องครักษ์ลับสองรู้จักยอดฝีมือด้านการสอบสวนอยู่หลายคน อย่างคุณชายเจ้าเสน่ห์ที่แสนสง่างามอย่างคุณชายสามตระกูลเฟิ่ง เฟิ่งจือเหยา หรือหัวหน้าองครักษ์ลับที่รับหน้าที่ฝึกปรือพวกเขา หรือคนที่เข้มงวดและเคร่งขรึมแต่จิตใจดีอย่างท่านอาม่อ หัวหน้าพ่อบ้านประจำตำหนักติ้งอ๋อง แต่องครักษ์ลับสองมิเคยรู้มาก่อนเลยว่า พระชายาติ้งอ๋อง นายของตนที่ดูอ่อนหวานนั้นก็เป็นยอดฝีมือในด้านนี้ด้วยเช่นกัน หลายครั้งที่พวกเขาทั้งสี่คนอดนึกคาดเดาในใจมิได้ว่า บ้านตระกูลเยี่ยนั้นรังแกพระชายามากน้อยเพียงใด ถึงได้ทำให้คุณหนูที่เกิดในชนชั้นสูงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้
การจะพาผู้บุกรุกที่โชคร้ายออกจากตำหนักองค์หญิงนั้นจำเป็นต้องใช้ความพยายามพอสมควร การจะพาตัวคนคนหนึ่งออกไปจากตำหนักองค์หญิงที่มีการวางกำลังเวรยามอย่างแน่หนานั้น สิ่งที่พวกเขาต้องเสียไปอาจไม่สามารถเทียบได้กับสิ่งที่พวกเขาได้รับตอบกลับมา ดังนั้นองครักษ์ลับสองจึงไม่อยากรอให้ถึงวันพรุ่งนี้ เขาเตรียมที่จะง้างปากผู้บุกรุกที่โชคร้ายนั้นทันที พื้นที่ของเรือนแขกนั้นไม่เล็กนัก และห้องด้านในที่เยี่ยหลีพักอยู่ก็เป็นห้องที่อยู่ด้านในสุด ดังนั้นหากพวกเขาไม่ส่งเสียงดัง ต่อให้ด้านนอกบริเวณเรือนมีคนคอยจับตาดูอยู่ก็ไม่มีทางได้ยินความเคลื่อนไหวใดๆ อย่างแน่นอน และแน่นอนว่าองครักษ์ลับที่ซ่อนตัวอยู่ในตำหนักองค์หญิงก็ไม่มีทางให้ผู้ใดที่ไม่ควรเข้าใกล้เรือนแขกได้อย่างแน่นอน ผู้บุกรุกที่โชคร้ายผู้นั้นถูกกรอกชาสมุนไพรที่ผสมยาสลายกล้ามเนื้อลงไป ต่อให้อยากร้องก็คงร้องไม่ออกอยู่ดี
ดังนั้นในห้องที่ตกแต่งอย่างค่อนข้างวิจิตรงดงามนั้นจึงมีภาพที่ค่อนข้างแปลกประหลาดเกิดขึ้น บนฟูกด้านหนึ่งมีสาวใช้หนานเจียงที่สลบไสลไม่ได้สตินอนอยู่ ข้างโต๊ะมีหญิงสาวรูปงามคนหนึ่งนั่งวาดๆ เขียนๆ อยู่ใต้โคมไฟ ห่างไปไม่กี่ก้าวกลับมีคนกำลังทำการทรมานเพื่อเค้นความจริงอยู่อย่างโหดเ**้ยม
องครักษ์ลับสองเคาะกระดูกขาของผู้บุกรุกจนหักด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ผู้บุกรุกคนนั้นสีหน้าขาวซีดเหงื่อไหลไคลย้อยแต่กลับไม่ยอมเปิดปาก ด้วยเพราะสถานที่ไม่อำนวยนัก ทำให้ไม่สามารถใช้วิธีการยุ่งยากและเสียเลือดมากนักได้ ซึ่งนี่ทำให้สีหน้าขององครักษ์ลับสองยิ่งดูแย่ขึ้นไปอีก จนเมื่อเยี่ยหลีจัดการเรื่องของตนเองเสร็จเรียบร้อยแล้วเงยหน้าขึ้นมา องครักษ์ลับสองก็ยังคงไม่สามารถทำให้ผู้บุกรุกคนนั้นเปิดปากพูดสิ่งที่มีประโยชน์ออกมาได้เลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังเกือบทำให้ผู้บุกรุกฉวยโอกาสกัดลิ้นฆ่าตนเองตายได้อีกด้วย
“ไม่สำเร็จหรือ ต้องให้ช่วยหรือไม่” เยี่ยหลีลุกยืนขึ้นพร้อมเอ่ยถาม
