ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 77-1 ชายขอบหนานเจียง

     หนานเจียงเป็นดินแดนของชนต่างเผ่ามาตั้งแต่สมัยโบราณ วัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ ล้วนแตกต่างจากจงหยวนอยู่มาก ภายในเขตแดนนั้นเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตและพืชพันธุ์ที่มีพิษ รวมถึงนกและสัตว์ป่าที่ดุร้าย ชาวบ้านทุกคนล้วนเก่งกาจด้านการต่อสู้และมีความโหดเ**้ยม คนจงหยวนโดยมากต่างนึกกลัวผู้คนในดินแดนนี้

 

 

เมื่อหนึ่งพันปีก่อนหน้านี้ ดินแดนจงหยวนกับพื้นที่หนานเจียงเคยเป็นส่วนเดียวกันมาก่อน เดิมมีชื่อว่า ขุยโจว แต่ช่วงปลายราชวงศ์ก่อน ท่านอ๋องแห่งหนานจ้าวประกาศสถาปนาตั้งดินแดนของตนขึ้นเป็นแคว้นหนานจ้าว ต่อมาภายหลัง องค์ปฐมฮ่องเต้สถาปนาแคว้นต้าฉู่ ระหว่างนั้นต้องคอยสู้รบกับดินแดนทั้งทางเหนือและทางใต้ กว่าองค์ปฐมฮ่องเต้จะจัดการดินแดนเหล่านั้นจนเริ่มสงบ แคว้นหนานจ้าวก็สถาปนาแคว้นขึ้นมาได้กว่าร้อยปีแล้ว ซึ่งสถานการณ์ภายในมั่นคงและอยู่ตัว ส่วนดินแดนจงหยวน หลังจากผ่านการกรำศึกมาหลายสิบปีจึงจำเป็นต้องใช้เวลาในการพักฟื้นแคว้น พื้นที่หนานเจียงจึงไม่รวมอยู่ในแผนที่ของต้าฉู่นับแต่นั้นมา

 

 

           ด่านซุ่ยเสวี่ยตั้งอยู่ระหว่างหนานเจียงกับเมืองหย่งโจวของต้าฉู่ ถึงแม้ทั้งสองแคว้นจะเดี๋ยวรบเดี๋ยวสงบ แต่ชาวบ้านบริเวณชายขอบแคว้นนั้นยังคงไปมาหาสู่ทำการค้ากันอยู่ไม่ขาด ในเมืองเล็กๆ อย่างหย่งหลินที่อยู่ห่างจากด่านซุ่ยเสวี่ยไปสามสิบลี้นั้น มักพบคนจากหนานเจียงที่การแต่งตัวไม่เหมือนคนทั่วไปเข้าออกอยู่เป็นประจำ

 

 

เมืองหย่งหลินมิใช่เมืองใหญ่ ซ้ำตั้งอยู่ใกล้ชายแดน และอยู่ห่างจากเมืองหย่งโจวที่เป็นเมืองศูนย์กลางการปกครองของเขตหย่งโจวเพียงสองร้อยลี้ ทำให้เมืองนี้ดูไม่เจริญรุ่งเรืองมากนัก นอกจากผู้คนที่มากหน้าหลายตาและการแต่งเนื้อแต่งตัวที่หลากหลายแล้ว เมืองนี้ก็เป็นเช่นเมืองเล็กๆ อื่นๆ ทั่วไป

 

 

 เยี่ยหลียืนอยู่บนถนนที่ไม่กว้างนัก มองใบหน้าที่เยือกเย็นของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาแล้วก็ได้แต่ยิ้มน้อยๆ ในยุคสมัยเช่นนี้ ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองเล็กๆ ใกล้ชายแดนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุขเช่นนี้ช่างหาได้ยากนัก หรือควรจะพูดว่า ความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมและการใช้ชีวิตของผู้คนนั้น ช่างเกินความนึกคิดของผู้คนไปมากนักดี

 

 

           องครักษ์ลับสามยืนกอดดาบอยู่ข้างๆ เยี่ยหลี มองเจ้านายของตนที่เอาแต่ยืนยิ้มแปลกๆ อยู่หน้าโรงเตี๊ยม “คุณชาย ในเมืองหย่งหลินนี้ดูจะมีโรงเตี๊ยมอยู่เพียงไม่กี่แห่งเท่านั้น ที่นี่ดูจะดีที่สุดแล้วขอรับ”

