บัณฑิตขี้โรคผลักประตูออกก็มีลูกธนูหลายดอกพุ่งตรงเข้ามาทันที หานหมิงซีที่อยู่ด้านหลังรีบดึงเขากลับเข้ามา
เยี่ยหลียกขาขึ้นถีบประตู ธนูเหล่านั้นจึงปักเข้าที่ประตูไม้ บัณฑิตขี้โรคจ้องหน้าเยี่ยหลีด้วยความโกรธ เยี่ยหลียิ้มอย่างเป็นมิตรให้กับเขา “นี่เป็นของขวัญขอบคุณที่ท่านหัวหน้าหน่วยสามเชิญให้เข้ามาตายเป็นเพื่อนท่าน”
บัณฑิตขี้โรครู้ว่าตนไม่ถูกนัก จึงได้แต่ส่งเสียงเหอะๆ เบาโดยมิได้พูดอันใด
พลธนูที่อยู่ด้านนอกจ้องมองมาที่ประตูด้วยความระมัดระวัง มีเสียงดังโครมดังขึ้นก่อนที่ประตูไม้นั้นจะถูกเปิดออกพร้อมกับเงาดำเงาหนึ่งที่พุ่งตัวออกมา สวบๆ…ลูกธนูดอกหนึ่งถูกยิงออกมา
ปัง ปัง ! หน้าต่างสองบานที่อยู่ข้างตึกหลังเล็กมีคนพุ่งตัวออกมาด้านละคน มีเสียงสวบๆ ดังขึ้นอีกสองสามครั้ง ก่อนที่พลธนูสามสี่คนนั้นจะรู้สึกเจ็บก่อนค่อยๆ ล้มลง
เยี่ยหลีเดินออกมาจากประตู เหลือบมองห่อผ้าที่ถูกลูกธนูยิงเสียจนพรุนไปหมด กับศพที่นอนกองอยู่ที่พื้นด้วยสายตาที่นิ่งขรึมลง “พวกเรารีบไปกันเถิด หากช้าอีกหน่อยจั๋วจิ้งคงจะเอาไม่อยู่”
ณ ตอนนั้นในค่ายต่างวุ่นวายโกลาหลไปหมด หลายจุดมีไฟลุกโหมขึ้น ดูท่าจั๋วจิ้งคงจุดไฟเผาไปไม่น้อย และคงจุดไฟในจุดที่ไม่ธรรมดาอีกด้วย ห่างไปไม่ไกลมีเสียงนกแปลกๆ ดังลอยมา เยี่ยหลีจึงพาพวกหานหมิงซีมุ่งหน้าไปทางนั้นอย่างไม่ลังเล
ระหว่างทางเมื่อผ่านตาน้ำ บัณฑิตขี้โรคยิ้มเย็นพร้อมหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อที่หน้าอกแล้วโยนลงไป หานหมิงซีมองด้วยตาเป็นประกายแต่มิได้พูดอันใดให้มากความ รีบเร่งฝีเท้าตามเยี่ยหลีที่อยู่ด้านหน้าไป จนเมื่อพวกเขาใกล้ถึงก็เห็นองครักษ์ลับสามถูกล้อมไว้อย่างแน่นหนาแล้ว เห็นได้ชัดว่าดูตึงมือไม่น้อย
เยี่ยหลีกวาดสายตามองไปทางนั้น บุคคลสำคัญในค่ายต่างรวมตัวกันอยู่ที่นี่ มิน่าพวกเขาทางด้านนู้นจึงมีคนคอยจับตาดูอยู่เพียงสิบกว่าคนเท่านั้น เยี่ยหลีนึกถึงของที่ตนหยิบออกมาจากวังใต้ดิน ดูท่าในสายตาของเล่อเจียงแล้ว ของสิ่งนั้นคงมีความสำคัญยิ่งกว่าหานหมิงซีและบัณฑิตขี้โรคอยู่มากโข