มุมปากองครักษ์ลับสองกระตุกเล็กน้อย แล้วส่ายหน้า “เรื่องเช่นนี้ไม่รบกวนคุณหนูจะดีกว่าขอรับ”
“ไม่เป็นไร ทำเช่นนั้นต่อให้หักขาเขาอีกข้างก็คงไม่ยอมพูดอยู่ดี”
“เช่นนั้นข้าน้อยจะหักกระดูกเขาให้ทั่วร่าง” องครักษ์ลับสองจ้องหน้าผู้บุกรุกด้วยสายตาเย็นเยียบ
เยี่ยหลีส่ายหน้า “เขาคงตายตั้งแต่เจ้าหักกระดูกเขาได้ครึ่งร่างแล้ว”
“คุณหนูมีความคิดเช่นไรหรือไม่ขอรับ”
เยี่ยหลีเดินเข้าไปด้วยท่าทีสบายๆ คุกเข่าลงยิ้มให้ผู้บุกรุกที่อยู่ที่พื้น พร้อมเอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้าคงฟังภาษาจงหยวนออกกระมัง เจ้าวางใจเถิดข้าจะไม่รุนแรงเช่นเขาหรอก” ผู้บุกรุกจ้องมองหญิงสาวบอบบางที่ยิ้มให้ตนอย่างใจดีด้วยความระมัดระวัง สัญชาตญาณของผู้บุกรุกบอกเขาว่า หญิงสาวที่ดูน่ารักบอบบางตรงหน้านี้ต่างหากที่เป็นคนที่อันตรายจริงๆ
เยี่ยหลีระบายยิ้มเต็มใบหน้า มองผู้บุกรุกที่จ้องมองตนด้วยความระมัดระวัง แล้วจึงเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าจะไม่หักกระดูกเจ้าอย่างที่เขาทำหรอก ข้าคิดว่า…ข้าจะเอากระดูกของเจ้าออกมาให้หมด เริ่มจาก…นิ้วมือก่อนก็แล้วกัน” นิ้วเรียวเล็กค่อยๆ ยกมือซ้ายของผู้บุกรุกขึ้น เกิดเสียงดังเป๊าะ ข้อนิ้วข้อหนึ่งของมือซ้ายก็บิดเบี้ยวขึ้นทันที เยี่ยหลีเลื่อนต่อลงไปยังด้านล่าง เกิดเสียงดังขึ้นเบาๆ อีกทีหนึ่ง แล้วนิ้วชี้ทั้งนิ้วก็บิดเบี้ยวเสียรูปไปทันที ผู้บุกรุกถูกหักกระดูกกรามทิ้งไปแล้วจึงทำไม่ได้แม้แต่จะร้องออกมา ทำได้เพียงส่งเสียงอา อา ออกมาเท่านั้น
เยี่ยหลีมองเขา “เจ้าอยากพูดเมื่อไรก็พยักหน้าแล้วกัน แต่ว่า…เจ้าอย่าได้รอจนข้าบิดกระดูกเจ้าทั้งตัวแล้วค่อยพยักหน้าล่ะ หากถึงตอนนั้นคงสายเกินไปแล้ว”
ป๊อก…
เยี่ยหลีสีหน้าราบเรียบ แต่มือกลับขยับไปเรื่อยๆ และด้วยสีหน้าที่ราบเรียบนี่เองกลับน่ากลัวเสียยิ่งกว่าสีหน้าข่มขู่และเคร่งขรึมขององครักษ์ลับสองเสียอีก
จนเมื่อเยี่ยหลีกำลังจะย้ายไปจัดการกับมือข้างขวาของผู้บุกรุกนั้นเอง ในที่สุดผู้บุกรุกที่ใบหน้าเขียวคล้ำและหายใจรวยรินเต็มทีก็ยอมพยักหน้าอย่างยากลำบาก เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้น ปรายตามององครักษ์ลับสองทีหนึ่ง แล้วพูดว่า “ยังคิดว่าเป็นพวกกระดูกแข็งเสียอีก เท่านี้เองหรือ”
องครักษ์ลับสองปากเหงื่อบนหน้าผากเงียบๆ เขาเองก็รู้สึกว่าผู้บุกรุกนี้ก็ไม่ได้เรื่องไปเสียหน่อย แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าความน่ากลัวของนายตนนั้นมิใช่ฝีมือในการทรมานคน แต่เป็นความนิ่งสงบต่างหากที่ทำให้คนนึกกลัว หากเปลี่ยนเป็นเขา เขาเองก็คงนึกกลัวเช่นเดียวกัน
