ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 107 ตัดขาดไม่ขาด

 

 

“พระชายาฝีมือดียิ่งนัก” เยียหลี่ว์เหยี่ยจัดการนักลอบฆ่าคนสุดท้าย ก่อนหันมาเอ่ยชมเยี่ยหลี เมื่อครู่นักลอบฆ่าผู้นั้นอยู่ใกล้เหยาจีเกินไป อีกทั้งยังอยู่ในจุดที่ไม่ตรงกับชายาติ้งอ๋องเท่าไรนัก ที่ชายาติ้งอ๋องสามารถเขวี้ยงเครื่องประดับหยกออกไปชนกับอาวุธลับจนกระเด็นออกไปได้โดยไม่ทำให้เหยาจีบาดเจ็บนั้น ย่อมมิได้อาศัยเพียงโชคอย่างเดียวเท่านั้น จะต้องมีทั้งสายตา ฝีมือ และพละกำลังที่ดีอีกด้วย

 

 

เยี่ยหลีไม่มีเวลาจะจะมาสนใจคำชมของเยียหลี่ว์เหยี่ย เมื่อครู่บนตัวนางไม่มีสิ่งใดที่เหมาะจะเป็นอาวุธลับได้ จึงได้กระตุกเครื่องประดับหยกบนตัวม่อซิวเหยาออกโยนออกไปเท่านั้น ยามนี้เมื่อช่วยคนไว้ได้แล้ว ถึงได้มีเวลาหันมาสนใจเครื่องประดับหยกของม่อซิวเหยา เพราะถึงอย่างไร ของเขาพกติดตัวย่อมมิใช่ของธรรมดาทั่วไปอย่างแน่นอน

 

 

เยี่ยหลีก้าวเท้าจะเดินไปยังจุดที่เครื่องประดับหยกตกแตกอยู่ แต่ถูกม่อซิวเหยาดึงเอาไว้พร้อมเลิกคิ้วถามว่า “จะทำอันใดหรือ”

 

 

เยี่ยหลีเอ่ยอย่างขอลุแก่โทษ “ข้าจะไปดูหยกชิ้นนั้นสักหน่อย นั่น…สำคัญหรือไม่”

 

 

ม่อซิวเหยาระบายยิ้ม สบตานางพร้อมเอ่ยถามว่า “หากสำคัญแล้วจะทำเช่นไร”

 

 

เยี่ยหลีขมวดคิ้วอย่างคิดหนัก หากเป็นของที่มีมูลค่าสูงนั่นยังพอว่า แต่หากมีประโยชน์อันใดที่สำคัญหรือเป็นของที่มีความหมายเป็นพิเศษ นั่นคงยุ่งยากแล้ว

 

 

เมื่อเห็นเยี่ยหลีทำหน้าตาน่าสงสาร ม่อซิวเหยาจึงยิ่งอารมณ์ดีขึ้นไปอีก เขาดึงเยี่ยหลีเข้ามากอดแนบอก เอ่ยด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยว่า “ถึงแม้จะมิใช่ของสำคัญอันใด แต่ก็เป็นหยกชิ้นที่ข้าชอบมากที่สุด ภรรยา เจ้าว่าควรทำเช่นไรดี”

 

 

เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นสบตาเขา “ข้าชดใช้ให้ท่านด้วยหยกชิ้นใหม่ได้หรือไม่”

 

 

ม่อซิวเหยาพยักหน้าอย่างใจกว้าง “ได้สิ ตามนี้ก็แล้วกัน ภรรยาต้องเลือกด้วยตนเองนะ”

 

 