“ช่วยออกมาได้สองคน แต่ต้องเสียไปหนึ่งคน ช่างไม่คุ้มกันเอาเสียเลย” เยี่ยหลีได้แต่ขมวดคิ้ว “พี่หาน ท่านไปจับตาเฒ่านั่นไว้ ทำได้หรือไม่” เยี่ยหลีชี้นิ้วไปยังนายท่านเหลียงที่อยู่ท่ามกลางการอารักขาอย่างแน่นหนา พร้อมถามขึ้นเสียงเบา
หานหมิงซีขมวดคิ้ว “เขามีคนล้อมอยู่มากเกินไป อีกอย่าง…ตาเฒ่านั้นก็อ้วนเกินไปด้วย”
บัณฑิตขี้โรคยื่นมือส่งของสองอย่างมาให้ “โปรยสิ่งนี้ไปในอากาศ ส่วนนี่ยัดเข้าปากตาแซ่เหลียงนั่นเสีย”
“อย่างนี้ค่อยคุยกันได้หน่อย” หานหมิงซีรับมาพร้อมพยักหน้า
องครักษ์ลับสามมองคนที่แต่งกายด้วยชุดทางหนานเจียงตรงหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนโบกสะบัดอาวุธในมืออย่างไม่ไว้หน้า
“จั๋วจิ้ง กลั้นหายใจ!” จู่ๆ ก็มีเสียงหานหมิงซีดังขึ้น พร้อมกับเงาดำที่ทะยานขึ้นพุ่งเข้าหากลุ่มคนเหล่านั้น องครักษ์ลับสามกลั้นหายใจไว้ทันที ที่หนานเจียงไม่เหมือนกับแคว้นซีหลิง คนที่เข้าใจภาษาจงหยวนนั้นมีอยู่ไม่มากนัก ดังนั้นเมื่อหานหมิงซีลงมายืนอยู่ที่พื้นจึงมีคนล้มแล้วเป็นจำนวนมาก
องครักษ์ลับสามถือโอกาสหลบหนีออกจากวงล้อม กระโดดขึ้นไปอยู่บนหลังคาฟากหนึ่งอย่างรวดเร็ว หานหมิงซีเข้าถึงตัวนายท่านเหลียงอย่างปลอดภัย เขานอนครวญครางเป็นอัมพาตอยู่กับพื้น หานหมิงซีง้างปากเขาออกแล้วยัดยาเม็ดนั้นเข้าปากไปทันที เขายิ้มเต็มใบหน้า แล้วเอามือตีเข้าที่หน้าเขา “ตาเฒ่าเอ๋ย เจ้าเสร็จล่ะ”
เล่อเจียงอยู่ในเหตุการณ์ด้วยและเป็นคนหนานเจียงเพียงไม่กี่คนที่ไม่ได้ล้มลงไป เขากวาดตามองคนที่ลงไปกองอยู่กับพื้นด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก สีหน้าที่เหลือบมองนายท่านเหลียงที่มองเขาด้วยสายตาอ้อนวอนอย่างขอความช่วยเหลือ ประหนึ่งสายตาที่ใช้มองคู่แค้นและหายนะ “เจ้าคนจงหยวนที่น่ารังเกียจ! เจ้าทำอันใดลงไป!”