“ดีมาก แต่เจ้าอย่าได้คิดหลอกข้าเล่นเชียวนะ มิเช่นนั้น…ผลที่ตามมาจะทำให้เจ้าต้องรู้สึกเสียใจที่ได้เกิดมาบนโลกนี้” เยี่ยหลีเอ่ยเตือนเขาด้วยความจริงใจ
เยี่ยหลีพยักหน้าด้วยความพอใจ “ดีมาก เช่นนั้นบอกข้ามาว่านายของเจ้าคือผู้ใด” พร้อมกับโบกมือส่งสัญญาณให้จับกระดูกกรามเขากลับเข้าที่เดิม แล้วเอ่ยถามขึ้น
ดวงตาของผู้บุกรุกฉายแววเกรงกลัว มองหน้าเยี่ยหลีพร้อมขยับปาก แต่ยังไม่พูดสิ่งใดออกมา
เยี่ยหลีขมวดคิ้วเรียวคิดเล็กน้อย “หากเจ้าเป็นห่วงความปลอดภัยในชีวิตของเจ้า ข้าสามารถรับประกันความปลอดภัยให้เจ้าได้ และเมื่อข้าเสร็จเรื่องที่หนานเจียงแล้ว ยังจะให้เงินเจ้าก้อนหนึ่งเพื่อให้เจ้าเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามเพื่อใช้ชีวิตใหม่ได้”
ผู้บุกรุกดวงตาเป็นประกาย สีหน้าดูมีความลังเล เยี่ยหลีเห็นสีหน้าเขาอย่างชัดเจน รอยยิ้มบนใบหน้าของนางจึงยิ่งดูจริงใจขึ้น “ข้อมูลของเจ้ามีความสำคัญกับข้ามาก ดังนั้น…ขอเพียงข้อมูลที่เจ้าให้ข้าเป็นความจริง ข้ารับประกันว่าจะทำตามที่รับปากไว้ก่อนหน้านี้อย่างแน่นอน เพียงแต่ ข้าว่าเจ้าคงรู้ดี คนที่รู้ข้อมูลมิได้มีแต่เจ้าเพียงคนเดียว เจ้าไม่พูดก็ใช่ว่าคนอื่นจะไม่พูด ถึงตอนนั้น…ขอโทษด้วย ข้อคงทำได้เพียง…” เมื่อเห็นสีหน้าตื่นกลัวของผู้บุกรุก เยี่ยหลีจึงยิ้ม “ไม่หรอก ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า ตอนที่ข้าเดินทางมาหนานเจียงนี้ได้ผ่านหุบเขาหุบเขาหนึ่ง ด้านล่างมีบอกไม้สีแดงบานอยู่เต็มไปหมด ใต้ดอกไม้ทุกดอกยังมีงูอยู่อย่างละดอกด้วย ตอนนั้นข้าคิดว่า งูจำนวนมากเช่นนั้นพวกมันต้องกินอันใดถึงจะโตได้นะ เจ้าล่ะคิดว่าอย่างไร…”
“หุบ…หุบเขาอสรพิษ…ไม่…” มิได้มีเพียงคนจงหยวนที่เกรงกลัวสถานที่อย่างหุบเขาอสรพิษ คนหนานเจียงไม่กลัวงูก็จริง แต่นอกจากคนที่สามารถควบคุมงูได้แล้ว ไม่มีใครไม่กลัวงูจำนวนเป็นพันเป็นหมื่นตัวที่มิได้อยู่ในการควบคุม
“เช่นนั้น…คำตอบของเจ้าคือ”
“ข้าพูด…พวกเจ้าอยากถามสิ่งใด”
เยี่ยหลีหันหน้าไปยักคิ้วให้องครักษ์ลับสองด้วยความพอใจ
อันที่จริงข้อมูลที่ได้จากผู้บุกรุกนั้นมีไม่มากเท่าไรนัก เพราะถึงอย่างไรคนที่ถูกส่งมาให้ทำหน้าที่เป็นผู้ก่อกวนก็ไม่มีทางเป็นคนที่มีความสำคัญอันใดอยู่แล้ว เพียงแต่อย่างน้อย การคาดเดาของเยี่ยหลีก็ได้รับการยืนยันไปแล้วส่วนหนึ่ง ทั้งยังได้รู้ถึงเป้าหมายของการที่สวีชิงเฉินหายตัวไปอย่างแน่ชัด เพียงแต่ยังคงไม่ทราบถึงตำแหน่งที่สวีชิงเฉินอยู่ในยามนี้เท่านั้น แต่ในเมื่อมั่นใจแล้วว่าตอนนี้สวีชิงเฉินยังไม่มีอันตรายถึงชีวิต ความเป็นกังวลของเยี่ยหลีก็ปล่อยวางลงได้ในที่สุด
“จวินเหวย…จวินเหวย…”