เมื่อเห็นท่าทางดีใจเช่นนี้ของเขา เยี่ยหลียิ่งรู้สึกผิดขึ้นไปอีก นึกใคร่ครวญในใจว่า ตนละเลยเขาเกินไปหรือไม่ ตั้งแต่แต่งงานเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกินอยู่หรือของใช้ต่างๆ ล้วนเป็นของที่ม่อซิวเหยาสั่งการด้วยตนเอง แต่ตัวนางนั้น…เยี่ยหลีนึกถึงตนเองด้วยความรู้สึกผิด ดูเหมือนจะมีแต่ในวันเกิดเขาเมื่อปีก่อนที่นางทำเสื้อผ้าให้เขา ซึ่งนั้นก็ด้วยเพราะมีบ่าวข้างกายเอ่ยเตือน เมื่อคิดถึงจุดนี้ เยี่ยหลีจึงรู้สึกว่าตนไม่ใส่ใจม่อซิวเหยาเท่าไรนัก จึงพยักหน้าอย่างจริงจังว่า “ได้สิ ข้าจะไปเลือกด้วยตนเอง”

 

 

“ภรรยาช่างน่ารักจริงๆ…” ม่อซิวเหยายิ้มด้วยความพอใจ

 

 

ถึงแม้ม่อซิวเหยาจะบอกว่ามิได้สนใจ แต่เยี่ยหลีก็ยังนำถุงผ้าที่พกติดตัวไปเก็บเศษหยกเหล่านั้นขึ้นมาอยู่ดี

 

 

ทางฟากนี้ทั้งสองต่างเต็มไปด้วยความรักใคร่อ่อนโยน แต่อีกด้านหนึ่งกลับเป็นไปอย่างเย็นชาและหนักอึ้ง จนแม้แต่คนที่รอชมละครอย่างเยียหลี่ว์เหยี่ยยังอดที่จะยืนห่างออกไปอีกเล็กน้อยไม่ได้

 

 

สีหน้าเหยาจีดูซีดขาว ไม่มีเสน่ห์อย่างเมื่อครู่ให้ได้เห็นอีกนี่ก็ล่วงเข้าเดือนหกแล้ว สายลมในยามค่ำคืนทำให้นางตัวสั่นจนต้องยกมือขึ้นกอดแขนตนเองไว้ ชุดสยาอีหลากสีที่นางสวมอยู่ ทำให้นางยิ่งดูขาวซีและบอบบางขึ้นไปอีก

 

 

มู่หยางมองหญิงสาวตรงหน้านิ่ง สายตาเป็นประกายซับซ้อน เขาถอนหายใจยาว ก่อนเอ่ยเสียงขรึมขึ้นว่า “ไปเถิด ข้าจะส่งเจ้ากลับเอง”

 

 

เหยาจีถอยหลังไปหนึ่งก้าว เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “ไม่รบกวนซื่อจื่อแล้ว เหยาจีรู้ทาง กลับเองได้”

 

 

“เหยาจี!” มู่หยางเอ่ยเรียกเสียงเข้ม น้ำเสียงมีความไม่พอใจแฝงอยู่ “เจ้าสร้างเรื่องพอหรือยัง เจ้ามาโยนดอกไม้ผ้าในสถานที่เช่นนี้…เจ้าคิดอยากทำลายตนเองใช่หรือไม่”

 

 

เหยาจีเงยหน้าขึ้นมองเขา ใบหน้าขาวซีดยามนี้มีรอยยิ้มอย่างขมขื่น “ความหมายของซื่อจื่อคือ หากข้าโยนดอกไม้ผ้าในโรงละครชิงเฉิงก็จะไม่มีปัญหาใช่หรือไม่ ที่นี่มีแต่ชาวบ้านธรรมดาทั่วไป ในโรงละครชิงเฉิงแขกไปใครมามีแต่คหบดีกับชนชั้นสูง จึงจะไม่เป็นการทำให้ชื่อเสียงของนางรำอันดับหนึ่งเป็นเมืองหลวงต้องเสียหายใช่หรือไม่”

 

 

