คณะของเยี่ยหลีทั้งสี่คนรีบเร่งเดินทาง ไม่ถึงเจ็ดวันก็เดินทางถึงเมืองหลวงของหนานจ้าว พอเดินทางมาถึงเมืองหลวง บัณฑิตขี้โรคก็พาตัวนายท่านเหลียงแยกออกไปอย่างไม่ลังเล ทำให้หานหมิงซีโกรธจนอดที่จะก่นด่าออกมาไม่ได้ “เขาหมายความว่าอย่างไร พอข้ามแม่น้ำได้ก็รื้อสะพานทิ้งอย่างนั้นหรือ”
เยี่ยหลียิ้มปรายตามองเขา “ต่อให้เขาข้ามแม่น้ำได้แล้วรื้อสะพานทิ้งจริง แล้วท่านจะทำเช่นไรได้” ในหนานจ้าวมีคนของเทียนอี้เก๋อ สำนักเยี่ยนอ๋องเองก็มีคนอยู่ที่นี่เช่นกัน เทียนอี้เก๋อเป็นสำนักข่าว ส่วนสำนักเยี่ยนอ๋องเป็นสำนักแห่งนักฆ่า ต่อให้พวกเขาไม่พอใจแล้วอย่างไร ใครก็ทำอันใดบัณฑิตขี้โรคไม่ได้
หานหมิงซีกอดอกมองนาง “เจ้ามิได้อยากได้ยาอายุวัฒนะหรือยาที่ชุบชีวิตคนตายอะไรนั่นหรือ ปล่อยเขาไปเช่นนี้ เจ้าคิดว่าเขาจะยอมเอาของมาส่งให้เจ้าแต่โดยดีอย่างนั้นหรือ”
เยี่ยหลียิ้ม “หากท่านดื้อดึงจะไปกับเขา ก็ไม่เห็นว่าเขาจะเอาให้ท่านแต่โดยดีเช่นกันนี่ เขาไม่ให้ข้าแล้วข้าไปหาเขาเองมิได้หรือ” ที่นางมาที่หนานเจียงมิได้มาเพื่อบัณฑิตขี้โรคกับดอกปี้ลั่วของเขาอยู่แล้ว ไม่มีทางที่จะติดตามเขาไปเรื่อยๆ ได้ เพียงแต่…เรื่องเช่นนี้ไม่จำเป็นที่จะต้องไปทำด้วยตนเองเสียหน่อย
เมื่อเข้ามายังเมืองหลวงของแคว้นหนานจ้าว หานหมิงซีก็ลากเยี่ยหลีไปยังภัตตาคารที่ดีที่สุดในเมือง เพื่อปลอบโยนตนเองที่ต้องลำบากตรากตรำมาอยู่หลายวันก่อนหน้านี้ เมื่อสั่งอาหารชั้นเลิศของหนานเจียงมื้อใหญ่มากินอย่างอิ่มหนำสำราญแล้ว เขาก็กลับห้องไปพักผ่อน ทั้งยังสั่งไว้ว่าภายในสองวันนี้ นอกเสียจากว่าโรงเตี๊ยมจะไฟไหม้แล้ว ใครก็อย่าได้ไปรบกวนเขา แล้วจึงเดินอย่างสบายอารมณ์ขึ้นห้องพักไปทิ้งให้เยี่ยหลีและองครักษ์ลับสามไว้สองคน
“คุณชายหานกับคุณชายหมิงเย่ว์ช่างไม่เหมือนกันเอาเสียเลย” องครักษ์ลับสามถอนหายใจอย่างน้อยครั้งนักจะได้เห็น
เยี่ยหลีมองเขายิ้มๆ “เจ้าคิดว่าเขาจะขึ้นไปนอนจริงๆ หรือ ข้าพนันว่าอย่างมากเขาก็หลับได้ถึงเที่ยงคืนคืนนี้เท่านั้น” แต่ตอนนี้ก็เริ่มตกดึกแล้ว องครักษ์ลับสามขมวดคิ้ว มิได้พูดอันใด
เยี่ยหลีโบกพัดในมือไปมาอย่างอารมณ์ดี “ไปกันเถิด ออกไปเดินเล่นดูบรรยากาศยามค่ำคืนของหนานจ้าวกัน”
เมื่อเทียบกับเมืองหลวงต้าฉู่ที่กว้างขวางแล้ว เมืองหลวงของหนานจ้าวนั้นเล็กกว่ามาก และเจริญรุ่งเรืองไม่เท่าเมืองหลวงต้าฉู่ ผู้คนตามท้องถนนแต่งกายอย่างคนหนานเจียง ส่วนพวกเยี่ยหลีทั้งสองคนแต่งกายอย่างคนจงหยวนทั้งยังมีท่าทางไม่เหมือนคนทั่วไป ย่อมดึงดูดสายตาผู้คนได้มาก แต่เยี่ยหลีไม่มีความสนใจในเสื้อผ้าและเครื่องประดับอย่างทางหนานเจียง หากไม่จำเป็นจริงๆ ก็ไม่คิดที่จะเปลี่ยนเครื่องแต่งกายของตนเอง
