เยี่ยหลียืนอยู่หน้าตำหนักอันโออ่าใหญ่โตแล้วได้แต่ทอดถอนใจ ครั้งนี้เป็นครั้งที่สามที่นางเข้าวัง ด้วยเพราะสองครั้งแรกมีประสบการณ์ที่ไม่น่ารื่นรมย์นัก ครั้งนี้เมื่อถูกฮ่องเต้เรียกตัวให้เข้าเฝ้าจึงยิ่งทำให้นางต้องตื่นตัวและระมัดระวังขึ้นอีกหลายส่วน นางที่เป็นชายาติ้งอ๋องถึงอย่างไรก็เป็นสตรี ตามปกติแล้วต่อให้เป็นฮ่องเต้ที่ต้องการเรียกให้นางเข้าเฝ้า ก็มักใช้ชื่อฮองเฮาหรือไม่ก็เยี่ยเจาอี๋ในการเรียกตัวนางเข้าวังถึงจะถูก
“ชายาติ้งอ๋อง ฝ่าบาทอยู่ด้านใน เชิญท่านเข้าไปด้านในเถิด” ขันทีที่มานำทางเอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงเอาใจ เยี่ยหลีหันหน้าไปมองเขา ก็พอจำได้ว่าเป็นขันทีคนเดียวกับที่ไปส่งราชโองการพระราชทานงานสมรสให้ที่จวนเยี่ย
เยี่ยหลีพยักหน้า ชิงหลวนและชิงอวี้ถูกกันไว้ที่ด้านนอก ส่วนองครักษ์ลับเมื่ออยู่ในวังก็ไม่สามารถไปไหนมาไหนได้ตามใจ ดังนั้นเยี่ยหลีจึงต้องเดินเข้าไปในตำหนักอันโอ่อ่าหรูหราที่แสดงถึงอำนาจและความร่ำรวยแต่เพียงคนเดียว
“ชายาติ้งอ๋อง แซ่เยี่ย ถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ” ภายในตำหนักที่โอ่อ่ากว้างขวาง ด้วยเพราะมีคนอยู่ไม่มากนักจึงทำให้ดูเย็นเยียบและกว้างขวางขึ้นไปอีก ม่อจิ่งฉีนั่งอยู่สูงขึ้นไปในตำหนัก ก้มหน้าลงมองหญิงสาวที่คุกเข่าทำความเคารพอยู่กลางตำหนัก ผ่านไปครู่ใหญ่จึงได้เอ่ยขึ้นว่า “ชายาติ้งอ๋อง ลุกขึ้นเถิด” เยี่ยหลียืดกายลุกขึ้น “ขอบพระทัยฝ่าบาท”
ม่อจิ่งฉีชี้ไปที่เก้าอี้ด้านหนึ่งเป็นสัญญาณให้เยี่ยหลีนั่งลง พร้อมอมยิ้มเอ่ยว่า “ตั้งแต่เข้าฤดูหนาว ร่างกายของติ้งอ๋องก็ไม่ค่อยสบายมาโดยตลอด ไม่รู้ตอนนี้ดีขึ้นบ้างหรือยัง”
เยี่ยหลีหลุบตาลงตอบเสียงเบาว่า “ขอบพระทัยที่ฝ่าบาททรงเป็นห่วง ตอนนี้อากาศเริ่มอุ่นขึ้นแล้ว ถึงแม้ท่านอ๋องร่างกายจะยังไม่แข็งแรงนัก แต่เทียบกับช่วงที่หนาวจัดแล้วก็ถือว่าดีขึ้นมากเพคะ” ม่อจิ่งฉีหรี่ตาลงเล็กน้อย สังเกตสีหน้าท่าทางของหญิงสาวที่อยู่ด้านล่างโดยละเอียด นางสงบเงียบดังเช่นหญิงสาวที่แต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อยทั่วไป เพียงแต่การที่นางยังสงบนิ่งและสุขุมได้แม้ตอนอยู่ต่อหน้าประมุขแห่งแคว้นนั้นดูจะไม่ธรรมดาสักเท่าไร อีกอย่าง ตามข่าวที่เขาได้รับมา ติ้งอ๋องใส่ใจพระชายาคนนี้อยู่พอดู คนที่ไม่มีความสามารถเลยแม้แต่น้อยจะสามารถทำให้ติ้งอ๋องใส่ใจได้เชียวหรือ ดูท่า…ตอนแรกเขาคงมองพลาดไปเสียแล้ว