แววตามู่หยางเต็มไปด้วยความหนักใจ เอ่ยเสียต่ำว่า “เจ้ารู้ว่าข้ามิได้หมายความเช่นนั้น” ในเมืองหลวง เหยาจีได้รับความเคารพพอสมควร ซึ่งมิใช่ด้วยเพราะเบื้องหลังนางมีมู่หยางโหวซื่อจื่อและคุณชายสามตระกูลเฟิ่งคอยสนับสนุนเท่านั้น แต่มิใช่เพียงเพราะฝีมือการร่ายรำของนางที่โดดเด่นกว่าผู้อื่น แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ นางไม่เคยรับแขกเป็นการส่วนตัว ชื่อเสียงของนางยังคงสะอาดและบริสุทธิ์ แต่หากวันนี้เหยาจี…เข้าจริงๆ เช่นนั้น ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป เกรงว่าบรรดาชนชั้นสูงเจ้าสำราญทั้งหลายในเมืองหลวงที่หมายปองเหยาจีไว้ คงได้กรูกันเข้ามายังโรงละครชิงเฉิงเป็นแน่ ถึงยามนั้น ผู้ใดก็คงมิอาจช่วยนางได้ เพราะถึงอย่างไร จวนมู่หยางโหวและตระกูลเฟิ่งก็คงไม่เป็นศัตรูกับชนชั้นสูงและผู้มีอิทธิพลทั้งเมืองหลวงเพื่อหญิงคณิกานางหนึ่งเป็นแน่

 

 

เหยาจีหันมองเยี่ยหลีด้วยแววตาเศร้าสร้อยระคนอิจฉา ก่อนค่อยๆ เดินเข้าไปหามู่หยางพร้อมโค้งตัวให้เล็กน้อย “หลายปีนี้ขอบคุณซื่อจื่อที่คอยช่วยดูแล เหยาจีซาบซึ้งในน้ำใจท่านมาก เพียงแต่…ขอต่อจากนี้ซื่อจื่ออย่าได้มาพบกันอีกเลย”

 

 

“เหยาจี!”

 

 

เหยาจีไม่หันกลับไปมองเขาอีก นางหันมาพยักหน้าให้เยี่ยหลีเล็กน้อยก่อนค่อยๆ ออกเดินไปตามถนน

 

 

เยี่ยหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย ลอบส่งสัญญาณให้องครักษ์ลับลอบอารักขาเหยาจีไปส่งยังโรงละครชิงเฉิง ถึงช่วงเวลาห้ามออกนอกเคหะสถานแล้ว แต่การที่หญิงสาวผู้หนึ่งเดินอยู่ในเมืองตามลำพังในยามวิกาลเช่นนี้ อย่างไรก็ไม่ปลอดภัยนัก

 

 

มู่หยางขมวดคิ้วคิดอยากเดินตามไป เยี่ยหลีรีบเอ่ยปากรั้งเขาไว้ “ซื่อจื่อช้าก่อน”

 

 

มู่หยางหันกลับมามองเยี่ยหลีด้วยความสงสัย

 

 

เยี่ยหลีเอ่ยถามเสียงขรึมว่า “ซื่อจื่อจะตามนางไปเพื่ออันใดหรือ”

 

 

มู่หยางขมวดคิ้ว “เพื่อส่งนางกลับน่ะสิ”

 

 

เยี่ยหลีเอ่ยว่า “ส่งนางกลับถึงแล้วแล้วอย่างไร ข้ากับแม่นางเหยาจีเคยมีวาสนาได้พบหน้ากันสองครา ให้ข้าเป็นธุระในเรื่องนี้ได้หรือไม่ หรือว่า…ซื่อจื่อไม่เชื่อในตัวข้า”

 

 

มู่หยางมีท่าทีลังเลเล็กน้อย “แต่ว่า…”

 

 

“หากซื่อจื่อมิอาจให้อนาคตอย่างที่แม่นางเหยาจีต้องการได้ ก็ตัดให้ขาดเสียเลยจะดีกว่า หักแขนอาจจะเจ็บปวด แต่ข้าเห็นแม่นางเหยาจีเป็นคนมีความทระนงตน เชื่อว่านางจะสามารถยืนหยัดต่อไปได้ หากซื่อจื่อยังวนเวียนอยู่รอบตัวนางเช่นนี้ ไม่แน่ว่าคนที่ท่านทำร้ายก็คือหัวใจของแม่นางทั้งสอง” เยี่ยหลีเอ่ยเสียงเรียบ สบตามู่หยางนิ่ง ขณะที่เอ่ยถึงแม่นางทั้งสองยังได้เน้นเสียงหนักขึ้นอีกเล็กน้อยด้วย เพื่อเป็นการเตือนสติเขาด้วยว่า คนที่เขาต้องรับผิดชอบมิได้มีแต่เหยาจี แต่ยังมีคุณหนูซุนที่หมั้นหมายอยู่กับเขาด้วย

 

 

มู่หยางตัวสั่น จ้องหน้าเยี่ยหลีด้วยความโกรธ “ท่านไม่เข้าใจอันใดเลย!”