 

 

           เยี่ยหลีปรายตามองเขา ก่อนส่ายหน้ายิ้มๆ “เข้าไปกันเถิด ข้าไม่ได้นึกรังเกียจว่าโรงเตี๊ยมนี้ไม่ดีหรอก” พูดจบก็เดินนำเข้าไปในโรงเตี๊ยมที่ดูธรรมดาและออกจากซอมซ่อนั้น องครักษ์ลับสามเลิกคิ้วเข้มของตนขึ้น เขาเองก็คิดว่าพระชายาไม่น่านึกรังเกียจสภาพแวดล้อมที่ไม่ดีเช่นนี้ เพราะตลอดทางที่เดินทางนี้มีบางครั้งที่พวกตนเดินทางเข้าเมืองไม่ทัน จนต้องนอนกลางป่ากลางเขากันมาแล้ว อีกทั้ง ยามยังอยู่ในเมืองหลวง ช่วงที่ฝึกซ้อมอยู่ตีนเขาของยอดเขาเฮยอวิ๋นนั้น มีบางแห่งที่องครักษ์อย่างพวกตนยังไม่นึกอยากย่างกรายเข้าไป แต่พระชายากลับเดินเข้าไปอย่างหน้าตาเฉย

 

 

           ภายในโรงเตี๊ยม หากเทียบกับโรงเตี๊ยมในเมืองหลวงของต้าฉู่หรือในเมืองกว่างหลิงที่ตกแต่งอย่างสวยงามและหรูหราแล้ว โรงเตี๊ยมเล็กๆ แห่งนี้เทียบกับโรงเตี๊ยมชั้นสามไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ที่นี่ก็เป็นโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดในเมืองหย่งหลินแล้วจริงๆ

 

 

ในโถงใหญ่มีโต๊ะวางอยู่เพียงเจ็ดแปดตัว และในตอนนั้นมีคนนั่งอยู่เพียงสามโต๊ะ หลงจู๊อายุมากคนหนึ่งกำลังนั่งก้มหน้าคิดบัญชีอยู่หลังโต๊ะสูง ถึงแม้เยี่ยหลีจะอยู่ในชุดที่ดูธรรมดาๆ แต่ด้วยอายุ รูปลักษณ์และท่วงท่าของนาง บวกกับด้านหลังนางยังมีองครักษ์ลับสามที่ท่าทางดูขึงขังผึ่งผายทั้งยังกอดของรูปทรงคล้ายดาบยาวไว้กับตัว ทำให้เพียงก้าวเข้าไปในโรงเตี๊ยมก็ดึงดูดสายตาของทุกคนให้หันมามองได้ทันที ด้วย ณ ตอนนี้ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีสำหรับทั้งการท่องเที่ยวและการค้า ดังนั้นสีหน้าของทุกคนในโรงเตี๊ยมจึงดูไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าที่ควร 

 

 

เยี่ยหลีเดินไปหน้าโต๊ะสูงก่อนเคาะลงเบาๆ สองที หลงจู๊ผู้เฒ่าสะดุ้ง เงยหน้าขึ้นมองพวกเยี่ยหลีทั้งสองคนอยู่เป็นนาน ก่อนถามขึ้นว่า “คุณชายน้อยต้องการห้องพักหรือขอรับ”

 

 

           เยี่ยหลีแย้มยิ้ม “หากไม่ต้องการที่พักแล้วจะให้พวกข้ามานั่งดื่มชาหรือ”

 

 

           หลงจู๊ผู้เฒ่าหัวเราะตาม ก่อนเอ่ยถามว่า “คุณชายแซ่อะไร ต้องการห้องพักกี่ห้องขอรับ”

 

 

           “ฉู่ ห้องพักอย่างดีสองห้อง”

 

 