บนถนนที่เต็มไปด้วยเสียงจ๊อกแจ๊กจอแจ มีเสียงตะโกนด้วยความดีใจดังขึ้น คนที่เดินไปเดินมาต่างหันมองตามเสียง ก็เห็นเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาในชุดสีขาวอย่างชาวจงหยวนกำลังกวักมือเรียกชายหนุ่มที่อยู่ห่างไปไม่ไกลด้วยสีหน้ายินดี
เยี่ยหลีหันหน้าไปมอง เมื่อเห็นชายหนุ่มในชุดสีขาวที่กำลังรีบวิ่งมายังตนก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา ก่อนระบายยิ้มบนใบหน้าพร้อมพูดว่า “พี่หาน ไม่ได้เจอท่านหลายวันเลยสบายดีหรือไม่”
ดวงตามหาเสน่ห์ของหานหมิงซีเลิกขึ้นมองเยี่ยหลีด้วยสีหน้าน้อยอกน้อยใจ “จวินเหวย คนเขาติดตามเดินทางมาหนานจ้าวกับเจ้าเป็นพันพันลี้ เจ้ากลับทิ้งเขาไม่สนใจใยดี เจ้าใจร้ายยิ่งนัก…”
คนเขา…เยี่ยหลีถึงกับย่นคอโดยไม่รู้ตัว คนที่เดินผ่านไปมา ถึงแม้จะฟังไม่ออกว่าพวกเขากำลังพูดสิ่งใดกัน แต่เมื่อมองจากท่าทางและน้ำเสียงแล้ว จึงมองพวกเขาด้วยสายตาประหลาดๆ โดยไม่รู้ตัว
“พี่หาน!” เยี่ยหลีอดเอามือก่ายหน้าผากไม่ได้ พยายามควบคุมอารมณ์ของตนเอง จึงยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “พี่หานนอนพอแล้วหรือ ช่างหาได้ยากนัก”
หานหมิงซีไม่รู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย ระบายยิ้มกับคนตรงหน้าแล้วพูดว่า “ที่ไหนกัน คนเขาตื่นตั้งนานแล้ว แล้วยังออกไปเดินเที่ยวทั้งนอกเมืองและในเมืองเสียรอบหนึ่งแล้วด้วย แต่ไม่ยักเจอจวินเหวยเลย จวินเหวยมีธุระอันใดก็ไม่บอกข้าสักหน่อย ข้าไปทำธุระกับเจ้าด้วยจะไม่ปลอดภัยกว่าหรือ”
เยี่ยหลีกลอกตาใส่เขา “ข้าเพียงออกไปเดินดูให้ทั่วๆ เท่านั้น มิได้ออกไปบุกป่าฝ่าดงอันใด”
หานหมิงซียักไหล่ พูดต่ออย่างไม่ใส่ใจว่า “ต่อให้จวินเหวยไปบุกป่าฝ่าดงไปจริง ข้าก็จะไปกับเจ้าด้วย” พูดจบยังได้กะพริบตาปริบๆ ใส่เยี่ยหลี นัยน์ตาสื่อความหมายว่า ดูสิว่าข้าดีกับเจ้าเพียงใด ออกมาอย่างชัดเจน
เยี่ยหลีขมวดคิ้ว นางไม่คิดเลยว่าจะพบเข้ากับหานหมิงซี แต่ตอนนี้หากพาหานหมิงซีไปไหนมาไหนด้วยก็ไม่สะดวกเอามากๆ แต่หากไม่พาเขาไปด้วย ด้วยนิสัยของหานหมิงซีแล้ว นางไม่รู้จริงๆ ว่าเขาจะให้เทียนอี้เก๋อทำให้หนานจ้าวต้องวุ่นวายเพียงใด เยี่ยหลีก้มหน้าลงคิดพักหนึ่ง แล้วพูดขึ้นว่า “พี่หาน พวกเราเปลี่ยนที่คุยกันเถิด”
เมื่อหาโรงน้ำชาจนเข้ามานั่งในห้องส่วนตัวแล้ว เยี่ยหลีถึงได้พูดขึ้นว่า “พี่หาน ข้ามีเรื่องต้องจัดการเล็กน้อย หากท่านติดตามไปด้วยเกรงว่าจะไม่สะดวกนัก”
หานหมิงซีโน้มตัวลงบนโต๊ะแล้วจ้องหน้าเยี่ยหลีด้วยความไม่พอใจ “เจ้า…ยามที่เจ้าต้องการข่าวสารจากเทียนอี้เก๋อของข้า เหตุใดจึงไม่เคยบอกว่าไม่สะดวก ยามนี้เจ้าคิดที่จะทิ้งข้า เจ้าได้ข้าแล้วก็ทิ้ง!”