 

 

เยี่ยหลีนิ่งเงียบ จริงอยู่ที่นางไม่เข้าใจอันใดเลย นางไม่รู้เรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างเหยาจีและมู่หยาง และไม่รู้ว่าเขากับคุณหนูซุนท่านนั้นเป็นอย่างไร เพียงแต่ด้วยฐานะของเหยาจี หากจวนซื่อจื่อยอมรับและเหยาจีเองก็ยินดี การแต่งเข้าจวนมู่หยางโหวไปเป็นภรรยารองก็สามารถทำได้ แต่ในเมื่อเรื่องราวใหญ่โตถึงเพียงนี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเหยาจีเองที่ไม่ยินยอม หรือจวนมู่หยางโหวไม่เห็นด้วย หรือตระกูลซุนจะมีความเห็นกับเรื่องนี้ อย่างไรก็คงมิอาจเป็นไปได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ความลังเลใจของมู่หยางในตอนนี้จึงมิใช่เรื่องดีแม้แต่น้อย

 

 

“พวกเรากลับกันเถิด” หลังจากนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เยี่ยหลีก็หันไปเอ่ยกับม่อซิวเหยา

 

 

ม่อซิวเหยาพยักหน้า เหลือบมองมู่หยางทีหนึ่ง “ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างจวนมู่หยางและตระกูลซุน ท่านมู่หยางโหวไม่มีทางยอมรับเหยาจีเป็นแน่” พูดจบเขาก็มิสนใจปฏิกิริยาของมู่หยางอีก หันไปก้มหัวให้เยียหลี่ว์เหยี่ย ก่อนจูงเยี่ยหลีให้ออกเดินไปทางตำหนัก

 

 

ดูเหมือนคำพูดของม่อซิวเหยาจะทำให้มู่หยางสีหน้าย่ำแย่ลงไปกว่าเดิมอีก เขายืนนิ่งอยู่ที่เดิมครู่ใหญ่ ก่อนหมุนตัวออกเดินไปยังทิศทางตรงกันข้าม

 

 

เยียหลี่ว์เหยี่ยที่ถูกทิ้งไว้แต่เพียงผู้เดียว มองแผ่นหลังของคู่ที่เดินห่างออกไป แล้วเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสนใจ “ช่างเป็นหญิงสาวที่น่าสนใจจริงๆ ดูท่าม่อซิวเหยาจะรักใคร่ชายาติ้งอ๋องอยู่มากโขทีเดียว…”

 

 

เครื่องประดับหยกชิ้นนั้นเยียหลี่ว์เหยี่ยเห็นอย่างชัดเจน นั่นเป็นหยกชิ้นที่ปฐมฮ่องเต้แห่งต้าฉู่พระราชทานให้แก่ม่อหลั่นอวิ๋น ติ้งอ๋องที่ช่วยเหลือพระองค์ในการก่อตั้งแคว้น ถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์แสดงฐานะของติ้งอ๋องเลยก็ว่าได้ เพียงแต่นานวันเข้า เมื่อบารมีของตำหนักติ้งอ๋องมีมากขึ้น จึงไม่จำเป็นต้องมีเครื่องประดับหยกชิ้นนี้มาใช้แสดงฐานะอีก จึงค่อยๆ กลายเป็นเครื่องประดับหยกธรรมดาๆ ชิ้นหนึ่งเท่านั้น แต่สำหรับตำหนักติ้งอ๋องแล้ว ความหมายของหยกชิ้นนี้ ยังคงมิสามารถทดแทนด้วยอัญมณีหยกทั่วไปได้

 

 

“ม่อซิวเหยาหนอม่อซิวเหยา…ท่านแสดงจุดอ่อนของท่านออกมาให้เห็นเช่นนี้จะเป็นการดีหรือ หรือว่า…ท่านไม่เคยเห็นข้าอยู่ในสายตามาก่อนเลยกัน!”