หานหมิงซีในยามนี้อารมณ์ดีขึ้นมาก ความหงุดหงิดใจที่สั่งสมมาทั้งวันสลายหายไปกว่าครึ่ง เขายกนายท่านเหลียงขึ้นโยนทิ้งไปทางที่บัณฑิตขี้โรค แล้วจึงหันไปยิ้ม “ท่านหัวหน้าเผ่าหลัวอีปู้ ท่านยังมีหน้ามาถามอีกหรือว่าพวกเราทำอันใดลงไป หรือว่าท่านไม่เคยคิดเลยว่าตนเองได้ทำอันใดลงไปบ้าง”
เล่อเจียงส่งเสียงเหอะ พูดด้วยความดูแคลนว่า “เจ้าคิดว่าแค่พิษกระจอกพวกนี้จะจัดการของหลัวอีปู้ได้หรือ”
หานหมิงซีผานมือออกพร้อมยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “พิษนี้มิใช่ของข้าเสียหน่อย จะจัดการได้หรือไม่เกี่ยวอันใดกับข้าด้วย เจ้าให้คนของเจ้าลุกขึ้นมาสิ”
บัณฑิตขี้โรคลากนายท่านเหลียงที่ตัวอวบอ้วนออกมา ตอนนี้สีหน้าของนายท่านเหลียงเปลี่ยนเป็นสีดำประหนึ่งก้อนหมึก หายใจพะงาบๆ เต็มที เพียงดูก็รู้ว่าจะต้องถูกพิษที่ร้ายแรงเข้าอย่างแน่นอน เล่อเจียงชะงักไปทันที ถึงแม้เขาจะเชี่ยวชาญการใช้ยาพิษและควบคุมงู แต่ยามนี้เขากลับดูไม่ออกว่านายท่านเหลียงโดนยาพิษอันใดเข้าไป แต่อีตาพ่อค้าวาณิชที่น่ารังเกียจคนนี้ยังจะตายไม่ได้ “พวกเจ้าต้องการอันใด”
บัณฑิตขี้โรคพูดขึ้นเรียบๆ ว่า “ปล่อยพวกเราไป แล้วอย่าให้ใครตามมา มิเช่นนั้น…ข้าจะฆ่าเขาทิ้ง!”
เล่อเจียงนิ่งคิดไปพักหนึ่ง ก่อนพยักหน้า “ได้ เพียงแต่…พวกเจ้าต้องเอาของที่หยิบไปจากวังใต้ดินมาคืนข้าเดียวนี้!” เขาชี้นิ้วไปทางเยี่ยหลีและองครักษ์ลับสามพร้อมส่งสายตาอำมหิตไปให้
เยี่ยหลีกะพริบตาปริบๆ พร้อมยิ้มอย่างใสซื่อ “มิใช่ของดีอันใดเสียหน่อย คุ้มกันหรือ คืนให้เจ้าก็ได้ ใครจะไปรู้ว่าที่เส้นที่เขียนไว้บิดๆ เบี้ยวๆ นั้น เขียนไว้เล่นสนุกอันใด”
เล่อเจียงจ้องหน้าเยี่ยหลีด้วยความสงสัย “อ่านไม่ออกแล้วเหตุใดเจ้าจึงต้องขโมยมันไป”
เยี่ยหลียิ้ม “หากเป็นของที่สำคัญเช่นนั้นข้าแนะนำว่าอีกหน่อยท่านอย่าได้ตกแต่งให้มันหรูหราถึงเพียงนั้นเลย นั่นมิได้ทำเพื่อให้คนขโมยไปหรอกหรือ ของที่ข้าชื่นชอบเป็นที่สุดก็คือของเล่นที่หรูหราพวกนั้นนี่แหละ เอ้า ของเล่นที่ไร้ประโยชน์อันนี้ข้าคืนให้เจ้า” พูดจบ เยี่ยหลีก็หยิบของสิ่งหนึ่งมาโยนออกไป
เล่อเจียงรับมาไว้กับมือ เป็นกล่องไม้สีเข้มกล่องหนึ่ง บนฝากล่องสลักเป็นลวดลายบิดเบี้ยวไม่รู้ว่าเป็นตัวหนังสือหรือเป็นรูปภาพ มองออกว่าเดิมทีกล่องนี้น่าจะเคยประดับตกแต่งด้วยบางสิ่งบางอย่างมาก่อน แต่ตอนนี้ด้านบนดูเป็นหลุมเป็นบ่อไม่เรียบ ของที่เคยประดับตกแต่งอยู่ด้านบนดูจะถูกคนดึงออกไปแล้ว
