงยิ้มเรียบๆ ไม่ได้ตอบอันใด
เยี่ยหลีเอามือชันคาง มองทั้งสองพร้อมเอ่ยเรียบๆ ว่า “อันที่จริงด้วยเพราะเห็นแก่หานหมิงซี ข้าไม่ควรทำร้ายคุณชายหาน เพียงแต่สถานการณ์ในยามนี้กลับต่างจากปกติอยู่สักหน่อย ดังนั้น…เกรงว่าคงจะต้องล่วงเกินแล้ว”
หานหมิงเย่ว์ประสานมือ ยิ้มสบายๆ “ข้าตกมาอยู่ในมือพระชายา หานหมิงเย่ว์นับถึอด้วยใจจริง เชิญพระชายาจัดการได้ตามใจ”
เยี่ยหลีพยักหน้าน้อยๆ มองชายหนุ่มที่ยังคงสุภาพเช่นเคย ในใจอดนึกเสียดายไม่ได้ ชาติตระกูล รูปลักษณ์ ความสามารถ ฝีมือ หานหมิงเย่ว์ล้วนไม่ขาดสิ่งใดเลย เผลอๆ จะดีกว่าคนทั่วไปอยู่มากเสียด้วยซ้ำ ไม่น่าแปลกที่ตอนเด็กๆ เขาสามารถเป็นสหายรักกับม่อซิวเหยาได้ น่าเสียดายก็เพียงชายที่น่าจะเต็มไปด้วยความภาคภูมิ แต่กลับไม่อาจข้ามผ่านด่านแห่งความรักไปได้ จนต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
ชีวิตในแคว้นซีหลิงของหานหมิงเย่ว์มิได้ราบรื่นนัก ถึงแม้เขาจะมีเทียนอี้เก๋อที่มีอิทธิพลอย่างเหลือล้นอยู่ในมือ ขอเพียงเขาสามารถปล่อยวางเรื่องซูจุ้ยเตี๋ย ไม่ว่าเขาจะไปที่ใดก็สามารถทำตามที่ใจต้องการโดยไม่ต้องสนสิ่งใดทั้งสิ้น แต่ทว่าเขากลับไม่สามารถตัดซูจุ้ยเตี๋ยออกจากชีวิตได้ ราชวงศ์ของซีหลิงจำเป็นต้องมีอำนาจในมือเขา แต่กลับยิ่งกันเขาประหนึ่งเขาเป็นคนนอก แต่ก็ยิ่งจ้องอำนาจในมือเขาตาเป็นมัน ของของผู้อื่นอย่างไรก็ใช้ได้ไม่สะดวกเท่าของของตนเองมิใช่หรือ
“เอาตัวคุณชายหานออกไปเถิด” เยี่ยหลีโบกมือพร้อมเอ่ยเสียงเบาขึ้น
หานหมิงเย่ว์อมยิ้ม เอ่ยกับนางว่า “ติ้งอ๋องจะไม่ออกมาพบสหายเก่าหน่อยหรือ”
เยี่ยหลีมองเข้าด้วยสายตาเรียบเฉย “คุณชายหานคิดว่าในยามนี้ท่านอ๋องจะยังมีเวลาออกมาพบเพื่อนเก่าอีกหรือ”
หานหมิงเย่ว์นิ่งไปพักหนึ่ง พยักหน้าน้อยๆ เป็นสัญญาณว่าเขาเข้าใจแล้ว คิ้วคมของเขาขมวดเข้าหากันเอ่ยถามว่า “ข้าเข้าใจแล้วว่าที่พระชายาทุ่มเทถึงเพียงนี้เพื่อเหตุใด หากข้าให้ของที่พระชายาต้องการ พระชายาคิดจะเอาสิ่งใดมาแลกเปลี่ยนหรือ”
เยี่ยหลีมองหานหมิงเย่ว์นิ่งอยู่นาน ถึงได้หัวเราะออกมาเบาๆ เอ่ยอย่างสบายๆ ว่า “คุณชายหานคิดว่าข้าจะทำข้อตกลงกับท่านอย่างนั้นหรือ”
หานหมิงเย่ว์เลิกคิ้ว บ่งบอกว่าเขาหมายความเช่นนั้น
เยี่ยหลีเอ่ยด้วยความเสียใจว่า “เดิมทีหากคุณชายหานมาทำข้อตกลงกับข้าโดยตรง ข้าคงจะเห็นพ้องด้วย แต่ในยามนี้ ข้าลงทุนลงแรงไปตั้งมากมาย ถึงได้รั้งตัวคุณชายหานไว้ได้ หากแลกด้วยสิ่งที่มีค่าเท่ากัน ข้ากลับรู้สึกว่าข้าคงเป็นฝ่ายขาดทุน อีกอย่าง ไม่ทำข้อตกลงกับคุณชายหาน ข้าเองก็มีทางได้ของที่ต้องการอยู่ดี”