 

 

พระจันทร์เสี้ยวลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืน ทำให้ท้องถนนดูมืดสลัว ชายหญิงคู่หนึ่งเดินจับมือเคลียไหล่กันอยู่ ม่อซิวเหยาเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “อาหลียังกังวลอยู่หรือ”

 

 

เยี่ยหลีชะงักไป มองเขาด้วยความมึนงง ม่อซิวเหยาเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “อาหลีมิได้กังวลเรื่องแม่นางเหยาจีอยู่หรือ”

 

 

เยี่ยหลีได้แต่ถอนหายใจ “หญิงสาวที่โดดเด่นเช่นแม่นางเหยาจี น่าเสียดายเพียงเกิดมาท่ามกลางหญิงคณิกา มิเช่นนั้นคงไม่โชคร้ายเช่นนี้”

 

 

ม่อซิวเหยาก้มลงมองนาง “อาหลีอยากช่วยนางหรือ หากอาหลีไปช่วยพูดให้นาง บางทีจวนมู่หยางโหวอาจยอมรับนางก็เป็นได้”

 

 

เยี่ยหลีส่ายหน้า “ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเหยาจีจะยินดีหรือไม่ แต่หากใช้ฐานะชายาติ้งอ๋องบังคับให้จวนมู่หยางโหวต้องแต่งคนที่พวกเขาไม่ยินดีต้อนรับเข้าไป ต่อให้เหยาจีได้เข้าจวนมู่หยางโหวก็คงมีชีวิตที่ไม่ดีนัก อีกอย่าง…คุณหนูซุนท่านนั้นต่างหากที่เป็นคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคู่หมั้นของมู่หยางมิใช่หรือ นางมิได้ทำอันใดเลย เหตุใดจะต้องบังคับนางให้ยอมรับ…ศัตรูหัวใจด้วยหรือ หากมู่หยางรักเหยาจีมากกว่าทุกสิ่งจริง เขาย่อมต้องจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย แต่หากมิใช่…ในโลกนี้มีเรื่องใดบ้างที่จะเป็นไปตามที่เราต้องการทุกอย่าง ข้ายังยืนคำเดิม ถึงเวลารักษาก็ควรรักษาไว้ให้ดี หากถึงเวลาต้องตัดก็ต้องตัดให้ขาด”

 

 

ม่อซิวเหยาถอนใจเบาๆ “อาหลีช่างใจร้ายเหลือเกิน หากอาหลีช่วยออกหน้าพูดให้ ไม่ว่าจวนมู่หยางหรือตระกูลซุนจะต้องเห็นแก่หน้าอาหลีแน่นอน”

 

 

เยี่ยหลีปรายตามองเขา “หากมีคนมาพูดกับข้าว่า ให้เห็นแก่หน้านาง ขอให้ข้ารับหญิงสาวคนหนึ่งไว้เป็นอนุของท่านอ๋อง ข้าคงได้แต่ผลักนางให้กระเด็นออกไปไกลๆ ท่านอ๋องใส่ใจปัญหานี้เช่นนี้ หรือว่าท่านมีความหวั่นใจในเรื่องนี้เช่นกันหรือ ไม่เป็นไร…ข้าเป็นคนเข้าใจอันใดได้ง่าย ของเพียงท่านอ๋องบอกข้าด้วยตนเองก็พอ” นางยิ้มอย่างอ่อนโยนให้ม่อซิวเหยาที่มีสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง

 

 

ม่อซิวเหยาได้แต่ยกมือขึ้นลูบจมูก “ในชีวิตนี้ข้าไม่มีทางหวั่นใจในเรื่องนี้หรอก อาหลีวางใจได้เลย”

 

 

เยี่ยหลีส่งเสียงเหอะเบาๆ มิได้แสดงความเห็นใดๆ ต่อคำสัญญาของเขา

 

 