แม้แต่น้องชายที่ไม่เห็นหัวใครของเขายังถูกนางเล่นงานไปเสียหลายรอบ นึกถึงเวลาที่ตนเอ่ยถึงเยี่ยหลีต่อหน้าม่อจิ่งหลี อีกฝ่ายมักจะหน้าดำประหนึ่งมีใครเอาน้ำหมึกมาทาอยู่ทุกครั้งไป ม่อจิ่งฉีเริ่มนึกสงสัยอย่างจริงจังว่า การที่ตนให้ม่อซิวเหยาแต่งงานกับหญิงสาวผู้นี้นั้นเป็นการดูถูกอีกฝ่ายหรือช่วยเพิ่มตัวช่วยให้กับเขาอีกแรงหนึ่งกันแน่ แต่ไม่เป็นไร…เขาจะจัดการแก้ปัญหานี้อย่างรวดเร็ว
“ต้องจัดการเรื่องในตำหนักติ้งอ๋องแล้ว ยังต้องคอยดูแลติ้งอ๋องอีก คงลำบากเจ้ามาก” ม่อจิ่งฉีเอ่ยยิ้มๆ
“ฝ่าบาทตรัสชมผิดแล้วเพคะ เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่เยี่ยหลีควรทำอยู่แล้วเพคะ” เยี่ยหลีตอบพร้อมยิ้มบางๆ
ทั้งสองต่างพูดจาตามมารยาทกันอยู่เป็นนาน ยิ่งม่อจิ่งฉีเห็นท่าทางนิ่งเฉยเป็นธรรมชาติของหญิงสาว ก็ยิ่งทำให้เขานึกร้อนใจเข้าไปใหญ่ ดูเหมือนตั้งแต่พระราชทานงานสมรสให้ติ้งอ๋องเป็นต้นมา ทุกอย่างก็เริ่มที่จะไม่ราบรื่น เดิมทีม่อจิ่งหลีเพียงลอบทำอันใดเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น แต่เมื่อมีไทเฮาคอยให้ท้ายจึงยิ่งลอบทำอันใดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ขาดก็แต่เพียงไม่ขัดแย้งกับตนต่อหน้าเท่านั้น ด้วยเพราะไทเฮาและม่อจิ่งหลี ทำให้จิตใจของคนภายในราชสำนักเริ่มระส่ำระสาย ก่อนหน้านี้ที่ส่งกวนถิ่ง คนที่เขาไว้ใจไปประจำการอยู่ที่ด่านซุ่ยเสวี่ย จู่ๆ ก็เกิดถูกม้าเหยียบจนขาหัก ทำให้ต้องเปลี่ยนตัวแม่ทัพให้ไปประจำการที่ด่านซุ่ยเสวี่ยใหม่ การที่ตนส่งคนที่ตนไว้ใจไปอยู่ที่ด่านซุ่ยเสวี่ยนั้น ด้านหนึ่งก็เพื่อป้องกันม่อจิ่งหลี อีกด้านหนึ่งก็เพื่อป้องกันแคว้นหนานจ้าว แต่มาตอนนี้ต้องเปลี่ยนให้มู่หรงเซิ่นไปแทน ถึงแม้เขาจะเป็นคนที่ออกรบเป็น แต่ไม่สามารถทำให้เขาวางใจได้เท่ากับกวนถิ่ง สถานที่สำคัญอย่างด่านซุ่ยเสวี่ยกลับต้องมอบให้คนที่ตนไม่ไว้ใจดูแล เรื่องนี้ทำให้ม่อจิ่งฉีรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก เพียงแต่…เมื่อได้ลองกลับไปคิดดูแล้ว ม่อจิ่งฉีไม่อาจไม่ยอมรับว่า ในบรรดาคนที่ตนไว้ใจนั้นมีคนมีความสามารถอยู่ไม่มากนัก อย่างน้อยเขาก็หาคนที่น่าเชื่อถือพอจะมาแทนมู่หรงเซิ่นไม่ได้เลย
คิดไปถึงข่าวที่ตนได้รับเมื่อครู่ ที่ว่าม่อจิ่งหลีลอบคบหากับธิดาเทพของชายแดนทางใต้ ยิ่งทำให้ม่อจิ่งฉีโกรธจนอกแทบระเบิด แต่เขาก็ทำได้เพียงอดทนไว้ ม่อจิ่งหลีเป็นน้องชายแท้ๆ ของเขา แต่เขาเองก็ไม่มีหลักฐานอันใดที่จะมาพิสูจน์ว่าม่อจิ่งหลีกับธิดาเทพแห่งชายแดนทางใต้มีความสัมพันธ์กันจริง ดังนั้นไม่ว่าไทเฮาหรือขุนนางใหญ่ในราชสำนักที่มีความสัมพันธ์กับม่อจิ่งหลีคงไม่เห็นด้วยที่จะให้เขาจัดการหลีอ๋องเป็นแน่ เขาเป็นฮ่องเต้ เพียงแต่มีหลายครั้งที่เขาพบว่าตนเองไม่ได้มีอำนาจยิ่งใหญ่แต่เพียงผู้เดียวอย่างที่ตนเคยคิดไว้ มีหลายครั้ง ที่แม้แต่การตัดสินใจเรื่องง่ายๆ ธรรมดาๆ ของเขายังถูกทัดทาน
“ชายาติ้งอ๋อง ที่ตอนแรกข้าให้เจ้าแต่งงานกับติ้งอ๋อง ในใจเจ้าเคยนึกขุ่นเคืองใจบ้างหรือไม่” หลังจากเงียบไปพักใหญ่ จู่ๆ ม่อจิ่งฉีก็จ้องหน้าเยี่ยหลีพร้อมเอ่ยถามขึ้น
เยี่ยหลีอึ้งไป ในใจนึกไตร่ตรองอย่างรวดเร็วว่าม่อจิ่งฉีหมายความว่าอย่างไรกันแน่ แต่สีหน้าของนางยังคงเรียบเฉย “ที่ฝ่าบาทพระราชทานงานสมรสให้เยี่ยหลีนั้นถือว่าเมตตาต่อหม่อมฉันแล้ว เยี่ยหลีจะนึกขุ่นเคืองใจได้อย่างไรเพคะ”
“อ้อหรือ” ม่อจิ่งฉีก้มลงมองนางด้วยความสนใจพร้อมยิ้มแล้วพูดว่า “เดิมทีเจ้าเป็นชายาหลีอ๋องที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนพระราชทานงานสมรสให้ น้องชายของข้าเป็นคนมีความสามารถเพียบพร้อมทั้งด้านบุ๋นและบู๊ ซ้ำยังขึ้นชื่อว่าเป็นยอดบุรุษผู้โดดเด่น แต่ด้วยเพราะราชโองการเพียงฉบับเดียว ทำให้เจ้าต้องเปลี่ยนจากการเป็นชายาหลีอ๋องมาเป็นชายาติ้งอ๋องที่ทุกคนนึกสงสาร ในใจเจ้าไม่เคยคิดเคืองใจข้าบ้างเลยหรือ” เยี่ยหลีตาเป็นประกายเล็กน้อย ก่อนยิ้มบางๆ “หลีอ๋องเป็นคนยกเลิกการหมั้นหมายก่อน ส่วนฝ่าบาทพระราชทานงานสมรสให้ทีหลัง การพระราชทานงานสมรสของฝ่าบาทจึงช่วยให้เยี่ยหลีหลุดพ้นจากสถานการณ์ลำบากมาได้พอดี เยี่ยหลีจะไม่พอใจฝ่าบาทได้อย่างไรเพคะ”
“เจ้าไม่นึกไม่พอใจข้า…เช่นนั้น นึกโกรธหลีอ๋องอย่างนั้นสิ ก็ใช่ เท่าที่ได้ยินมา น้องชายของข้าถูกเจ้าเล่นงานไปไม่น้อยกว่าหนึ่งครั้ง”
ในใจเยี่ยหลีนึกสะดุ้ง แต่เพียงยิ้มน้อยๆ แล้วพูดว่า “ฝ่าบาทตรัสล้อเล่นเสียแล้ว เยี่ยหลีจะไปมีความสามารถเล่นงานท่านอ๋องได้อย่างไรเพคะ ไม่รู้ว่า…ที่ฝ่าบาทเรียกให้เยี่ยหลีมาเข้าเฝ้าในวันนี้ด้วยเพราะมีเรื่องอันใดจะสั่งหรือเพคะ” หากลากยาวเช่นนี้ต่อไป เวลาล่วงเลยไปจนบ่ายนางก็คงยังไม่ได้ออกจากวังเป็นแน่ การพูดคุยกับฮ่องเต้โดยไม่มีฮุหยินหรือไม่มีนางสนมคนอื่นอยู่ด้วยนานเกินไปนั้น ไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไร
ม่อจิ่งฉีมองนางแล้วหัวเราะ “ดี ข้าชอบคนฉลาด เช่นนั้นข้าก็จะไม่อ้อมค้อมแล้วนะ ชายาติ้งอ๋อง เรื่องที่ม่อจิ่งหลีลอบคบหากับธิดาเทพแห่งชายแดนใต้นั้น ตำหนักติ้งอ๋องรู้เรื่องนี้หรือไม่” เยี่ยหลีหลุบตาลงเอ่ยด้วยน้ำเสียงนอบน้อมว่า “ทูลฝ่าบาท เยี่ยหลีเป็นคนเบาปัญญา…เรื่องที่หลีอ๋องกับธิดาเทพแห่งชายแดนใต้หรือใครนั่น เยี่ยหลีไม่ค่อยเข้าใจเพคะ”
“ไม่เข้าใจหรือ” ม่อจิ่งฉีเลิกคิ้วขึ้น มองหน้าเยี่ยหลีด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง “ติ้งอ๋องไว้ใจชายาติ้งอ๋องมากนี่ เท่าที่ข้ารู้ ช่วงที่ติ้งอ๋องป่วยหนักเรื่องทั้งหลายในตำหนักมีเจ้าคอยจัดการ แต่ตอนนี้เจ้ากลับบอกข้าว่าเจ้าไม่รู้อย่างนั้นหรือ เจ้ารู้หรือไม่…การเพ็ดทูลข้าจะมีโทษเช่นไร” แววตาเยี่ยหลีที่เปิดอยู่ครึ่งหนึ่งมีประกายคมกล้า นางก้มศีรษะลงมองพื้นด้านล่าง “การเพ็ดทูลฝ่าบาทมีโทษถึงตายเพคะ เพียงแต่…หากฝ่าบาทมั่นใจว่าตำหนักติ้งอ๋องรู้เรื่องหลีอ๋อง เหตุใดจึงไม่ทรงสอบถามจากท่านอ๋องโดยตรงเลยเล่าเพคะ เยี่ยหลีเป็นเพียงหญิงสาวที่อ่อนแอ ถึงแม้จะได้ปกครองตำหนักติ้งอ๋องแต่ก็ใช่ว่าจะสามารถสอบถามเรื่องในราชสำนักได้เพคะ”
“บังอาจ!” ม่อจิ่งฉีเอ่ยเสียงดังด้วยความโกรธ สายตาที่จ้องมองเยี่ยหลีมีแววโหดเ**้ยมและอำมหิต หากเป็นหญิงธรรมดาทั่วไป อาจตกใจจากรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมา แต่สำหรับเยี่ยหลีแล้วการข่มขู่และคุกคามเพียงเท่านี้ยังห่างไกลนัก
นางลุกยืนขึ้นก่อนโค้งตัวลงเล็กน้อย “เยี่ยหลีบังอาจ ขอฝ่าบาทโปรดอภัยด้วยเพคะ”
ม่อจิ่งฉีส่งเสียงเหอะเบาๆ มองจ้องเยี่ยหลีแล้วพูดว่า “ตำหนักติ้งอ๋องรู้ข่าวสารอันใดว่องไว ข้ารู้ดีกว่าเจ้า เยี่ยหลี ม่อซิวเหยาปกป้องเจ้าไปตลอดชีวิตไม่ได้หรอกนะ นิสัยของจิ่งหลีเป็นอย่างไร เจ้าอาจจะไม่รู้จักเขาดี แต่ม่อซิวเหยาย่อมรู้ดีแน่นอน เจ้าลองกลับไปถามเขาดูก็ได้ว่าเขาจะใคร่ครวญเกี่ยวกับคำถามของข้าว่าอย่างไร” เยี่ยหลีลอบยิ้มในใจ ฝ่าบาทนี่ท่านกำลังข่มขู่ตนเองอยู่หรือเปล่า
“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเอ่ยเตือน เยี่ยหลีจะกลับไปใคร่ครวญให้ดีเพคะ” เยี่ยหลีพูด
ยิ่งเห็นเยี่ยหลีไม่รู้จักวางตัวเช่นนี้ ยิ่งทำให้แววโกรธในดวงตาของม่อจิ่งฉีมีมากขึ้น แต่เขาก็รู้ดีว่าเขาไม่อาจทำอันใดชายาติ้งอ๋องในวังหลวงแห่งนี้ได้ จึงทำได้เพียงจ้องมองเยี่ยหลีอยู่เป็นนาน ก่อนจะส่งเสียงเหอะออกมาแล้วเรียกให้คนมาพาตัวเยี่ยหลีออกไป