“คุณชาย” มีน้ำเสียงยินดีดังขึ้นเบาๆ ที่ด้านหลัง เยี่ยหลีและองครักษ์ลับสามหันไปมองพร้อมกันก็เห็นองครักษ์ลับสองที่ไม่ได้พบหน้ามานาน
เยี่ยหลีประหลาดใจเล็กน้อย ด้วยเพราะนางมิได้คิดจะไปพบพี่ใหญ่ทันทีที่เดินทางถึงหนานจ้าว “เจ้าอยู่ที่นี่ได้อย่างไร พี่ใหญ่ก็อยู่ที่นี่หรือ”
องครักษ์ลับสองสีหน้าอิดโรย พูดแทบไม่มีเสียงว่า ”ข้าน้อยทำหน้าที่ที่คุณชายมอบหมายบกพร่อง คุณชายใหญ่สวี…คุณชายใหญ่สวีหายตัวไปแล้วขอรับ”
“อะไรนะ” เยี่ยหลีอึ้งไป “เกิดเรื่องขึ้นตั้งแต่เมื่อใด”
องครักษ์ลับสองตอบเสียงเบาว่า “กว่าครึ่งเดือนแล้วขอรับ คุณาชายสวีหายตัวไปก่อนที่ข้าน้อยจะเดินทางมาถึงหนานจ้าวได้สองวันขอรับ”
“นานเพียงนั้นเชียวหรือ! มีผู้ใดรู้เรื่องนี้บ้าง” เยี่ยหลีขมวดคิ้วถาม
องครักษ์ลับสองตอบเสียงเบาว่า “ได้ยินว่าก่อนหายตัวไปคุณชายชิงเฉินสั่งไว้ว่าเขาจะกลับมาภายในห้าวันขอรับ ช่วงแรกทุกคนจึงมิได้สงสัยอันใด จนเช้าของวันที่หกแล้วยังไม่เห็นคุณชายชิงเฉินกลับมา ถึงได้เริ่มคิดว่าเรื่องชักไม่ชอบมาพากล ข้าน้อยกับองครักษ์ลับที่อยู่หนานเจียงได้พยายามลอบค้นหากันแล้ว เพียงแต่มิได้ข่าวคราวใดๆ เลย หลายวันก่อนหน้านี้ได้ให้คนส่งข่าวไปยังเมืองหลวงแล้ว เพียงแต่คุณชายปกปิดร่องรอยการเดินทางมาโดยตลอดจึงมิได้รับข่าวนี้ขอรับ”
เยี่ยหลีสีหน้านิ่งขรึมไป ความปลอดภัยของสวีชิงเฉินทำให้นางรู้สึกเป็นกังวลอย่างมาก “ก่อนที่พี่ใหญ่จะหายตัวไป เขาอยู่กับผู้ใดบ้าง”
“องค์หญิงอันซี รัชทายาทหญิงแห่งนานจ้าว ที่เป็นพี่สาวขององค์หญิงซีสยา และจะเป็นหนานจ้าวอ๋องคนต่อไปขอรับ องค์หญิงเป็นสหายกับคุณชายชิงเฉิน ตั้งแต่ที่คุณชายชิงเฉินมาถึงหนานเจียง ก็อยู่ที่ตำหนักขององค์หญิงมาโดยตลอดขอรับ” องครักษ์ลับสองตอบ
เยี่ยหลีพยักหน้า เอ่ยสั่งการว่า “ให้คนนำข้อมูลเกี่ยวกับเมืองหลวงของหนานจ้าวส่งมาโดยเร็ว อีกอย่าง ข้าอยากพบองค์หญิงอันซี”
องครักษ์ลับสองพยักหน้า “ข้าน้อยเข้าใจแล้วขอรับ เพียงแต่…คุณชายจะไปเข้าพบองค์หญิงรัชทายาทด้วยฐานะใดขอรับ” ถึงแม้หนานจ้าวจะเป็นเพียงแคว้นเล็กๆ แต่ฐานะองค์หญิงและรัชทายาทหญิงก็มิใช่คนที่คนทั่วไปอยากจะพบก็พบได้
แววตาเยี่ยหลีเปลี่ยนไป นางยิ้มแล้วพูดว่า “คุณหนูสามตระกูลฉู่แห่งอวิ๋นโจว นามฉู่หลิวอวิ๋น คู่หมั้นคู่หมายของคุณชายชิงเฉิน!”