เมื่อกลับถึงตำหนัก ม่อซิวเหยาก็ถูกเชิญให้ไปคุยธุระทันที ดูท่าคนของตำหนักติ้งอ๋องน่าจะรู้ข่าวที่เยียหลี่ว์เหยี่ยมาปรากฏตัวที่เมืองหลวงแล้วขณะที่เยี่ยหลีกำลังจะหมุนตัวเดินกลับห้องนั้น ฉินเฟิงก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้านางด้วยสีหน้าแปลกประหลาด

 

 

เยี่ยหลีเลิกคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ “ทำไมหรือ ช่วงนี้การฝึกเบาไปหรือไร ถึงยังไม่กลับไปพักผ่อนอีก”

 

 

ฉินเฟิงลังเลเล็กน้อย ก่อนเอ่ยปากว่า “พระชายา แม่นางเหยาจีท่านนั้น…”

 

 

เยี่ยหลีเลิกคิ้ว เข้าใจในทันที “เจ้าเป็นคนไปส่งเหยาจีหรือ หัวหน้าฉินช่างดูว่างเสียจริง ดูท่าข้าจะต้องบอกองครักษ์ลับสองและสามเสียหน่อยแล้ว ว่าการฝึกของท่านสามารถเลื่อนไปอีกขั้นได้แล้ว เหยาจีทำไมหรือ”

 

 

ฉินเฟิงทำหน้าละห้อย เหลือบมองเยี่ยหลีก่อนเอ่ยว่า “ยังเดินไม่ทันถึงโรงละครฉินเฟิงก็เป็นลมล้มไปข้างทางพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“แล้วอย่างไร” เยี่ยหลีอมยิ้มมองเขา สีหน้าดูมีแววล้อเลียน

 

 

ฉินเฟิงได้แต่ฝืนเอ่ยออกไปว่า “ไม่แล้วอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ…ข้าน้อยพานางกลับไปส่งแล้ว เพียงแค่มารายงานพระชายาเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีถอนใจเบาๆ “เจ้ารู้สึกว่านางน่าสงสารใช่หรือไม่”

 

 

ฉินเฟิงนิ่งเงียบไม่ตอบ เยี่ยหลีเอ่ยเสียงขรึมว่า “ข้าเองก็รู้สึกว่านางน่าสงสาร เพียงแต่บางเรื่องมิใช่ว่าพวกเราเห็นใจแล้วจะสามารถเข้าไปทำอันใดได้ เพราะบางทีอาจมีอีกคนที่จะน่าสงสารจากสิ่งที่พวกเราทำด้วยความเห็นอกเห็นใจ”

 

 

ฉินเฟิงเข้าใจในทันที เขาพยักหน้าเอ่ยว่า “ข้าน้อยผิดไปแล้ว พระชายาโปรดอภัยด้วย”

 

 

เยี่ยหลีเลิกคิ้วพร้อมยิ้มบางๆ “แสงจันทร์ทอประกาย สาดสายดวงหน้ามน ชื่นชมสะโอดสะอง ยิ่งดลให้พะวงหา อย่างนั้นหรือ”

 

 

ฉินเฟิงอึ้งไป รีบหมุนตัววิ่งจากไปทันที “ข้าน้อยทูลลา!”

 

 

ครั้นเห็นฉินเฟิงรีบวิ่งออกไปอย่างไม่คิดชีวิตเช่นนั้น ก็ทำให้เยี่ยหลีอดระบายยิ้มออกมาไม่ได้ ยิ่งเมื่อคิดถึงแผ่นหลังที่ตั้งตรงของเหยาจียามเดินจากไป ก็ทำได้เพียถอนใจออกมา

 

 

เมื่อรับปากม่อซิวเหยาไว้แล้วว่าจะเลือกเครื่องประดับหยกชิ้นใหม่ให้เขา ซ้ำยังนึกขึ้นได้ว่าใกล้ถึงวันเกิดม่อซิวเหยาแล้ว วันรุ่งขึ้น เยี่ยหลีจึงได้พาสาวใช้ออกจากตำหนักไปหาซื้อของ

 

 