           หลงจู๊ผู้เฒ่าเรียกเสี่ยวเอ้อร์ให้มาพาทั้งสองขึ้นไปยังห้องพักด้านบน เมื่อไล่เสี่ยวเอ้อร์ไปแล้ว องครักษ์ลับสามจัดการสำรวจห้องพักอย่างคล่องแคล่ว ห้องพักในโรงเตี๊ยมเล็กๆ เช่นนี้ ถึงแม้จะเป็นห้องพักชั้นดี แต่ก็มิได้กว้างขวางสวยงามสักเท่าไร มีเพียงเตียงหนึ่งหลัง ตู้เสื้อผ้าหนึ่งตู้ และบานพับบังตาที่กั้นระหว่างโต๊ะกับเก้าอี้ด้านนอกเท่านั้น

 

 

องครักษ์ลับสามยืนอยู่ข้างประตู มองดูเยี่ยหลีจัดการวางข้าวของของตนเองออกด้วยความว่องไว ก่อนขมวดคิ้วถามขึ้นว่า “คุณชาย พวกเราจะไปหนานเจียงกันเมื่อใดหรือขอรับ”

 

 

เยี่ยหลีจัดการสัมภาระของตนเรียบร้อยแล้ว จึงได้เดินออกมาจากหลังบานพับพร้อมชี้ไปยังเก้าอี้ตัวหนึ่งให้องครักษ์ลับสามนั่งลง “เรื่องเช่นนี้จะรีบร้อนไม่ได้ ข้าคิดว่า…เราจำเป็นต้องมีผู้นำทาง”

 

 

           การเข้าไปยังหนานเจียงเป็นครั้งแรกนั้น หากหลับหูหลับตาเข้าไปโดยทำการบ้านมาไม่ดีพอนั้นคงถือเป็นการเอาชีวิตไปทิ้ง และเยี่ยหลีก็มิใช่คนที่ชอบเสี่ยงหากไม่ถึงคราวจำเป็นจริงๆ

 

 

           “ผู้นำทางหรือขอรับ” องครักษ์ลับสามถามด้วยความไม่เข้าใจ

 

 

           เยี่ยหลียิ้ม “สำหรับพวกเราที่เป็นคนจงหยวนแล้ว หนานเจียงนั้นลึกลับเกินไป พวกเราไม่คุ้นเคยกับทั้งผู้คนและพื้นที่ คงเดินทางไม่ง่ายนัก การหาใครสักคนที่เป็นคนท้องถิ่นของหนานเจียง หรือคนต้าฉู่ที่คุ้นเคยกับหนานเจียงเป็นอย่างดีสักคนให้คอยช่วยนำทาง ก็ถือเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวนัก”

 

 

           องครักษ์ลับสามขมวดคิ้ว “แต่ว่า…หากพาคนอื่นไปด้วยอาจกลายเป็นตัวถ่วงพวกเราได้นะขอรับ”

 

 

           เยี่ยหลีเคาะพัดในมือลงกับโต๊ะเรื่อยๆ “ดังนั้นพวกเราจึงต้องรอก่อน ข้าให้คนไปหาคนนำทางมาให้แล้ว น่าเสียดายที่คนผู้นั้นดูจะมาช้าถึงกว่าพวกเราสองวัน” เมื่อเห็นสายตาสงสัยขององครักษ์ลับสาม เยี่ยหลีจึงเพียงหัวเราะออกมาแต่มิได้พูดอันใด ก่อนทำท่าบอกให้องครักษ์ลับสามกลับห้องไปพักได้

 

 

องครักษ์ลับสามรู้จักนิสัยเจ้านายของตนเป็นอย่างดี หากนางไม่คิดที่จะบอกเป็นตายอย่างไรก็อย่าหวังจะได้คำตอบออกจากปากนาง จึงทำได้เพียงเดินหน้ามู่ทู่กลับห้องพักของตนไป

 

 

           เยี่ยหลีอมยิ้มมององครักษ์ลับสามเดินออกไป ก่อนหยิบม้วนกระดาษที่เทียนอี้เก๋อส่งมาให้ออกจากสัมภาระมาอ่านต่อ เมื่อได้สิ่งตอบแทนที่ดีไป การทำงานของหานหมิงซีก็ไว้ใจได้เป็นอย่างมาก ตลอดการเดินทางลงใต้นี้ ทุกๆ สามถึงสี่วัน นางจะได้รับข้อมูลเกี่ยวกับหนานเจียงปึกใหญ่ที่เทียนอี้เก๋อส่งมา เมื่อเยี่ยหลีได้รับข้อมูลมา สิ่งแรกที่ทำคือนางจะอ่านข้อมูลเหล่านั้นจนจบและจำไว้ในหัว จากนั้นก็รีบเผาทำลายมันทันทีจนกลายเป็นความเคยชิน