เล่อเจียงตรวจดูฟันเฟืองของกลอนบนกล่อง เมื่อไม่เห็นว่ามีร่องรอยของการถูกเปิดออก จึงนึกโล่งอกขึ้นมาก สีหน้าก็ดูดีขึ้นไม่น้อย เขาหันมองเยี่ยหลีที่พลิกของเล่นที่มีประกายสีทองอยู่ในมือด้วยสีหน้าอวดดีพร้อมยิ้มแล้วกล่าวว่า “แล้วยังมีของอย่างอื่นอีกที่ข้าหยิบมาจากบนโต๊ะ ข้าเชื่อว่าท่านหัวหน้าเผ่าเล่อเจียงคงไม่ใจแคบขนาดจะไม่ให้ข้าเก็บไว้เป็นที่ระลึกเลยสักอันกระมัง”
เล่อเจียงส่งเสียงเหอะ “พวกเจ้าไปได้แล้ว” ยังมีของอันใดจากวังใต้ดินที่หายไปอีกบ้างเขาย่อมรู้ดี แต่ทั้งหมดล้วนมิใช่ของที่มีความสำคัญอันใด ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์จะมานั่งสืบหาเอาความกับพวกเขาแล้ว
บัณฑิตขี้โรคที่แบกนายท่านเหลียงเดินรั้งท้ายมา หันไปเอ่ยเตือนเขาว่า “อย่าได้เล่นลูกไม้เชียว ข้ารับประกันว่าจะทำให้เขาตายจนไม่เหลือแม้แต่เถ้ากระดูกเลยทีเดียว”
เยี่ยหลีและองครักษ์ลับสามเตรียมม้าไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อออกจากค่ายมาได้พวกเขาก็รีบขึ้นม้าบังคับให้ออกวิ่งไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือโดยทันที
จนฟ้าเกือบสว่างพวกเขาจึงได้เห็นถนนสายหลัก แล้วทั้งหมดก็ต่างถอนหายใจออกมา
หานหมิงซีหัวเราะ “วานนี้ช่างเป็นวันที่มีสีสันยิ่งนัก โชคดีจริงๆ ที่มีจวินเหวย พวกเราพักกันที่นี่เสียหน่อยเถิด เมืองถัดไปอยู่ห่างจากที่นี่เพียงสิบลี้เท่านั้น พวกเราพักกันที่นั่นสักวันก็ยังได้ หากสามารถเดินทางได้อย่างราบรื่น อย่างมากไม่เกินเจ็ดแปดวัน พวกเราก็จะถึงเมืองหลวงของแคว้นหนานจ้าวแล้ว”
บัณฑิตขี้โรคเอ่ยคัดค้านขึ้นว่า “พวกเราจะเดินทางอ้อมเมืองตรงเข้าเมืองหลวงของหนานจ้าว”
“ท่านไม่เหนื่อยแต่พวกข้าเหนื่อยแล้วนี่” หานหมิงซีพูดด้วยความไม่พอใจ
บัณฑิตขี้โรคพูดด้วยสายตาเย็นเยียบ “พวกเราพาเขาไปด้วยเจ้าคิดว่าเราจะเข้าพักในโรงเตี๊ยมได้หรือ อีกอย่าง เจ้าคิดว่าเล่อเจียงจะไม่ส่งคนมาตามพวกเราจริงๆ หรือ”
หานหมิงซีย่นจมูก “ใครเป็นพวกเรากับเจ้ากัน คนที่เจ้าต้องการหาตัวก็พบแล้ว เจ้าไปถามเขาเองแล้วกันว่าของอยู่ที่ใด พวกเราแยกทางกันเดินทางใครทางมันก็แล้วกัน เมื่อวานพวกเรายังถูกเจ้าทำร้ายไม่พอหรือ จวินเหวย จริงหรือไม่”
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ เล่นเครื่องประดับฝังอัญมณีอย่างประณีตงดงามในมือ “ก็ไม่เท่าไร เพียงแต่…หากพวกเราแยกกันเดินทางแล้ว ท่านหัวหน้าหน่วยสามจะให้ค่าตอบแทนที่รับปากกับข้าไว้หรือไม่” บัณฑิตขี้โรคตาเป็นประกายขึ้นทันที “ดังนั้นดีที่สุดก็คือไปทางเดียวกันมิใช่หรือ เช่นนั้นคุณชายฉู่จะได้วางใจ”
เยี่ยหลียิ้ม “ถึงอย่างไรก็ผ่านเรื่องราวมาด้วยกันตั้งมากมายเช่นนี้แล้ว จะมีอีกสักหน่อยก็คงไม่เป็นไร ห่างยอมทิ้งเสียกลางทางไม่เท่ากับว่าที่ค่าทำไปเมื่อวานเป็นการเสียแรงเปล่าหรือ”
เมื่อเห็นเยี่ยหลีพูดเช่นนี้ หานหมิงซีจึงได้แต่พยักหน้า “หวังว่าข้าคงไม่ถูกเจ้าเล่นงานจนตายไปเสียก่อน”
เยี่ยหลียิ้ม “อันที่จริงพี่หานจะกลับเข้าจงหยวนก่อนก็ย่อมได้ เพราะถึงอย่างไรพี่หานก็มิได้สนใจของที่ท่านหัวหน้าหน่วยสามต้องการหาอยู่แล้วมิใช่หรือ”
หานหมิงซีหันหน้ามาเอ่ยปฏิเสธทันที “ข้ารู้สึกว่าตามจวินเหวยมาด้วยนั้นสนุกนัก จวินเหวยไปที่ใดข้าก็จะไปด้วย ไปด้วยกันก็ไปด้วยกัน! ข้าเคยกลัวผู้ใดเสียที่ไหน”
ทั้งสี่ตัดสินใจที่จะพักเรื่องทะเลาะกันไว้ชั่วคราวแล้วหยุดพัก บัณฑิตขี้โรคนำตัวนายท่านเหลียงไปทรมานเค้นความลับอีกด้านด้วยท่าทางเหมือนอดใจรอไม่ไหวอีกแล้ว หานหมิงซีเองก็มีความเจ็บแค้นอยู่กับนายท่านเหลียงจึงตามไปยืนดูด้วยอีกคน เยี่ยหลีแสดงท่าทีไม่สนใจ องครักษ์ลับสามถึงจะดูสนใจอยู่บ้างแต่เขาไม่มีทางแสดงท่าทีเช่นนั้นให้คนนอกได้เห็นเป็นอันขาด เขารั้งอยู่ข้างกายเยี่ยหลีคอยสอดส่องรักษาความปลอดภัย
เยี่ยหลีเดินไปนั่งลงใต้ต้นไม้ใหญ่ เหลือบมองหานหมิงซีและบัณฑิตขี้โรคที่อยู่ห่างไปไม่ไกล แล้วจึงได้หยิบของชิ้นเล็กชิ้นน้อยออกมาจากแขนเสื้อ ในนั้นมีกระดาษอยู่สองแผ่น เยี่ยหลีหยิบดินสอถ่านปลายแหลมแท่งหนึ่งจากห่อผ้า ขึ้นมาขีดๆ เขียนๆ ลงบนกระดาษ
องครักษ์ลับสามยืนอารักขาอยู่ด้านข้าง มองลายเส้นบิดๆ เบี้ยวๆ บนกระดาษด้วยสีหน้าสงสัย “คุณชายมิได้บอกว่าท่านไม่เข้าใจตัวหนังสือพวกนี้หรือขอรับ คุณชายหลอกพวกมันหรือ”