องครักษ์ลับสองและสามสีหน้านิ่งแข็ง รู้สึกปวดหัวไม่น้อย ที่พระชายาทำเช่นนี้เพื่อทำลายชื่อเสียงของตนเองหรือทำลายชื่อเสียงของคุณชายชิงเฉินกันนะ
เยี่ยหลีสีหน้ายังคงเป็นปกติ ส่งยิ้มอย่างแจ่มใสให้กับองครักษ์ที่สีหน้านิ่งแข็งไป “มิเช่นนั้นจะทำอย่างไร จะให้ใช้ฐานะพระชายติ้งอ๋องเดินดุ่มๆ เข้าไปขอพบพี่ใหญ่หรือ เอาล่ะ องครักษ์ลับสอง ช่วงนี้เจ้ามาติดตามข้าก่อนก็แล้วกัน องครักษ์ลับสาม เจ้าลองลอบสืบหาดูว่าในหนานจ้าวนี้มีข่าวเกี่ยวกับพี่ใหญ่อยู่อีกหรือไม่ อีกอย่าง หากหานหมิงซีต้องการพบข้า….”
องครักษ์ลับสามพูดต่อ “ข้าน้อยเข้าใจขอรับ จะมิให้คุณชายหานนึกสงสัยแน่นอนขอรับ”
“ดีแล้ว แต่ก็ไม่ต้องไปสนใจเขามากนัก เพียงแค่พยายามอย่าให้เขามาเข้าใกล้ข้ามากเกินไปก็พอ พวกเราจะกลับกันไปก่อน องครักษ์ลับสองเจ้าเตรียมตัวด้วย พรุ่งนี้เราจะไปเข้าพบองค์หญิงอันซีกันแต่เช้า”
“ขอรับ”
เช้าตรู่วันต่อมา เยี่ยหลีอ่านข่าวสารที่ได้รับมาตลอดทั้งคืน เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู จึงรีบไปเปิดประตูด้วยความตื่นเต้นยินดี เมื่อองครักษ์ลับสามเห็นหญิงสาวที่ยืนแย้มยิ้มอยู่หน้าประตูแล้วก็อดรู้สึกมึนงงไม่ได้ ตลอดทางมานี้เขาเคยชินกับการที่พระชายาแต่งกายเป็นชาย จนเขาเกือบลืมไปแล้วว่าพระชายายังเป็นเพียงเด็กสาวที่อยู่สิบกว่าปีเท่านั้น จะว่าไปตั้งแต่จากเมืองหลวง ความเคยชินในช่วงเวลาไม่ถึงสองเดือนมานี้ลึกซึ้งเสียยิ่งกว่าช่วงเวลาเกือบหนึ่งปีก่อนหน้านี้เสียอีก มายามนี้เมื่อได้เห็นหญิงสาวตรงหน้า อยู่ในชุดที่เหลืองนวลปักลายดอกเหมยสีเขียวอ่อนที่พริ้วไหว ผมยาวสลวยรวบขึ้นเป็นมวยเล็กๆ บนผมมีปิ่นระย้ารูปผีเสื้อสีเงินสี่ตัวที่ปราณีตงดงามเสียบแซมอยู่ หน้าม้าบางๆ ที่ปรกอยู่ตรงหน้าผากยิ่งทำให้ดูงดงามและน่าเอ็นดูมากขึ้น ผีเสื้อสีเงินตัวเล็กๆ ขยับเคลื่อนไหวน้อยๆ ทำให้สาวน้อยผู้นี้ดูฉลาดและสดใสขึ้นหลายส่วน ซึ่งไม่คล้ายคลึงกับพระชายาที่สงบเงียบสง่างามอย่างเวลาที่อยู่ตำหนักติ้งอ๋องในเมืองหลวงสักเท่าไร องครักษ์ลับสามต้องยอมรับว่าศิลปะการตกแต่งของพระชายานั้นมิใช่สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปสามารถทำได้