หานหมิงเย่ว์ย่นคิ้ว ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ “นี่ไม่มีทางเป็นไปได้ หากเทียนอี้เก๋อให้ผู้ใดควบคุมได้ง่ายเช่นนั้นจริง ข้าคงไม่ต้องวุ่นวายเหมือนทุกวันนี้แล้ว”
เยี่ยหลีส่ายหน้า “พูดกันตามจริง ข้าไม่สนใจเทียนอี้เก๋อแม้แต่น้อย สำนักข่าวที่มีขนาดใหญ่ถึงเพียงนั้น ต่อให้คุณชายหานนำสิ่งนั้นมาใส่มือข้า คุณชายคิดว่าข้าจะกล้าใช้หรือ”
หานหมิงเย่ว์มองจ้องสตรีที่นั่งสบายๆ อยู่อย่างสง่าผ่าเผย ดูเหมือนตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบหน้า เขาไม่เคยเดาความคิดของสตรีผู้นี้ออกเลย ซึ่งยิ่งทำให้ความไม่สบายใจในใจเขามีมากขึ้นไปอีก
เขาได้ยินเพียงเยี่ยหลีเอ่ยเรียบๆ ว่า ”ในเมื่อข้าไม่สามารถใช้ประโยชน์มันได้ เช่นนั้นความเห็นของข้าก็คือ…ทำลายมันเสีย!”
หานหมิงเย่ว์สูดหายใจเขาลึกๆ ในที่สุดใบหน้าหล่อเหล่าก็มีแววตกใจให้ได้เห็น “ท่านจะทำลายเทียนอี้เก๋อ?!”
ในใต้หล้านี่มีผู้มีอิทธิพลจำนวนไม่น้อย แม้กระทั่งฮ่องเต้หรือขุนนางระดับสูงที่คิดอยากได้เทียนอี้เก๋อ หากอยู่ในความควบคุมก็ประหนึ่งได้กุมเทียนอี้เก๋อและความลับกว่าครึ่งหนึ่งของใต้หล้าไว้ แต่สตรีตรงหน้านี้กลับบอกจะทำลายเทียนอี๋เก๋อได้อย่างเต็มปากเต็มคำโดยไม่แม้แต่จะกะพริบตา
“อันที่จริง ข้ากำลังทำลายมันอยู่แล้ว” เยี่ยหลีเอ่ยเรียบๆ
หานหมิงเย่ว์หลับตาลง ก่อนลืมตาขึ้นอีกครั้งด้วยสายตานิ่งลึก “ในเทียนอี้เก๋อมีคนของท่าน”
เยี่ยหลียิ้มอย่างชื่นชม พร้อมปรบมือให้เขาเบาๆ ชายในชุดสีเทาคนหนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอก กวาดตามองหานหมิงเย่ว์ที่สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยกับซูจุ้ยเตี๋ยที่อยู่ข้างกายเขา จากนั้นจึงได้หันไปประสานมือคารวะเยี่ยหลี “ข้าน้อยองครักษ์ลับสี่ คารวะพระชายา”
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ พยักหน้า “ลุกขึ้น ที่ผ่านมานี้ลำบากเจ้าแล้ว”
องครักษ์ลับสี่เอ่ยด้วยความเคารพว่า “ข้าน้อยไม่สามารถทำตามคำสั่งของพระชายได้สำเร็จ ข้าน้อยบกพร่องในหน้าที่ มิกล้าเอ่ยว่าลำบากพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีเอ่ยว่า “เจ้าทำได้ดีมากแล้ว เช่นเดียวกับจั๋วจิ้งและหลินหาน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าจะมิใช่องครักษ์ลับอีกต่อไป”
องครักษ์ลับสี่คารวะอีกครั้ง “ข้าน้อยเว่ยลิ่น คารวะพระชายา”
หานหมิงเย่ว์สีหน้ามืดครึ้ม มองเว่ยลิ่นด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เจ้าคือองครักษ์ลับของตำหนักติ้งอ๋อง?”
เว่ยลิ่นลุกยืนขึ้น มองหานหมิงเย่ว์ “ใช่แล้วขอรับ หลายวันนี้ ลำบากเจ้าสำนักให้คอยดูแลแล้ว”
หานหมิงเย่ว์ฝืนยิ้มอย่างอ่อนๆ คงมิใช่ดูแลแล้วกระมัง เพียงชั่วระยะเวลาเพียงไม่ถึงครึ่งเดือน เขากลับยกคนที่ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนให้ขึ้นมาเป็นมือขวาที่ตนไว้ในที่สุด เพียงเพราะเหตุผลว่าเขาเคยช่วยชีวิตตนไว้หนึ่งครั้งและด้วยเพราะตนชื่นชมในความรู้และความสามารถของอีกฝ่าย
เขาหันมองเยี่ยหลีอย่างหมดแรง “ไม่คิดว่าองครักษ์ลับของตำหนักติ้งอ๋องจะเก่งกาจถึงเพียงนี หรือว่าคนข้างกายของพระชายาเก่งกาจเหนือผู้อื่น?”
เขาเคยคบหากับม่อซิวเหยาด้วยความจริงใจ จึงย่อมรู้จักองครักษ์ลับของตำหนักติ้งอ๋องอยู่พอสมควร เพียงแต่ความสามารถและฝีมือของเว่ยลิ่นนั้น กลับโดดเด่นกว่าองครักษ์ลับมากมายนัก แรกเริ่มเดิมทีเขายังนึกสงสัยว่าเว่ยลิ่นจะใช่คนของเจิ้นหนานอ๋องหรือตระกูลไป๋แห่งซีหลิงหรือไม่ หรือถึงขั้นอาจเป็นสายลับที่ฮ่องเต้ซีหลิงหรือผู้มีอิทธิพลผู้ใดผู้หนึ่งส่งมา แต่สุดท้ายก็ได้พิสูจน์แล้วว่าเขามิได้มีความสัมพันธ์กับคนเหล่านั้น ดังนั้นจึงให้ความไว้วางใจแก่เขา แต่กลับไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะเป็นคนของตำหนักติ้งอ๋อง
เยี่ยหลีอมยิ้มเอ่ยว่า “คุณชายหานชื่นชมผิดแล้ว เชิญคุณชายหานออกไปเถิด บางทีหากท่านอ๋องมีเวลาอาจจะไปพูดคุยกับคุณชายหาน คนชองคุณชายที่อยู่ที่ซีเป่ย…คุณชายก็ไม่ต้องเป็นห่วงพวกขาแล้ว ต่อให้เป็นห่วงก็ไม่มีประโยชน์มิใช่หรือ”
หานหมิงเย่ว์ถึงกับพูดไม่ออก พักใหญ่ถึงได้เอ่ยว่า “พระชายาช่างหลักแหลมนัก หานหมิงเย่ว์ยอมรับความพ่ายแพ้”
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ มิได้เอ่ยอันใด โบกมือเป็นสัญญาณให้คนมาจับตัวเขาออกไป