เยี่ยหลีส่ายหน้า “ข้าไม่ค่อยเข้าใจ แต่มีคนอื่นเข้าใจนี่ เพียงแต่ของที่ไม่เข้าใจนั้นจะจดออกมาก็ลำบากหน่อย อันที่จริงควรจะจดมาตั้งแต่เมื่อวาน เพียงแต่กลัวว่าหากถูกจับได้จะยิ่งวุ่นวายกันไปใหญ่ นี่…น่าจะจดมาไม่ผิดนะ” พูดจบ เยี่ยหลีก็ก้มหน้าลงเขียนเส้นโค้งไปมาลงบนกระดาษต่อ พร้อมพูดกับองครักษ์ลับสามว่า “อันที่จริงข้าก็มิค่อยรู้ว่าพวกนี้มันเป็นของเล่นอันใดบ้าง เพียงแต่กล่องนั้นข้ารู้จัก ของเล่นประดับตกแต่งที่ข้างัดออกมาจากล่องนั้นดูเหมือนจะเป็นตราประทับของธิดาเทพแห่งหนานเจียง ดังนั้นของเล่นชิ้นนี้น่าจะมีความสำคัญมาก” อันที่จริงนางเห็นบางอย่างที่น่าสนใจเสียยิ่งกว่า เพียงแต่ของสิ่งนั้นนางอ่านเข้าใจจึงง่ายแก่การจดจำให้ขึ้นใจมากกว่า นางอ่านไปเพียงหนึ่งรอบแล้วจึงโยนกลับไปเก็บไว้ที่เดิม ยามนี้ย่อมไม่จำเป็นที่จะต้องรีบร้อนเขียนมันออกมา
องครักษ์ลับสามพยักหน้า ในใจรู้สึกเสียใจแทนหัวหน้าเผ่าหลัวอีปู้ผู้นั้นที่คิดว่าสมบัติล้ำค่าของตนไม่ได้รับความเสียหาย เขาไม่มีทางรู้ว่า ตอนที่คุณชายรอให้ฟ้ามืดอยู่ที่ปากถ้ำของหุบเขาอสรพิษนั้น คุณชายได้นำของข้างในออกมาศึกษาอยู่กว่าครึ่งชั่วยามแล้วจึงได้วางกลับลงกล่องไป ส่วนตัวเขานั้นรู้สึกเลื่อมใสในความสามารถด้านการสะเดาะกลอนของนายตนอย่างมาก ในใจนึกวางแผนว่าตนจะขอให้คุณชายช่วยสอนเรื่องนี้แก่ตนเมื่อไรดี
ผ่านไปครู่ใหญ่ เยี่ยหลีก็เขียนอะไรออกมาเต็มกระดาษ ทบทวนความทรงจำของตนเองด้วยความพอใจอยู่สองรอบจึงได้ยื่นส่งให้องครักษ์ลับสาม “รีบให้คนส่งของชิ้นนี้กลับบ้าน ให้เขาช่วยดูว่าของเล่นชิ้นนี้คืออันใด”
องครักษ์ลับสามพยักหน้า มองเยี่ยหลีด้วยสีหน้าครุ่นคิด เหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็หยุดไว้
“มีอันใดก็พูดออกมาตรงๆ เถิด”
องครักษ์ลับสามมองแผ่นกระดาษในมือแล้วจึงพูดขึ้นเสียงเบาว่า “พวกเราเดินทางกันมาก็นานพอสมควรแล้ว ในเมื่อคุณชายอยากส่งจดหมายกลับบ้าน ท่านจะเขียนจดหมายถึงคนที่บ้านบ้างหรือไม่ จะได้ให้คนที่บ้านรู้ด้วยว่าคุณชายสบายดี”
จดหมายถึงคนที่บ้านหรือ เยี่ยหลีอึ้งไป ตั้งแต่ออกเดินทางมา ด้วยเพราะไม่อยากให้ใครรู้ถึงเส้นทางการเดินทางของตนจึงมิได้ส่งข่าวอันใดกลับไปให้ม่อซิวเหยาเลย แม้แต่องครักษ์ลับที่กระจายอยู่ตามที่ต่างๆ ก็มิได้ติดต่อไปหาพวกเขาด้วย นึกถึงคำพูดที่ม่อซิวเหยาพูดทิ้งท้ายกับตนไว้แล้ว เยี่ยหลีก็อดรู้สึกผิดในใจไม่ได้ นางมองกระดาษที่ยังเหลืออยู่ในมือ ในเมื่อยังมีกระดาษเหลืออยู่ ก็เขียนจดหมายอีกสักฉบับแล้วกัน