“จั๋วจิ้ง” เยี่ยหลีเลิกคิ้วมององครักษ์ลับตรงหน้า ที่ไม่รู้กำลังคิดอันใดอยู่
องครักษ์ลับสามเรียกสติกลับมาได้ แล้วจึงเปิดปากพูดด้วยสีหน้าสงบนิ่งว่า “คุณ…คุณหนูคาดเดาไว้ไม่ผิด เมื่อคืนกลางดึก คุณชายหานออกไปจากโรงเตี๊ยมจนตอนนี้ยังไม่กลับมาเลยขอรับ คุณหนูยามนี้…”
เยี่ยหลีโบกมือยิ้ม “ลำบากเจ้าแล้ว กลับห้องไปพักก่อนเถิด ข้าลงไปเองได้”
“ขอรับ”
เยี่ยหลีลงมาด้านล่างด้วยความอารมณ์ดี องครักษ์ลับสองรอนางอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ด้านล่าง เมื่อคืนวานนางกับองครักษ์ลับสองเข้ามาเปิดห้องเพิ่มอีกสองห้อง ซึ่งห้องทั้งสองห้องของนางอยู่ระหว่างห้องขององครักษ์ลับสองและสามพอดี ดังนั้นจึงมิมีผู้ใดรู้ว่าเจ้าของห้องสองห้องนั้นเป็นคนคนเดียวกัน
ตอนนี้พวกเขาเพียงคืนห้องแล้วออกไปก็เป็นอันเรียบร้อย หากต่อไปองหญิงอันซีเกิดนึกอยากสืบเรื่องพวกเขาขึ้นมา ก็จะรู้เพียงว่าพวกเขาเข้าเมืองมาเมื่อวานตอนใกล้ค่ำ แล้วพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้หนึ่งคืนเท่านั้น
เยี่ยหลีพาองครักษ์ลับสองออกไปจากโรงเตี๊ยม แล้วมุ่งตรงไปยังตำหนักองค์หญิงอันซีที่อยู่ห่างจากตำหนักหนานจ้าวอ๋องไม่ไกลทันที
พวกเขารออยู่หน้าตำหนักองค์หญิงพักหนึ่ง คนที่เข้าไปรายงานจึงได้ออกมาเชิญทั้งสองให้เข้าไปด้านใน ลักษณะสิ่งปลูกสร้างของหนานจ้าวกับทางจงหยวนนั้นไม่คล้ายคลึงกันเลยแม้แต่น้อย แต่เมืองหลวงกลับแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย ตำหนักองค์หญิงแห่งนี้เมื่อเทียบกับตำหนักติ้งอ๋องที่มีอาณาบริเวณกว้างขวางใหญ่โตแล้ว ตำหนักนี้เล็กกว่ามาก อาณาบริเวณของที่นี่น่าจะประมาณจวนเจ้ากรมของตระกูลเยี่ยเท่านั้น
สิ่งปลูกสร้างของหนานจ้าวผสมผสานจุดเด่นของหนานเจียงไว้มาก จึงให้ความรู้สึกพิเศษอย่างประหลาด ทั้งสองได้รับเชิญไปยังห้องโถงใหญ่ เมื่อผ่านเข้าประตูไป ก็เห็นว่าในห้องโถงมีหญิงสาวรูปร่างสูงโปร่งในชุดสีฟ้าปักลายดอกไม้นั่งอยู่ ชุดของหญิงสาวมิใช่ชุดแขนกระบอกเล็กตามปกติ แต่เป็นชุดแขนเสื้อรัดตรงข้อมือที่ดูสะอาดเรียบร้อย แขนเสื้อนั้นปักเป็นลวดลายประจำราชวงศ์หนานจ้าว สายคาดเอวสีเงินยิ่งทำให้รูปร่างของนางดูสูงโปร่งขึ้นไปอีก และยิ่งทำให้นางดูคล่องแคล่วทะมัดทะแมงมากอีกด้วย ถึงแม้เมื่อเทียบกับน้องสาวร่วมอุทรของนางที่เป็นหญิงงามอันดับหนึ่งอย่างองค์หญิงซีสยาแล้ว นางดูมิได้งดงามสักเท่าไร แต่ดวงตาคู่งามที่เป็นประกายงดงามนั้นกลับทำให้นางยิ่งดูน่าดึงดูดเป็นพิเศษ
เมื่อเห็นเยี่ยหลีเดินเข้ามา องค์หญิงอันซีก็มองนางด้วยสายตาสำรวจตรวจสอบ เยี่ยหลีขมวดคิ้วเรียว พร้อมเชิดหน้าขึ้นอย่างเย่อหยิ่งเล็กน้อย “เหตุใดท่านจึงไม่เชิญให้พวกเรานั่งลง”
องค์หญิงอันซีขมวดคิ้วมองหน้าเยี่ยหลี “เชิญนั่ง ไม่รู้ว่าคุณหนูท่านนี้มีชื่อว่าอันใดหรือ”
เยี่ยหลีตอบว่า “ข้าชื่อฉู่หลิวอวิ๋น ข้ามาหาพี่ชิงเฉิน”
“พี่ชิงเฉินหรือ” สายตาขององค์หญิงดูขรึมไปเล็กน้อย ก่อนส่ายหน้า “ขอโทษด้วย ข้าไม่รู้จักพี่ชิงเฉินอันใดนั่น”
“ท่านหลอกข้า!” เยี่ยหลีจ้องหน้านางด้วยความไม่พอใจพร้อมเอ่ยต่อว่า “พี่ชิงเฉินบอกไว้ว่าจะเดินทางมาท่องเที่ยวที่หนานเจียง แล้วจะถือโอกาสมาเยี่ยมสหายท่านหนึ่งด้วย พี่ชิงเฉินเคยบอกไว้ว่าท่านเป็นสหายของเขา เขาจะไม่เคยมาที่นี่ได้อย่างไร ท่านเอาตัวพี่ชิงเฉินไปซ่อนไว้ใช่หรือไม่”
องค์หญิงอันซีมองหญิงสาวหน้าตางดงามตรงหน้าที่มีน้ำตาคลอหน่วย คิ้วเข้มของนางขมวดเข้าหากันยิ่งกว่าเดิม แล้วจึงเอ่ยถามว่า “เจ้าเป็นอันใดกับชิงเฉิน”
“ข้า…ข้าเป็นคู่หมั้นของเขา ฮือๆ…พี่ชิงเฉินบอกว่าขอเวลาเพียงสามเดือน เมื่อกลับไปแล้วจะไปแต่งงานกับข้า แต่ตอนนี้…ฮือๆ เขาจากมานานเช่นนี้แต่ไม่เคยมีจดหมายส่งกลับไปเลย ท่านป้าสวีเองก็เป็นห่วงมาก ฮือๆ…เขาต้องไม่อยากแต่งงานกับหลิวอวิ๋นแล้วเป็นแน่…หากข้าหาพี่ชิงเฉินไม่พบ ข้าก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว!”