 

 

ข้อมูลในมือนางตอนนี้น่าจะเป็นข้อมูลส่วนสุดท้ายก่อนที่นางจะเข้าไปยังหนานเจียง ตลอดการเดินทางนี้ สภาพภูมิประเทศและสถานการณ์ภายในของหนานเจียงค่อยๆ ซึมเข้าไปในหัวของนาง แต่จะเป็นจริงอยู่สักกี่ส่วนนั้น คงต้องรอให้เข้าไปในหนานเจียงก่อนถึงจะรู้สภาพที่แท้จริงได้

 

 

หลังจากอ่านข้อความบนม้วนกระดาษหนาๆ นั้นจบอย่างรวดเร็วแล้ว เยี่ยหลีก็เผาม้วนกระดาษที่เขียนตัวหนังสือไว้เต็มไปหมดทิ้งจนเหลือเพียงเถ้าถ่าน

 

 

           เช้าตรู่ เยี่ยหลีตื่นแต่เช้าและลงมาข้างล่างตามปกติ ที่ห้องโถงด้านล่างมีคนนั่งอยู่แล้วสองโต๊ะ หนึ่งในนั้นคือองครักษ์ลับสามที่นั่งอยู่โต๊ะติดกับกำแพง เมื่อองครักษ์ลับสามเห็นเยี่ยหลีเดินลงมาก็รีบลุกยืนขึ้น “คุณชาย”

 

 

           เยี่ยหลีพยักหน้ายิ้มๆ “ตื่นแต่เช้าเพียงนี้เชียวหรือ”

 

 

           องครักษ์ลับสามนิ่งไม่ได้ตอบอันใด ตามปกติพวกเขามีกันหลายคนย่อมไม่จำเป็นต้องตื่นเช้าเช่นนี้ แต่ตอนนี้มีเขาติดตามมาเพียงคนเดียว ถึงแม้จะรู้ดีว่าคุณชายมิใช่ที่ปกป้องตัวเองไม่ได้ แต่ก็อดที่จะเป็นกังวลไม่ได้อยู่ดี

 

 

เหตุใดเยี่ยหลีจึงจะมิรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่จึงได้แต่ยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ต้องตื่นตัวถึงเพียงนี้หรอก หากเจ้าทำเช่นนี้ไปตลอด เกรงว่าเจ้าคงเหนื่อยตายเสียก่อนตั้งแต่เรายังไม่ทันเข้าถึงหนานเจียง ที่ให้เจ้าติดตามข้ามานี้เจ้ารู้สึกกดดันมากหรือ”

 

 

           องครักษ์ลับสามส่ายหน้า “มิได้ขอรับ ข้าน้อยขอบคุณที่คุณชายไว้ใจ” เพียงแต่เขากับเพื่อนอีกสามสี่คนโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็กๆ เขาอายุน้อยกว่าองครักษ์ลับสี่เพียงเล็กน้อย แต่กลับไม่สุขุมเยือกเย็นเท่า ดังนั้นปกติแล้วเขาจึงคุ้นเคยกับการเชื่อฟังความคิดเห็นขององครักษ์หนึ่งและสอง มาตอนนี้เหลือเขาอยู่เพียงคนเดียวจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่คุ้นชิน

 

 

เยี่ยหลีอมยิ้มพร้อมพยักหน้า ก่อนนั่งลงเรียกเสี่ยวเอ้อร์มาสั่งอาหารเช้า

 

 

           “คุณชายทั้งสอง พวกท่านก็คิดที่จะไปหนานเจียงเช่นกันหรือ” เยี่ยหลีกำลังบอกให้องครักษ์ลับสามกินอาหารเช้า ก็มีชายคนหนึ่งจากโต๊ะตรงข้ามลุกเดินเข้ามาถาม

 

 

