“พระชายา…”
ฉินเฟิงหันมองหญิงสาวบอบบางหน้าตายิ้มแย้มตรงหน้า รู้สึกเพียงหนังศีรษะที่เริ่มชา ได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่กล้าขยับตัว เขาไม่นึกอยากใช้ตัวเองเป็นเครื่องทดสอบว่าบริเวณโดยรอบตัวเขานี้ยังมีค่ายกลหรือกับดักวางอยู่อีกหรือไม่ เขาเหลือบมองไปยังทะเลสาบที่น้ำใสแจ๋วและนิ่งสงบดูไม่เป็นอันตราย เขาสาบานเลยว่า เมื่อครู่ที่เขาเห็นหัวลูกธนูที่วางอยู่เต็มผืนน้ำนั้น มิใช่สิ่งที่เขาคิดไปเอง หากมีผู้ใดไม่รู้จักที่ตาย คิดว่าตนมีวิชาตัวเบาเป็นเลิศ แล้วกระโดดลงมาจากด้านบนนั้นเลยแล้ว คนผู้นั้นคงได้กลายเป็นเม่นตัวใหญ่อย่างมุต้องสงสัย
เยี่ยหลียิ้ม “ไม่ต้องตื่นเต้นไป เพียงล้อเล่นเท่านั้น ปกติที่นี่ไม่ใช่แบบนี้หรอก”
ฉินเฟิงพูดไม่ออก เขาเชื่อว่า ปกติคงมีแต่จะอันตรายยิ่งกว่านี้
เยี่ยหลีหมุนตัวชี้ไปยังป่าเบื้องหลังที่ดูไกลสุดลูกหูลูกตา ก่อนยิ้มพร้อมเอ่ยถามว่า “เคยมาที่นี่หรือไม่”
ฉินเฟิงมองอย่างลังเลเล็กน้อยก่อนส่ายหน้า “อยู่ใกล้เมืองหลวงนักไม่สะดวกต่อการฝึกซ้อม การฝึกของหน่วยเฮยอวิ๋นฉีโดยมากมักเป็นสถานที่ที่อยู่ห่างจากเมืองหลวงไปประมาณหนึ่งร้อยลี้พ่ะย่ะค่ะ” อีกทั้งหน่วยเฮยอวิ๋นฉีเป็นกองทัพทหารม้า ต่อให้เป็นการฝึกก็ต้องฝึกในสถานที่รกร้างว่างเปล่า ในป่าเช่นนี้ทหารม้ามิอาจแสดงศักยภาพที่แท้จริงออกมาได้
เยี่ยหลียิ้ม “คนที่ข้าต้องการจะมาได้เมื่อใดหรือ”
ฉินเฟิงลังเลเล็กน้อย “อีกหนึ่งชั่วยามน่าจะมาถึงพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อพูดออกไปแล้ว ฉินเฟิงกลับไม่มั่นใจเอาเสียเลย เพราะพระชายาให้มาเพียงแผนที่ที่แสนจะธรรมดาปึกหนึ่งเท่านั้น อีกทั้งแผนที่แต่ละแผ่นยังไม่เหมือนกันสักทีเดียวอีกด้วย ถึงแม้หน่วยเฮยอวิ๋นฉีจะเชี่ยวชาญเรื่องการติดตามหาร่องรอย แต่สำหรับแผนที่ที่ประหนึ่งหนังสือสวรรค์ก็มิปานแผ่นนั้น ต้องศึกษาอยู่พักใหญ่กว่าจะพอมั่นใจตำแหน่งที่อยู่ของสถานที่นี้ได้ ไม่รู้ว่าคนของหน่วยเฮยอวิ๋นฉีพวกนั้นจะหากันเจอหรือไม่
ส่วนเรื่องที่พระชายาบอกว่า หากมีใครถูกชาวบ้านแถวนี้พบเข้าถือว่าถูกตัดออกอันใดนั่น เขาไม่นึกเป็นกังวลแต่อย่างใด ทหารในหน่วยเฮยอวิ๋นฉี ต่อให้เป็นคนที่เพิ่งบรรจุเข้ามาใหม่ ก็ไม่มีทางถูกชาวบ้านธรรมดาๆ พบเข้าได้ง่ายๆ
“มากันได้สักกี่คนหรือ”
“รอบๆ เมืองหลวงนี้ข้าเลือกทหารจากหน่วยเฮยอวิ๋นฉีและกองทัพตระกูลม่อมาอย่างละห้าสิบคน ต่อให้มากันได้ไม่ครบ แต่อย่างน้อยสักเจ็ดแปดสิบนายก็ไม่น่ามีปัญหาพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินเฟิงนิ่งไตร่ตรงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวว่า “พระชายา…” ฉินเฟิงมีท่าทีลังเล แต่เขาก็คิดว่าควรถามเรื่องที่ตนนึกสงสัยมาตลอดหลายวันนี้ให้แน่ชัด เขาเป็นหัวหน้าหน่วยเฮยอวิ๋นฉี ถึงแม้จะมิใช่หัวหน้าหน่วยที่ใหญ่ที่สุด มีผู้ใต้บังคับบัญชาในมือเพียงสองพันคน แต่เขารู้สึกว่าเขาต้องมีความรับผิดชอบต่อนายทหารยอดฝีมือในหน่วยของเขาเหล่านั้น หากพระชายาไม่พอพระทัยในองครักษ์ลับ ก็ควรให้หัวหน้าหน่วยองครักษ์ลับฝึกให้หนักยิ่งขึ้นแล้วคัดเลือกคนที่เก่งกว่ามา ถึงแม้การแบ่งกำลังพลจากหน่วยเฮยอวิ๋นฉีมาห้าสิบนายจะไม่มีผลกระทบอันใดต่อกำลังรบในหน่วยเฮยอวิ๋นฉีนัก แต่จะให้นายทหารเหล่านี้มาทำอันใดกัน หากให้มาเป็นองครักษ์ลับแล้ว นายทหารจำนวนเจ็ดแปดสิบนายก็ดูจะมากเกินไปสักหน่อย อีกทั้งตำหนักติ้งอ๋องเองก็มีองครักษ์ลับอยู่แล้ว หากสื่อสารกันไม่ดี ก็ง่ายที่จะเกิดความขัดแย้งระหว่างองครักษ์ลับและหน่วยเฮยอวิ๋นฉีได้ หรือหากเพื่อการรบแล้ว ทหารเพียงเจ็ดแปดสิบนาย ต่อให้ฝีมือเป็นเลิศเพียงใดก็คงไม่มีประโยชน์อันใดมากนัก เพราะถึงอย่างไรความสามารถเฉพาะตัวกับการต่อสู้กับกองทัพจำนวนเป็นพันเป็นหมื่นนาย ก็เท่ากับเป็นการส่งไปตายเท่านั้น
“เจ้าคิดมากไปแล้ว” ครั้นเห็นสีหน้าลังเลและคิดไม่ตกของฉินเฟิง เยี่ยหลีจึงได้แต่ยิ้ม “ไม่ต้องกังวลเรื่องเหล่านี้ ข้าได้คัดเลือกคนจากหน่วยองครักษ์ลับมาอีกสามสิบนาย รอดูว่าผู้ใดจะมาถึงที่นี่ก่อน พวกเรามาพนันกันดีหรือไม่”
ฉินเฟิงนึกขึ้นมาได้ว่า เมื่อครั้งอยู่ที่หย่งหลิน บังเอิญได้ยินองครักษ์ลับสามพูดว่า ฝีมือการเล่นพนันของพระชายายอดเยี่ยมนัก แต่เมื่อคิดแล้วก็ตอบออกมาด้วยความมั่นใจว่า “เฮยอวิ๋นฉี”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ในบรรดาสามหน่วยนั้น หน่วยเฮยอวิ๋นฉีเป็นหน่วยที่เก่งด้านการศึกและการเคลื่อนพลกว่าหน่วยอื่นมากนัก ถึงแม้วิทยายุทธอาจไม่เก่งกาจเท่าองครักษ์ลับบางนาย แต่ต้องรู้ก่อนว่า องครักษ์ลับนั้นนอกจากคนที่ได้ฝึกฝนมาเพื่อเป็นองครักษ์ติดตามท่านอ๋องและพระชายาโดยเฉพาะแล้ว คนอื่นๆ ก็ใช่ว่าจะมีวิทยายุทธแก่กล้ากันทุกคน แต่ในหน่วยเฮยอวิ๋นฉี ทุกคนต่างผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนักหน่วง อีกทั้งทุกคนต่างเคยชินกับการบุกและการถอยพร้อมๆ กันอีกด้วย
เยี่ยหลีเลิกคิ้วอย่างไม่คิดเช่นนั้น “ข้าคิดว่าองครักษ์ลับจะมาถึงก่อน เฮยอวิ๋นฉีมาที่สอง แต่กองทัพตระกูลม่อจะมาถึงมากที่สุด”
“เป็นไปไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ!” ฉินเฟิงปฏิเสธโดยทันที เขามิได้ดูถูกกองทัพตระกูลม่อ เพียงแต่คงมิอาจปฏิเสธได้ว่า สำหรับเขาแล้วหน่วยเฮยอวิ๋นฉีแข็งแกร่งกว่ากองทัพตระกูลม่อ อย่างน้อยด้วยจำนวนคนห้าสิบคนเท่ากัน อย่างไรกองทัพตระกูลม่อก็มิอาจเอาชนะหน่วยเฮยอวิ๋นฉีได้
“รอดูไปเถิด”
เยี่ยหลีถอดค่ายกลในทะเลสาบและริมหน้าผาส่วนใหญ่ออก การออกแบบค่ายกลและกับดักเหล่านี้ทำให้นางรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย จนมิกล้าดูถูกมันสมองของคนโบราณ เดิมทีนางเคยใคร่ครวญว่าตนควรจะสร้างค่ายกลราคาแพงขึ้นเพื่อปกป้องหุบเขาแห่งนี้ดีหรือไม่ แต่ยามนี้ดูท่าจะไม่ต้องลงทุนลงแรงเช่นนั้นแล้ว เพราะหากค่ายกลทั้งหมดในหุบเขาแห่งนี้ทำงานขึ้นพร้อมๆ กัน และหากมิได้ล่วงรู้มาก่อน ต่อให้เป็นนางก็ไม่แน่ว่าจะสามารถหลบหลีออกไปได้อย่างปลอดภัย
สิ่งก่อสร้างเดิมที่สร้างขึ้นชั่วคราวในหุบเขาแห่งนี้ ถูกรื้อถอนออกไปหมดแล้ว เปลี่ยนเป็นเรือนไม้ที่ตั้งเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ และเพื่อเป็นกันป้องกันงู แมลง หนู มดและสัตว์ป่าอื่นๆ ไม่ให้เข้ามา นางยังได้ปลูกพืชกันงูและแมลงล้อมรอบเป็นกำแพงไว้อีกชั้นหนึ่งด้วย ทั้งหมดนี้ใช้เวลาไปทั้งสิ้นเกือบสิบเดือน และเพิ่งเสร็จสมบูรณ์เมื่อหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ หนำซ้ำยังใช้เงินที่ก่อนหน้านี้นางได้มาจากหานหมิงเย่ว์รวมถึงเงินจากสินเดิมของตนไปจนหมดสิ้นอีกด้วย แต่ยามที่ไปยังหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์นางก็ได้กลับมาอีกไม่น้อย ดังนั้นเมื่อเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตรงหน้า จึงทำให้เยี่ยหลีรู้สึกพอใจและไม่เสียดายเลยแม้แต่น้อย
หนึ่งชั่วยามผ่านไป ชายในชุดดำค่อยๆ กระโดดลงมาจากหุบเขาด้านบน ก่อนกระโดดลงถึงพื้นด้วยความทุลักทุเล ฉินเฟิงหันมอง เป็นคนขององครักษ์ลับ ในใจส่งเสียงเหอะๆ อย่างดูแคลน หากก่อนหน้านี้พระชายามิได้ปลดค่ายกลออกก่อน เจ้านั่นคงถูกยินจนพรุนไปแล้ว แต่เขาก็เข้าใจดี หากพระชายามิได้เอ่ยเตือนเขาก่อน สภาพเขาก็คงไม่ได้ดีไปกว่าเจ้านั่นเท่าไรนัก
“ข้าน้ององครักษ์ลับสิบเจ็ด คารวะพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีพยักหน้า เป็นการบอกให้ไปนั่งพักได้ ครู่หนึ่งต่อมา มีอีกคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น ก็ยังเป็นคนขององครักษ์ลับ จากนั้นจึงเป็นหน่วยเฮยอวิ๋นฉี ต่อมาถึงได้เป็นคนของกองทัพตระกูลม่อ
ฉินเฟิงรับรู้ข้อแตกต่างระหว่างพวกขาได้อย่างรวดเร็ว องครักษ์ลับกับกองทัพตระกูลม่อต่างเดินทางเพียงลำพังและมาถึงเพียงลำพัง แต่เฮยอวิ๋นฉีกลับเดินทางกันเป็นกลุ่ม ดังนั้นทุกครั้งจึงมากันทีละสี่ห้าคน ถึงแม้พวกเขาจะไม่รวดเร็วเท่าองครักษ์ลับหรือกองทัพตระกูลม่อ แต่พวกเขาเป็นกลุ่มที่มาถึงมากที่สุด
หลังจากผ่านไปสองชั่วยาม เยี่ยหลีปรบมือเป็นสัญญาณให้ทุกคนลุกขึ้น
“คารวะคุณชาย”
เยี่ยหลีพยักหน้าพร้อมมองสำรวจคนตรงหน้า ทั้งหมดมีเพียงหกสิบสามนายเท่านั้น เป็นกองทัพตระกูลม่อยี่สิบแปดนาย เฮยอวิ๋นฉียี่สิบนาย องครักษ์ลับสิบห้านาย “คละหน่วยกันเสีย ข้าต้องการให้คนทางซ้ายและทางขวามือของพวกเจ้าไม่ใช่คนจากกองทัพเดียวกัน”
ถึงแม้คนเหล่านี้จะไม่เข้าใจจุดประสงค์ของเยี่ยหลี แต่ทุกคนต่างปฏิบัติตามคำสั่งด้วยดี ยืนเรียงแถวกันใหม่อย่างรวดเร็ว
เยี่ยหลีพยักหน้าด้วยความพอใจ ในที่สุดก็ดูเป็นรูปเป็นร่างขึ้น นางหันไปชี้เรือนไม้ทางด้านหลัง “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าจะต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เป็นเวลาสามเดือน คนที่ผ่านบททดสอบสุดท้ายได้จะได้อยู่ต่อ คนอื่นๆ ที่เหลือกลับไปอยู่หน่วยเดิมของตนเอง ข้าจะแนะนำให้พวกเจ้ารู้จักกับ…ผู้ฝึกสอน!”
เยี่ยหลีปรบมือเบาๆ บุรุษแปดคนบ้างสูงบ้างเตี้ยบ้างหนุ่มบ้างแก่เดินมาหยุดตรงหน้าเยี่ยหลี ก่อนเอ่ยพร้อมกันว่า “คุณชาย”
ฉินเฟิงที่ยืนอยู่ข้างเยี่ยหลีหางตากระตุกขึ้นโดยไม่รู้ตัว คนเหล่านี้ถึงแม้จะดูไม่ออกว่าเป็นผู้ใดมาจากที่ใด แต่ทุกคนต่างมีรังสีแห่งความเก่งกาจแผ่ออกมา ทุกคนล้วนเป็นยอดฝีมือของยอดฝีมือ