แววตาขององค์หญิงอันซีขรึมลง จ้องหญิงสาวที่ร้องไห้คร่ำควญด้วยความเสียใจตรงหน้าอย่างเคลือบแคลงใจ “เจ้าเป็นคู่หมั้นของชิงเฉินอย่างนั้นหรือ เหตุใดข้าถึงไม่เคยได้ยินเขาพูดถึงเรื่องนี้เลย”
เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้น มองนางด้วยสายตาตัดพ้อ “หญิงสาวจงหยวนอย่างพวกเราให้ความสำคัญกับชื่อเสียงก่อนการแต่งงานเป็นอย่างมาก พี่ชิงเฉินจะพูดถึงข้าต่อหน้าสหายได้อย่างไร อ้อ นี่เป็นของที่พี่ชิงเฉินให้ข้าไว้เมื่อปีที่แล้ว หากท่านเป็นสหายกับเขาจริงน่าจะเคยเห็นของสิ่งนี้ เขาบอกว่าเขาพกติดตัวมาตลอดหลายปี โชคดีที่มีหยกชิ้นนี้คอยคุ้มครองทำให้หลายปีนี้เดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างปลอดภัย”
องค์หญิงอันซีมองเยี่ยหลีด้วยความสับสน สีหน้าดูวูบไหวเล็กน้อย หยกชิ้นนั้นเป็นของชิงเฉินหรือไม่นั้นนางไม่รู้ แต่ลวดลายของเชือกเส้นเก่าที่มีหยกห้อยอยู่นั้นเป็นแบบและสีที่สวีชิงเฉินมักใช้เป็นประจำจริงๆ แม้แต่เชือกประดับก็ยังเหมือนกับที่สวีชิงเฉินใช้เป็นประจำอีกด้วย
“ขอโทษด้วย คุณหนูฉู่ เมื่อครู่ข้าเสียมารยาทแล้ว เพียงแต่เส้นทางจากทางจงหยวนมาที่หนานเจียงนั้นลำบากนัก คุณหนูฉู่มาที่เมืองหลวงของหนานจ้าวได้อย่างไร” องค์หญิงอันซีนำเครื่องประดับหยกส่งคืนให้นางพร้อมเอ่ยถามเสียงอ่อน
เยี่ยหลีกัดริมฝีปากเบาๆ มององค์หญิงอันซีด้วยความดื้อรั้น “พี่ชิงเฉินมิได้กลับไปนานแล้ว พี่รองบอกว่าพี่ชิงเฉินไม่ต้องการข้าแล้ว ข้า…ข้าอยากพบเขาเพื่อถามให้รู้แน่ ฮือๆ หากเขาไม่ต้องการข้าแล้วจริงๆ…ข้าจะไปตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด!”
องครักษ์ลับสองที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง เมื่อเห็นนายของตนสวมบทบาทสาวน้อยที่หนีออกจากบ้านเพื่อความรักได้อย่างแนบเนียนแล้ว ก็อดนึกชื่นชมไม่ได้
องค์หญิงอันซีดูจะปวดหัวกับแม่นางน้อยที่หัวดื้อและเอาแต่ใจผู้นี้ไม่น้อย นางลังเลเล็กน้อยแล้วได้แต่พูดขึ้นว่า “ก่อนหน้านี้คุณชายชิงเฉินได้เคยพักเป็นแขกอยู่ที่บ้านของข้าจริง เพียงแต่ตอนนี้เขาไม่อยู่แล้ว เช่นนี้ดีหรือไม่ ข้าจะให้คนไปส่งคุณหนูฉู่กลับดินแดนจงหยวนก่อน หากข้าพบคุณชายชิงเฉิน ข้าจะให้เขารีบเขียนจดหมายส่งให้คุณหนูฉู่โดยเร็ว ท่านว่าอย่างไร”
เยี่ยหลีมององค์หญิงอันซีอย่างอึ้งๆ พักหนึ่งจึงได้ร้องไห้ออกมาเสียงดัง พูดพลางเช็ดน้ำตาไปพรางว่า “ข้าแอบพาองครักษ์หนีออกมา หากมิได้พบพี่ชิงเฉินแล้วพาเขากลับไปด้วย ท่านพ่อจะต้องโบยข้าจนขาขาดเป็นแน่ ฮือๆ…ข้าไม่กลับ ข้าจะไปหาพี่ชิงเฉิน”
องค์หญิงอันซีถึงกับก่ายหน้าผาก “เอาล่ะเอาล่ะ…คุณหนูฉู่ เช่นนี้แล้วกัน ท่านพักอยู่ที่ตำหนักของข้าก่อน รอจนคุณชายชิงเฉินกลับมาแล้วพวกท่านค่อยกลับไปพร้อมกันดีหรือไม่”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เยี่ยหลีก็หยุดร้องแล้วเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มทันที “ขอบคุณพี่องค์หญิงมาก ท่านใจดีจริงๆ…”
องค์หญิงอันซีเรียกนางกำนัลให้มาพาเยี่ยหลีไปพักผ่อนยังห้องพักแขก