นางเดินเข้าออกร้านค้าที่เคยมาเป็นประจำอยู่สองสามร้าน แต่ก็ยังไม่พบเครื่องประดับหยกหรือหินหยกที่ถูกใจ เยี่ยหนีก็ยังไม่รีบร้อน หยกชั้นดีที่แท้จริงนั้น ต้องรอจังหวะและโอกาส ใช่ว่าจะได้มาโดยทันที หยกชั้นดีที่พบบ้างถูกแกะเป็นรูปต่างๆ ที่ไม่ถูกใจนาง บ้างสีของมันก็ยังไม่ทำให้เยี่ยหลีพอใจ หากไปเลือกจากในโรงเก็บของของตำหนักก็ดูจะไม่จริงใจสักเท่าใด

 

 

เยี่ยหลีเดินคิดหนักไปตามท้องถนน “ชายาติ้งอ๋อง บังเอิญจริง ได้พบกันอีกแล้ว” เยี่ยหลีเพิ่งเดินออกจากร้านขายเครื่องหยก ก็ได้ยินเสียงใสเอ่ยเรียกมาจากทางด้านหลัง

 

 

เยี่ยหลีเลิกคิ้วหันไปมอง ก็เป็นชายผู้หนึ่งกำลังยืนกอดอกด้วยท่วงท่าสบายๆ อยู่ “องค์ชายเยียหลี่ว์ องค์ชายยังมิได้เข้าวังไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทหรือ”

 

 

เยียหลี่ว์เหยี่ยยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “ถึงอย่างไรก็อีกหลายวันกว่าขบวนรับตัวเจ้าสาวจะมาถึงเมืองหลวง ช่วงนี้ข้าจึงถือเป็นช่วงเวลาพักผ่อนส่วนตัวก่อน จึงยังขอไม่ไปรบกวนฝ่าบาทของแคว้นท่าน”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้ายิ้มน้อยๆ “ถ้าเช่นนั้น ข้าไม่รบกวนเวลาเดินเล่นขององค์ชายแล้ว” บังเอิญหรือ เมืองหลวงที่กว้างใหญ่เช่นนี้ เมื่อคืนก่อนเพิ่งพบกัน เช้าวันนี้มาบังเอิญพบกันที่นี่อีก จะบังเอิญถึงเพียงนั้นเชียวหรือ

 

 

เยี่ยหลี่ว์เหยี่ยทำเหมือนไม่เห็นท่าทีห่างเหินของเยี่ยหลี เอ่ยยิ้มๆ ว่า “จะว่าไปนี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้มาเมืองหลวงของต้าฉู่ ไม่คุ้นทางเอาเสียเลย ไม่รู้ว่าพระชายาจะสามารถช่วยเป็นเจ้าบ้านพาข้าเดินเที่ยวดูรอบๆ ได้หรือไม่”

 

 

เยี่ยหลียกมุมปากขึ้นยิ้มบางๆ ใบหน้างามเต็มไปด้วยความขอลุแก่โทษ “ขอประทานโทษด้วยจริงๆ ปกติข้าก็ไม่ค่อยได้ออกไปที่ใดนัก ไม่แน่ว่าอาจไม่คุ้นเคยกับเมืองหลวงเท่าองค์ชายด้วยซ้ำ เกรงว่าคงช่วยองค์ชายนำทางมิได้ จะว่าไป เมื่อคืนองค์ชายตรัสว่าจะไปเป็นแขกที่ตำหนัก วันนี้ท่านอ๋องตั้งใจรอรับองค์ชายอยู่ที่ตำหนักตั้งแต่เช้า แต่ยามนี้เกรงว่าคงจะรอเก้อเสียแล้ว”

 

 

เยียหลี่ว์เหยี่ยมุมปากกระตุกเล็กน้อย เอ่ยยิ้มๆ ว่า “พระชายาโปรดอภัยด้วย ด้วยเพราะข้าเห็นว่า ข้ายังมิได้เข้าเฝ้าฝ่าบาทของแคว้นท่านอย่างเป็นทางการ จึงเห็นว่าไม่เหมาะสมที่จะไปเข้าเยี่ยมคารวะที่ตำหนักติ้งอ๋องเป็นการส่วนตัว อาจจะนำความเดือดร้อนมาให้ท่านอ๋องและพระชายาได้ พระชายาท่านว่าจริงหรือไม่”

 

 

เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “องค์ชายทรงคิดรอบคอบนัก ข้ายังมีธุระต้องไปจัดการ คงต้องขอตัวก่อน”

 

 

ครั้นเห็นเยี่ยหลีหมุนตัวจากไปโดยไม่ลังเลเช่นนั้น เยียหลี่ว์เหยี่ยจึงหรี่ตาลงเล็กน้อย ยกมุมปากขึ้นยิ้ม “หลายวันก่อนข้าน้อยได้หยกชั้นเลิศมาชิ้นหนึ่ง ไม่รู้ว่าพระชายาสนพระทัยหรือไม่”

 

 

เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนั้น เยี่ยหลีก็ยังไม่หันกลับไปมอง แม้แต่ฝีเท้าก็ยังไม่หยุดก้าวเดินเลยแม้แต่น้อย คิ้วเยียหลี่ว์เหยี่ยเลิกขึ้นเล็กน้อย เอ่ยต่อว่า “พระชายามิอยากรู้หรือว่าเครื่องประดับหยกที่ท่านทำแตกไปเมื่อวานนั้นเป็นหยกอันใดกันแน่”

 

 

เยี่ยหลีค่อยๆ หันหน้ากลับมา ในขณะที่เยียหลี่ว์เหยี่ยกำลังยิ้มอย่างได้ทีนั้นเอง เยี่ยหลีก็เอ่ยเรียบๆ ว่า “ในเมื่อท่านอ๋องมิได้ว่าอันใด นั่นหมายความว่าท่านไม่ใส่ใจ ไม่ว่าหยกชิ้นนั้นจะเป็นหยกอันใดแต่ก็ได้แตกไปแล้ว หากข้าอยากรู้ ย่อมสามารถเอ่ยถามกับท่านอ๋องเองได้ เหตุใดจะต้องรู้จากปากของผู้อื่นด้วย องค์ชาย ท่านว่าจริงหรือไม่”

 

 

รอยยิ้มบนใบหน้าของเยียหลี่ว์เหยี่ยค่อยๆ หุบลง มองตามแผ่นหลังของหญิงสาวตรงหน้าอย่างใช้ความคิด “มิน่าถึงทำให้ม่อซิวเหยาสนใจได้ น่าสนใจจริงๆ เสียด้วย ชายาติ้งอ๋อง พวกเราจะต้องได้พบกันอีก”

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย

หลังถูกน้องสาวร่วมบิดาแทงข้างหลัง ทำให้ เยี่ยหลี คุณหนูสามแห่งจวนตระกูลเยี่ยถูกถอนหมั้นจาก ม่อจิ่งหลี ท่านอ๋องรูปงามแห่งเมืองหลวง แต่นางก็ยังมองโลกในแง่ดี หวังว่าตนจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอีกสักสองสามปี ทว่าเหตุไฉนสามวันให้หลัง ฝ่าบาทถึงได้พระราชทานสมรสให้นางอีกครั้งเล่า! การแต่งงานครั้งนี้แม้ฉากหน้าจะดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก แต่คนที่นางต้องอภิเษกสมรสด้วยกลับเป็น ม่อซิวเหยา ท่านอ๋องพิการไร้ประโยชน์ อีกทั้งยังมีรูปโฉมอัปลักษณ์ เล่าลือกันว่าเขาเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วถึงสองครา ทว่าหญิงสาวทั้งสองคนที่เขาสมรสด้วยกลับต้องมีอันเป็นไปภายหลังจากการแต่งงานได้ไม่นาน แต่ช้าก่อน…บุรุษที่แสนอ่อนโยนและเก่งกาจตรงหน้านางนี้น่ะหรือคือม่อซิวเหยา บุรุษที่กล่าวกันว่าเป็นคนน่ากลัว ไร้ค่า ไม่ได้เรื่องได้ความคนนั้น นี่คงมีอะไรที่เข้าใจผิดไปแล้วกระมัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset