เมื่อหานหมิงซีกลับไปแล้ว บรรยากาศภายในห้องหนังสือก็ดูเป็นกันเองขึ้นไม่น้อย มิใช่เพราะคนของตำหนักติ้งอ๋องไม่ไว้ใจหานหมิงซีและตั้งแง่กับเขา เพียงแต่ คนเหล่านี้มีผู้ใดบ้างที่มิได้มีสายตาอันเฉียบแหลมที่มองทุกอย่างไม่อย่างทะลุปรุโปร่ง ความนึกคิดของหานหมิงซีต่อให้ปกปิดอย่างไรก็มิอาจปิดบังคนเหล่านี้ได้ หนำซ้ำคนเหล่านี้ยังจงรักภักดีต่อม่อซิวเหยาเป็นอย่างมาก ถึงแม้พวกเขารู้ว่าระหว่างพระชายาและหานหมิงซีนั้นมิได้มีอันใด แต่สำหรับคนที่มีความจงรักภักดีต่อตำหนักติ้งอ๋องแล้ว ก็ยากที่จะไม่ปฏิบัติกับหานหมิงซีอย่างห่างเหินได้
เยี่ยหลีทำประหนึ่งไม่เห็นสีหน้าของคนเหล่านั้น นางยังคงเอ่ยถึงเรื่องราวต่างๆ ภายในตำหนักติ้งอ๋องกับทุกคนด้วยท่าทีสงบนิ่งตามปกติ ทุกคนต่างเป็นกังวลกับความปลอดภัยภายในตำหนักติ้งอ๋อง
หัวหน้าพ่อบ้านม่อเอ่ยถามว่า “พระชายา จะให้จัดองครักษ์ลับมาอยู่ในตำหนักติ้งอ๋องเพิ่มหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
หลายวันมานี้ตำหนักติ้งอ๋องถูกโจมตีอย่างต่อเนื่อง เกรงว่าองครักษ์และองครักษ์ลับคงจะอ่อนล้ากันอย่างยิ่งแล้ว อีกทั้งวันนี้ยังปล่อยให้นักฆ่าบุกเข้ามาถึงเรือนที่พักของพระชายาได้อีก
เยี่ยหลีเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ไม่ต้องวุ่นวายเพียงนั้นหรอก คนเขาอุตส่าห์ลำบากลอบเข้ามาในเมืองหลวงได้ ไม่พอ ยังต้องเสี่ยงชีวิตบุกเข้ามาในตำหนักติ้งอ๋องที่ต่างรู้กันทั่วว่ามีการอารักขาอย่างแน่นหนาอีก พวกเราก็มาดูเสียหน่อยแล้วกันว่าพวกมันคิดทำสิ่งใดกันแน่ ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป จับตัวนักฆ่าให้น้อยลงหน่อย แล้วปล่อยตัวกลับไปบ้างก็แล้วกัน”
เฟิ่งจือเหยาตาเป็นประกายทันที เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “พระชายาคิดจะ…ให้ผู้อื่นคิดว่าการคุ้มกันของตำหนักติ้งอ๋องอ่อนลงเรื่อยๆ อย่างนั้นหรือ อีกฝ่ายจะเชื่อหรือ”
เยี่ยหลียิ้มเอ่ยว่า “ในเมื่อพวกมันบุกเข้ามาทั้งๆ ที่รู้ว่าบุกเข้ามาไม่ได้ และยังคงไม่ลดละที่จะส่งคนกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าเข้ามาเช่นนี้ หากข้าให้โอกาสพวกเขา เป็นเจ้าเจ้าจะเชื่อหรือไม่”
จางฉี่หลันเอ่ยด้วยความเป็นกังวลว่า “หากข่าวนี้แพร่ออกไป เกรงว่าตำหนักติ้งอ๋องคงยิ่งไม่สงบเข้าไปใหญ่นะพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลียกยิ้มเรียบเย็น เอ่ยว่า “ข้าจะให้คนทั้งใต้หล้าได้รู้ว่า ตำหนักติ้งอ๋องมิได้เพียงแน่นหนาดั่งประตูเหล็กเท่านั้น แต่ยังเป็นนรกที่เข้ามาแล้วจะไม่มีวันได้กลับออกไปอีก!”
ทุกคนต่างตื่นตะลึง หันมองไปทางหญิงสาวในชุดสีเขียวที่ดูสุภาพงดงามตรงหน้าด้วยความตะลึงงันอย่างพูดอันใดไม่ออกเป็นนาน
“พระชายาพ่ะย่ะค่ะ” ฉินเฟิงผลักประตูเข้ามา สีหน้าดูประหลาดเล็กน้อย
เยียหลีเลิกคิ้ว เอ่ยถามอย่างไม่ประหลาดใจว่า “ซักไซ้ไม่ได้ความเลยหรือ”
ฉินเฟิงเอ่ยอย่างโกรธเคืองว่า “คนหนึ่งฆ่าตัวตาย ส่วนอีกสามสี่คนที่เหลือก็เป็นพวกลูกกระจ๊อก ไม่รู้อันใดเลยพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีส่ายหน้า “ไม่ถูก คนที่ตายไปนั่นไม่ใช่หัวหน้า”
ฉินเฟิงหันมองเยี่ยหลีด้วยความไม่เข้าใจ “อีกฝ่ายไม่มีทางไม่รู้ว่าการทรมานของตำหนักติ้งอ๋องนั้นโหดร้ายเพียงใด หากมีพวกที่ยอมพลีชีพอยู่จริง ก็ควรจะฆ่าตัวตายเสียตั้งแต่ตอนที่โดนจับตัวได้แล้ว หากว่ากันเรื่องประสบการณ์แล้ว พวกเจ้ายังสู้เฟิ่งซานไม่ได้”
เฟิ่งจือเหยาหันมองฉินเฟิงพร้อมยิ้มอย่างภาคภูมิใจว่า “ถูกแล้ว อย่างน้อยหากอยู่ในมือข้าก็ไม่มีทางปล่อยให้คนร้ายฆ่าตัวตายได้อย่างแน่นอน”
ยามนี้ฉินเฟิงมิได้ใส่ใจท่าทีท้าทายของเฟิ่งจือเหยา คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแน่น “ความหมายของพระชายาคือ คนที่ฆ่าตัวตายไปนั่นทำไปเพียงเพื่อต้องการปกปิดคนที่เป็นหัวหน้าที่แท้จริงอย่างนั้นหรือพ่ะย่ค่ะ”
เยี่ยหลียกมือขึ้นเท้าคาง “อย่างน้อยก็เป็นไปได้ครึ่งหนึ่ง แต่แน่นอนว่าก็เป็นไปได้ที่พวกเขาจะขวัญผวากับวิธีการของพวกเจ้าจริงๆ แล้วดันไปตกอยู่ในมือใหม่ที่ขาดประสบการณ์แล้วสบโอกาสฆ่าตัวตายเข้าพอดี เพียงแต่…วิธีการของพวกเจ้าคงยังไปไม่ถึงไหนกระมัง”
ฉินเฟิงเอ่ยอย่างหัวเสียว่า “เจ้าเด็กพวกนั้นเพิ่งเริ่มฝึกได้ไม่เท่าไร เวลาลงมือยังไม่รู้ว่ายามใดควรหนักยามใดควรเบา หากทำพวกมันตายเข้าจริงๆ…”
เยี่ยหลีหลุบตาลง เอ่ยเสียงเบาว่า “ยามนี้ยังพอมีเวลา ลองเปลี่ยนอีกวิธีดู ค่อยเป็นค่อยไป”
“เปลี่ยนวิธีหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีเอ่ยว่า “ตุ๋นเหยี่ยว”
“ตุ๋นเหยี่ยวหรือ”
เยี่ยหลีหมุนถ้วยเครื่องเคลือบสีขาวในมือเล่น ก่อนเอ่ยเบาๆ ว่า “จุดไฟในคุกในสว่างประหนึ่งยามกลางวันแสกๆ แล้วในคนในคุกคอยแวะเวียนไปดูพวกเขา เปลี่ยนคนทุกๆ หนึ่งชั่วยาม ขอเพียงอย่างเดียว อย่าให้ข้าเห็นผู้ใดนอนหลับ จนกว่าพวกเขาจะยอมพูดความจริงออกมา”
เฟิ่งจือเหยาเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจว่า “เพียงแค่ไม่ได้นอนเท่านั้น จะมีประโยชน์อันใด”
เยี่ยหลีเอ่ยกลั้วหัวเราะ “คุณชายเฟิ่งซานอาจเคยลองไม่หลับไม่นอนติดต่อกันวันหรือสองวัน แต่เคยลองไม่ได้นอนติดต่อกันสี่ห้าวันหรือไม่ วิธีการนี้ แม้แต่นกเหยี่ยวที่แสนหยิ่งทระนงยังต้องยอมเชื่อง แล้วนับประสาอันใดกับคน”
ถึงแม้เฟิ่งจือเหยาจะยังนึกข้องใจกับวิธีการของเยี่ยหลีอยู่ แต่ฉินเฟิงกลับยอมรับวิธีการนี้อย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย เขาจึงรีบหมุนตัวเดินออกไปสั่งลูกน้องของเขาทันที
เฟิ่งจือเหยาหันกลับมาเอ่ยกับเยี่ยหลีว่า “หลายวันนี้ พระชายามีความคิดที่จะทำเช่นไรกับนักฆ่าเหล่านี้หรือยัง”
เยี่ยหลีเพียงหันไปมอง จั๋วจิ๋งก็ส่งม้วนกระดาษม้วนหนึ่งมาให้ทันที เยี่ยหลีรับมาเปิดออกดู พร้อมเอ่ยว่า “หลายวันนี้คนที่บุกเข้ามาในตำหนักมีสารพัดประเภท มีทั้งถูกจ้างให้มาลอบสังหาร หรือมาเพื่อล้างแค้น แล้วก็มีพวกที่ฉวยโอกาสยามกำลังวุ่นวาย”
“พวกฉวยโอกาสหรือพ่ะย่ะค่ะ ผู้ใดกันที่กล้าขนาดฉวยโอกาสบุกเข้ามาในตำหนักติ้งอ๋องเช่นนี้” ม่อหวาที่น้อยนักจะเอ่ยปาก เอ่ยเยาะหยันขึ้น
เฟิ่งจือเหยาเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “เป็นพวกฉวยโอกาสจริงๆ หรือเปล่านั้นมิมีผู้ใดรู้ได้ เพียงแต่ในช่วงเวลาสั้นๆ กลับมีพวกนอกกฎหมายโผล่มาจำนวนมากเช่นนี้ พวกที่รักษาการณ์รอบเมืองหลวงกับพวกเจ้าหน้าที่ที่ดูแลเมืองหลวงต่างเป็นพวกเศษสวะหรืออย่างไร”
หัวหน้าพ่อบ้านม่อเอ่ยเสียงขรึมขึ้นว่า “ตำหนักติ้งอ๋องถูกลอบโจมตีอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ ต่อให้ตำหนักติ้งอ๋องมีอาณาเขตกว้างใหญ่และโดยรอบมีจวนข้าราชการอยู่น้อยเพียงใด ก็ไม่มีทางที่คนในวังผู้นั้นจะไม่รู้ เพียงแต่หลายวันมานี้ ในวังไม่มีแม้แต่จะส่งผู้ใดมาเอ่ยถาม ประหนึ่งไม่มีอันใดเกิดขึ้นกระนั้น”
เยี่ยหลียกมือนวดขมับ ระบายยิ้มอย่างอ่อนหวาน “คาดว่าท่านในวังนั่นเองก็คงอยากรู้ถึงความสามารถที่แท้จริงของตำหนักติ้งอ๋องเช่นกัน เฟิ่งซาน พรุ่งนี้เจ้าปล่อยข่าวออกไป ว่าข้าตกใจกลัวหลายวันติดต่อกัน จนล้มป่วย”
“ตกใจกลัวหรือ” เฟิ่งจือเหยาอมยิ้มมองใบหน้าของเยี่ยหลีพร้อมแววตาประหลาด หลายวันนี้คนที่ตกใจกลัวเป็นพระชายาหรือว่าพวกนักฆ่าที่โชคร้ายเหล่านั้นยังต้องว่ากันอีกยาว
เยี่ยหลีปรายตามองเขา “ทำไมหรือ ข้าตกใจกลัวไม่ได้หรือ ถึงอย่างไรข้าก็เป็นเพียงสตรี ซ้ำท่านอ๋องก็ยังไม่อยู่ข้างกาย หลายวันนี้มีนักฆ่าเข้ามาทำให้ข้าตกใจกลัวไม่เว้นแต่ละวัน ไม่ได้หรือ”
เฟิ่งจือเหยายกมือลูบจมูก เอ่ยด้วยความเคารพว่า “มิได้ พระชายาตกใจกลัวจนเกินไป จนทำให้ล้มป่วยพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีส่งเสียงเหอะเบาๆ “ดีมาก หลายวันนี้ปล่อยให้พวกเขาได้ใจกันไปก่อนก็แล้วกัน ข้าตกใจกลัว และจะไม่พบหน้าผู้ใดทั้งสิ้น เอาตามนี้ก็แล้วกัน”
วันหน้าพ่อบ้านม่อเอ่ยถามด้วยความลังเลว่า “หากในวังเรียกให้เข้าเฝ้า…”
เยี่ยหลีเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ข้าป่วยหนัก มิอาจเข้าวังได้ หมอหลวงกับของพระราชทานที่ในวังส่งมาทั้งหลายก็รับไว้แล้วกัน ส่วนอย่างอื่นก็ไม่ต้องรับปากอันใด”
“ข้าน้อยเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าพ่อบ้านม่อพยักหน้า
เมื่อส่งทุกคนกลับไปแล้ว เยี่ยหลีจึงเดินกลับจากห้องหนังสือไปยังห้องนอนเพียงคนเดียว นางเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่ใกล้เต็มดวงเต็มที ก่อนทอดถอนใจออกมาด้วยความเป็นกังวล แล้วจึงหันมองไปยังมุมมืดมุมหนึ่ง พร้อมเอ่ยว่า “เจ้าตามข้ามามีอันใดหรือ”
ม่อหวาที่อยู่ในมุมมืดเอ่ยตอบเสียงแข็งว่า “ท่านอ๋องสั่งไว้ ว่าให้ดูแลความปลอดภัยของพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลียิ้มบางๆ หมุนตัวเดินกลับห้องโดยมิได้สนใจเขาอีก
จนเมื่อเยี่ยหลีเดินไกลออกไปแล้วม่อหวาถึงได้เดินออกจากเงามืด เปิดเผยตัวท่ามกลางแสงจันทร์ แววตาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวและความพ่ายแพ้ นี่แม้แต่ความสามารถในการซ่อนตัวของเขายังสู้พระชายามิได้เชียวหรือ