           เมื่อได้ยินเช่นนั้น เยี่ยหลีก็วางตะเกียบในมือลงก่อนเงยหน้าขึ้นมองชายที่เดินเข้า เขาร่างกายสูงใหญ่กำยำ หน้าตาธรรมดาๆ ถึงแม้จะพยายามแสดงความเป็นมิตรออกมาอย่างเต็มที่ แต่ก็ยากที่จะปิดบังแววชั่วร้ายในใบหน้าของเขาไว้

 

 

องครักษ์ลับสามยื่นมือไปกุมดาบบนโต๊ะ เยี่ยหลียกมือขึ้นกดตัวดาบไว้ ก่อนตบลงบนตัวดาบเบาๆ องครักษ์ลับสามขมวดคิ้วเหลือบมองชายผู้นั้นทีหนึ่ง ก่อนชักมือกลับแล้วก้มหน้ากินข้าวต่อไป

 

 

           ปฏิกิริยาของทั้งสองนั้นชายที่เดินเข้ามาเห็นทั้งหมดอย่างชัดเจน แต่มิได้สนใจอันใด เพียงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “น้องชายผู้นี้ไม่ต้องตื่นตกใจไป พวกเราสามสี่คนเองก็จะไปหนานเจียงเช่นกันจึงอยากถามคุณชายว่าต้องการร่วมเดินทางไปด้วยกันหรือไม่” ชายผู้นั้นยิ้มพร้อมชี้นิ้วไปยังโต๊ะฝั่งตรงข้ามที่มีคนนั่งอยู่สามคน

 

 

เยี่ยหลีเหลือบตามองตามไป เห็นชายชราลักษณะเหมือนพ่อค้าอายุประมาณห้าหกสิบปี อยู่ในชุดหรูหราราคาแพง ทั้งยังมีแหวนหยกอยู่บนนิ้ว ในมือยังถือลูกคิดทองไว้อีกด้วย ขาดก็แค่เพียงมิได้เขียนบอกว่าข้ามีเงินมากรีบมาปล้นข้าสิเท่านั้น ข้างๆ มีชายวัยกลางคนท่าทางเหมือนพ่อบ้าน กับหนุ่มบัณฑิตท่าทางขี้โรคอีกหนึ่งคน การมาด้วยกันเช่นนี้เรียกได้ว่าเป็นที่สะดุดตามากจริงๆ

 

 

คราแรกเยี่ยหลียังนึกกังวลว่าตนเองกับองครักษ์ลับสามจะเป็นที่สะดุดตาเกินไปหรือไม่ แต่เมื่อเห็นกลุ่มคนสามสี่คนนี้จึงได้พบว่าตนเองดูด้อยไปเลยทีเดียว จะว่าไปก็จริงอยู่ คนที่กล้าเข้ามาในเขตหนานเจียงนั้น คงมีเพียงไม่กี่คนที่เป็นพวกไม่เอาไหน

 

 

           เยี่ยหลีเหลือบมององครักษ์ลับสาม ก่อนยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “เกรงว่าพวกเราจะทำให้พวกท่านลำบากเปล่าๆ”

 

 

           ชายผู้นั้นยิ้ม “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ข้าดูว่าน้องชาผู้นี้ท่าทางจะฝีมือไม่เลว หนานเจียงนั้นข้าเคยไปมาแล้วหลายครั้ง เป็นเส้นทางที่อันตรายน่าดู พวกเราไปกันหลายคนหน่อย จะได้มีคนคอยช่วยดูแลกันมิใช่หรือ” ชายผู้นั้นหันมององครักษ์สาม ก่อนหันกลับไปมองเยี่ยหลีอีกครั้ง เขารู้ดีว่าคนที่ตัดสินใจได้คือเยี่ยหลี แต่เขากลับมองไม่ออกว่าหนุ่มน้อยตรงหน้านี้เป็นผู้ใดมาจากที่ใด ได้แต่นึกคาดเดาในใจว่าเขาคงเป็นคุณชายน้อยที่ไม่รู้เดียงสาของตระกูลใดสักตระกูลที่พาองครักษ์ออกมาเที่ยวเล่น

 

 

           “พวกเราวางแผนว่าจะไปยังเมืองหลวงของแคว้นหนานจ้าว เส้นทางคงไม่มีความอันตรายอันใด ไม่รู้ว่าพวกท่านเป็นใครกันหรือ” เยี่ยหลีเอ่ยถามพร้อมยิ้มตาหยีอย่างใสซื่อบริสุทธิ์

 

 

           ชายผู้นั้นตอบเสียงดังฟังชัดว่า “พวกเราก็จะไปเมืองหลวงแคว้นหนานจ้าวเช่นเดียวกัน เดิมทีเส้นทางไปยังเมืองหลวงแคว้นนานจ้าวนั้นก็สงบเรียบร้อยดีหรอก แต่ตั้งแต่ปีก่อนเป็นต้นมา สถานการณ์ก็เริ่มไม่น่าไว้ใจ นายท่านของพวกข้าจะไปทำการค้าเรื่องสมุนไพรยาที่หนานจ้าว หากคุณชายไม่รังเกียจ ไปพร้อมกันเลยดีหรือไม่” นายท่านพ่อค้าวาณิชที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามปรายตามองเยี่ยหลีด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง ส่วนชายหนุ่มที่หน้าตาขี้โรคนั้นหันมายิ้มพร้อมผงกหัวให้ทั้งสอง

 

 

           เยี่ยหลีก้มหน้าพร้อมยิ้มเล็กน้อย ก่อนบอกปฏิเสธอ้อมๆ ว่า “ข้าเคยแต่ได้ยินว่าแคว้นหนานจ้าวนั้นมีทัศนียภาพที่งดงามเป็นพิเศษคิดอยากเดินทางไปท่องเที่ยวเปิดหูเปิดตาเสียหน่อย จึงได้หาผู้นำทางไว้ก่อนแล้ว เพียงแต่เขามาถึงช้าไปสองวันจึงไม่อยากทำให้พวกท่านเสียเวลาเดินทาง”

 

 

เมื่อเห็นเยี่ยหลีปฏิเสธเช่นนี้ ชายผู้นั้นก็ไม่ได้ฝืนต่อ เพียงยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าเช่นนั้น ข้าไม่รบกวนคุณชายแล้ว หากมีโอกาสพวกเราคงได้พบกันอีกครั้งที่เมืองหลวงแคว้นหนานจ้าว”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้าเล็กน้อย พร้อมมองส่งชายผู้นั้นเดินกลับไปยังโต๊ะฝั่งตรงข้าม แล้วจึงได้ยินเสียงบ่นงึมงำของพ่อค้าวาณิชผู้เป็นนายลอยดังมาว่าชายผู้นั้นยุ่งไม่เข้าเรื่อง พร้อมส่งสายตาดูแคลนมายังพวกตนทั้งสองคน เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ แล้วก้มหน้ากินอาหารเช้าต่อโดยมิได้สนใจ

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย

หลังถูกน้องสาวร่วมบิดาแทงข้างหลัง ทำให้ เยี่ยหลี คุณหนูสามแห่งจวนตระกูลเยี่ยถูกถอนหมั้นจาก ม่อจิ่งหลี ท่านอ๋องรูปงามแห่งเมืองหลวง แต่นางก็ยังมองโลกในแง่ดี หวังว่าตนจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอีกสักสองสามปี ทว่าเหตุไฉนสามวันให้หลัง ฝ่าบาทถึงได้พระราชทานสมรสให้นางอีกครั้งเล่า! การแต่งงานครั้งนี้แม้ฉากหน้าจะดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก แต่คนที่นางต้องอภิเษกสมรสด้วยกลับเป็น ม่อซิวเหยา ท่านอ๋องพิการไร้ประโยชน์ อีกทั้งยังมีรูปโฉมอัปลักษณ์ เล่าลือกันว่าเขาเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วถึงสองครา ทว่าหญิงสาวทั้งสองคนที่เขาสมรสด้วยกลับต้องมีอันเป็นไปภายหลังจากการแต่งงานได้ไม่นาน แต่ช้าก่อน…บุรุษที่แสนอ่อนโยนและเก่งกาจตรงหน้านางนี้น่ะหรือคือม่อซิวเหยา บุรุษที่กล่าวกันว่าเป็นคนน่ากลัว ไร้ค่า ไม่ได้เรื่องได้ความคนนั้น นี่คงมีอะไรที่เข้าใจผิดไปแล้วกระมัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset