ช่วงเช้ามืด เยี่ยหลีนั่งสบายๆ อยู่หน้ากระจก ปล่อยให้ชิงซวงและชิงสยาจัดการทำผมนางกันตามสบาย ชิงซวงจับผมดำขลับเป็นมวยทรงไป่เหออย่างคล่องแคล่ว ส่วนชิงสยายืนถือกล่องที่มีเครื่องประดับอยู่เต็มกล่องให้เยี่ยหลีเลือกใช้ เยี่ยหลีมองตนเองในกระจกซ้ายทีขวาที ก่อนขมวดคิ้วมองชิงซวง
“เปลี่ยนเป็นทรงที่เรียบกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือ”
ชิงซวงอมยิ้ม “คุณหนูท่านเลือกทรงนี้เถิดเจ้าค่ะ สตรีที่เพิ่งแต่งงานใหม่ๆ ล้วนจะต้องแต่งองค์ทรงเครื่องกันเต็มที่ นี่ชิงซวงเลือกทรงที่เรียบที่สุดให้แล้วนะเจ้าคะ หากเป็นทรงที่กำลังนิยมในหมู่สตรีสูงศักดิ์แล้ว คุณหนูย่อมรับไม่ได้เป็นแน่ เมื่อก่อนนั้นท่านทำผมเป็นทรงของคุณหนูที่ยังไม่ออกเรือนทั้งนั้น ในเมื่อแต่งงานมีครอบครัวแล้วก็จะทำทรงเช่นนั้นอีกไม่ได้นะเจ้าคะ ส่วนเครื่องประดับก็เลือกชุดที่ท่านอ๋องให้คุณหนูเมื่อคราวที่แล้วดีกว่านะเจ้าคะ เพราะคุณหนูยังไม่เคยใช้เลยเจ้าค่ะ”
เยี่ยหลีพยักหน้า อันที่จริงนางชอบเครื่องประดับชุดดอกอวี้หลันสีเขียวนั่นมาก เพราะมองดูไม่หรูหราจนเกินไป
ชิงสยายกมือปิดปากอมยิ้มก่อนนำเครื่องประดับชุดนั้นออกมาประดับศีรษะให้เยี่ยหลี ก่อนพยักหน้าอย่างชื่นชมว่า “ชิงซวงนี่รู้ใจคุณหนูที่สุด…”
“คุณหนูที่ไหนกัน” หลินหมัวมัวกับเว่ยหมัวมัวเดินเข้ามา หลินหมัวมัวถลึงตาจ้องสาวใช้ให้คนละที ก่อนเอ่ยว่า “ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปต้องเรียกว่าพระชายา อย่าให้คนในตำหนักนี้คิดว่าคนข้างกายของพระชายาไม่รู้จักกฎระเบียบ”
“เจ้าค่ะ หมัวมัว พวกบ่าวคารวะพระชายาเพคะ” สาวใช้ทั้งสี่คนยืนเรียงกันเป็นหน้ากระดาน ก่อนโค้งตัวลงทำความเคารพเยี่ยหลีอย่างนอบน้อม
หลินหมัวมัวที่รู้สึกสงสารเยี่ยหลีตั้งแต่แรกรีบเข้ามาจับมือเยี่ยหลีก่อนเอ่ยถามเสียงเบา เรื่องที่เมื่อคืนท่านอ๋องไม่ได้พักผ่อนที่ห้องหอแน่นอนว่าหมัวมัวทั้งสองย่อมทราบเรื่องดี เว่ยหมัวมัวอดสงสารคุณหนูที่ตนดูแลมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยไม่ได้ เยี่ยหลีจึงอมยิ้มปลอบโยนหมัวมัวทั้งสอง เมื่อหมัวมัวทั้งสองเห็นว่าเยี่ยหลีไม่ได้มีสีหน้ารู้สึกเสียใจอันใดกับเรื่องนี้จริงๆ จึงได้ยอมปล่อยผ่านไป ถือเสียว่าติ้งอ๋องเห็นใจว่าคุณหนูเพิ่งย้ายเข้ามาในตำหนักใหม่ๆ คงยังไม่ชิน จึงให้เวลาเยี่ยหลีในการปรับตัวก่อนพักหนึ่ง แต่ก็ไม่ลืมที่จะเอ่ยเป็นนัยๆ ให้เยี่ยหลีรีบเป็นสามีภรรยากับติ้งอ๋องอย่างแท้จริงๆ โดยเร็ว เพราะถึงอย่างไรก็เป็นคนที่จะต้องอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต เยี่ยหลีอดไม่ได้ที่จะยกมุมปากขึ้นยิ้ม แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยอันใดออกมา ปล่อยให้พวกนางเข้าใจผิดกันต่อไป
“ท่านอ๋องเสด็จเพคะ”
ม่อซิวเหยาปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตู เขาเอ่ยถามขึ้นเสียงเบาว่า “อาหลี ข้าเข้าไปได้หรือไม่”
เยี่ยหลีรับคำ ม่อซิวเหยาจึงได้ให้อาจิ่นยืนรออยู่ที่หน้าประตู ส่วนตนเข็นรถเข็นเข้ามาด้วยตนเอง เขามองเยี่ยหลีแล้วถามขึ้นว่า “อาหลี เมื่อคืนหลับสบายหรือไม่”
เยี่ยหลียิ้มพร้อมพยักหน้า “ข้าหลับสบายดี สีหน้าท่านดูไม่ค่อยดีสักเท่าไรเลยนะ”
เมื่อม่อซิวเหยาเข้ามา หลินหมัวมัวก็พาสาวใช้ทั้งหมดล่าถอยออกไป กว่าเยี่ยหลีจะรู้ตัวก็ไม่เหลือใครให้เรียกใช้ให้ยกน้ำชามาให้เสียแล้ว จึงทำได้เพียงหันไปยิ้มให้ม่อซิวเหยาก่อนเดินไปนั่งที่โต๊ะ ในแววตาของม่อซิวเหยามีแววอ่อนล้าให้เห็นอยู่จริง
เขาโบกมือไปมา “เมื่อคืนต้องส่งแขก กว่าจะได้พักก็เลยดึกหน่อย ไม่มีอันใดหรอก”
“เราควรไปถวายพระพรองค์หญิงก่อนหรือไม่ แล้วก็พี่สะใภ้…” ในตำหนักติ้งอ๋องทุกวันนี้มีม่อซิวเหยาเพียงคนเดียวที่สืบสายเลือดโดยตรง แต่ก็ไม่ถึงกับไม่เหลือใครอื่นอีกเลย ติ้งอ๋องคนก่อน หรือก็คือพี่ชายของม่อซิวเหยา นามม่อซิวเหวินนั้น มีภรรยาเอกสกุลเวินที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ได้ข่าวว่านางไปบำเพ็ญกุศลให้สามี ไปอยู่ที่วัดนานหลายปีแล้ว แม้แต่งานแต่งงานเมื่อวานนางก็ไม่ได้มาร่วมงาน แล้วยังมีไท่เฟย[1]รองของม่อหลิวฟาง บิดาของม่อซิวเหยาอีกคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ส่วนคนอื่นๆ นั้น…ก่อนหน้านี้เยี่ยหลีไม่เคยถามเลยว่า ม่อซิวเหยามีอนุอยู่แล้วกี่คน
ม่อซิวเหยาส่ายหน้า “พวกเรากินข้าวเช้ากันก่อน องค์หญิงอายุมากแล้ว เมื่อคืนก็เหนื่อยอยู่ไม่น้อย คงไม่ตื่นเช้าเช่นนี้ ส่วนเรื่องพี่สะใภ้…” ม่อซิวเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย “ตั้งแต่พี่ใหญ่จากไป พี่สะใภ้ก็พาภรรยารองที่เหลือไปอยู่กันที่วัด แม้แต่ข้าก็ยังไม่ค่อยได้พบหน้า หลายวันก่อนนางให้คนมาส่งข่าวแล้วว่า รอให้เจ้ากลับบ้านเดิมแล้วกลับมาเสียก่อนค่อยไปพบนางก็ได้”
เยี่ยหลีพยักหน้า นางเคยได้ยินพี่สามพูดถึงพระชายาติ้งอ๋องคนก่อนอยู่บ้าง นางก็เป็นคนหนึ่งที่น่าสงสาร สามีมาตายเสียตั้งแต่อายุสิบแปดปี เมื่อตอนแต่งงานใหม่ๆ ม่อซิวเหวินก็ต้องไปกรำศึกอยู่ข้างนอก ทั้งสองคนแม้แต่ลูกสักคนก็ยังไม่มี
“เช่นนั้น…ข้าต้องทำอันใดบ้างหรือไม่” เยี่ยหลีเอ่ยถาม
ม่อซิวเหยามองนาง ก่อนยิ้มบางๆ “นอกจากจัดการเรื่องงานในตำหนัก กับพวกเรื่องบัญชีแล้ว เวลาที่เหลือเจ้าอยากทำอันใดก็ได้ทั้งนั้น หากเจ้านึกเบื่อ จะเชิญเพื่อนของเจ้ามาที่ตำหนักหรือจะออกไปเดินเล่นข้างนอกก็ยังได้ อาหลี ต่อไปนี้ที่นี่ก็คือบ้านของเจ้า ไม่ต้องเคร่งครัดมากหรอก”
เยี่ยหลีพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว เพียงแต่ยังไม่ค่อยชิน เช่นนั้นตอนนี้เล่า”
“ไปกินข้าวกันก่อนเถิด แล้วข้าจะพาเจ้าไปพบคนในตำหนัก”
สำรับอาหารเช้าตั้งในเรือนของเยี่ยหลี อาหารเช้าตำหนักติ้งอ๋องถูกปากเยี่ยหลีเป็นอย่างมาก พอกินอาหารเช้าเสร็จ หัวหน้าพ่อบ้านก็เข้ามารายงานว่า “ท่านอ๋อง พ่อบ้านทุกคนมากันพร้อมแล้ว กำลังรอให้ท่านอ๋องกับพระชายาเรียกพบอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
ม่อซิวเหยาพยักหน้า ก่อนหันมาพูดกับเยี่ยหลีว่า “นี่คือหัวหน้าพ่อบ้านของตำหนักติ้งอ๋อง ชื่อม่อซิ่น เขายังเป็นอาของอาจิ่นด้วย ต่อไปหากเจ้ามีเรื่องอันใด ก็สั่งการเขาโดยตรงได้เลย”
หัวหน้าพ่อบ้านเดินขึ้นหน้ามาทำความเคารพ “บ่าวคารวะพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “หัวหน้าพ่อบ้านไม่ต้องมากพิธี ต่อไปนี้คงต้องรบกวนหัวหน้าพ่อบ้านแล้ว” นางดูออกว่าม่อซิวเหยาให้ความสำคัญกับหัวหน้าพ่อบ้านคนนี้มาก แล้วเขายังเป็นอาของอาจิ่นอีก อาจิ่นอยู่ข้างกายม่อซิวเหยาตลอดเวลา ไม่เคยห่างไปไหน ย่อมเป็นคนที่เขาไว้ใจที่สุด
เมื่อพระชายาตอบรับด้วยความสุภาพเช่นนี้ หัวหน้าพ่อบ้านม่อก็ไม่ได้มีท่าทีใดๆ ทั้งยังไม่ได้ผยองใดๆ อีกด้วย เขาตอบกลับด้วยความนอบน้อมเช่นเดิมว่า “บ่าวมิกล้า หากต่อไปพระชายามีเรื่องอันใดก็สั่งกับบ่าวได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเดินไปถึงโถงดอกไม้ มีคนยืนอยู่จำนวนไม่น้อยดังที่นางคาดไว้ เมื่อทั้งหมดเห็นเยี่ยหลีกับม่อซิวเหยาเดินเข้ามา ก็รีบยืนตรงพร้อมเอ่ยทำความเคารพทันที “คารวะท่านอ๋อง คารวะพระชายา”
ม่อซิวเหยาจูงเยี่ยหลีให้เดินเข้าไปในโถงดอกไม้ ชี้ให้นางนั่งลงที่ตำแหน่งประมุข ก่อนหันไปเอ่ยกับทุกคนว่า “ลุกขึ้นเถิด นี่คือพระชายาที่เพิ่งแต่งเข้ามาอยู่ใหม่ อีกหน่อยคำพูดของพระชายาก็คือคำพูดของข้า ทุกคนเข้าใจหรือไม่”
“น้อมรับคำสั่งพระชายา”
“ดีมาก อาหลี นี่คือซุนหมัวมัว เป็นคนจัดการเรื่องตำหนักในของที่นี่ทั้งหมด หากเจ้ามีเรื่องอันใดไม่เข้าใจก็สามารถถามนางได้” หมัวมัวที่ยืนอยู่หน้าสุด คือซุนหมัวมัวที่เคยนำของขวัญมาส่งให้ที่จวนเยี่ยนั่นเอง และก็เป็นคนแรกที่ม่อซิวเหยาแนะนำให้นางรู้จัก ม่อซิวเหยาหยุดคิดพักหนึ่ง ก่อนเอ่ยเสริมว่า “ซุนหมัวมัวเคยเป็นคนสนิทข้างกายท่านแม่”
“บ่าวคารวะพระชายาเพคะ”
“หมัวมัวมีมารยาทแล้ว” เยี่ยหลีพยักหน้าพร้อมเอ่ยตอบ
“คนนี้เป็นคนจัดการเรื่องนอกตำหนักทั้งหมด ชื่อหยางหลิน เรื่องแขกไปใครมาทั้งหลายเขาล้วนเป็นคนรับผิดชอบทั้งหมด” คนที่ยืนอยู่ข้างซุนหมัวมัวเป็นชายวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบกว่าปี ดูประกายตาก็รู้ว่าเป็นคนค่อนข้างคิดเล็กคิดน้อย
“หยางหลินคารวะพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีย่นคิ้วเล็กน้อย นางไม่ได้รู้สึกอันใดกับคำที่คนอื่นใช้แทนตนเอง แต่เพียงการเรียกแทนตนเองของคนคนหนึ่งก็สามารถแสดงให้เห็นถึงท่าทีที่คนคนนั้นมีต่อตนได้แล้ว เห็นได้ชัดว่าพ่อบ้านคนนี้ไม่ได้ให้ความเคารพเยี่ยหลีเหมือนที่หัวหน้าพ่อบ้านม่อกับซุนหมัวมัวมีให้
“พ่อบ้านหยางไม่ต้องมากพิธี”
จากนั้นม่อซิวเหยาก็ได้แนะนำพ่อบ้านแม่บ้านที่จัดการเรื่องอื่นๆ ภายในจวนอีกหลายคน และพ่อบ้านแม่บ้านที่ค่อนข้างมีบทบาทสำคัญอีกสามสี่คน เยี่ยหลีให้คนนำของขวัญแรกพบหน้าไปให้พ่อบ้านแม่บ้าน และตบรางวัลให้กับบรรดาบ่าวเล็กๆ น้อยๆ ซุนหมัวมัวและพ่อบ้านม่อจึงรู้สึกชื่นชมพระชายาคนใหม่คนนี้ยิ่งขึ้นไปอีก ถึงแม้ตระกูลเยี่ยจะไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวเท่าไรนัก แต่เห็นได้ชัดว่าพระชายาคนใหม่นี้จะได้รับสายเลือดแห่งความเป็นเลิศมาจากฝั่งเยี่ยฮูหยิน เพราะนางรู้จักกาละเทศะ ทั้งยังจัดการเรื่องต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม แม้แต่ของขวัญแรกพบที่ให้กับพ่อบ้านแม่บ้านและของตกรางวัลบ่าวเล็กๆ ก็ยังใส่ใจและจัดการได้อย่างเหมาะสม
“ท่านอ๋อง พระชายาพ่ะย่ะค่ะ” อาจิ่นปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตู เขาหยุดมองคนในโถงดอกไม้เล็กน้อย ก่อนตัดสินใจเอ่ยเรียกขึ้น
“อาจิ่น มีเรื่องอันใด” ม่อซิวเหยาเอ่ยถาม
ในมืออาจิ่นมีกล่องทรงยาวอยู่กล่องหนึ่ง “เมื่อสักครู่มีคนส่งของสิ่งนี้มาให้ บอกว่ามอบให้พระชายาเป็นของขวัญแต่งงานพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้น “คนที่มาส่งของเล่า”
“ไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ทั้งสองหันสบตากัน ก่อนม่อซิวเหยาจะพูดกับอาจิ่นว่า “นำเข้ามาเถิด”
ม่อซิวเหยาหยิบขึ้นมาสำรวจ เมื่อเปิดกล่องดูภายในก็พบม้วนภาพวาดอยู่ม้วนหนึ่ง เมื่อดูจนแน่ใจว่าไม่มีปัญหาอันใดจึงได้ส่งให้เยี่ยหลี เยี่ยหลีก้มหน้าลงเปิดภาพออกดู ถึงจะไม่คิดว่าจะมีอะไรให้ประหลาดใจแต่ก็อดอุทานด้วยความตื่นเต้นไม่ได้ นี่เป็นภาพของหญิงงามภาพหนึ่ง หากใครที่ไม่เคยเห็นมาก่อนคงยากที่จะจินตนาการได้ว่ามีหญิงสาวที่งดงามเช่นนี้อยู่ในใต้หล้าจริง คิ้วโก่งเรียวงาม ริมฝีปากเล็กเป็นกระจับ ใบหน้าที่คมงามตามสมัย ไม่ว่าจะใช้คำใดมาเอ่ยชื่นชมก็ถือเป็นการดูถูกความงามของนางทั้งสิ้น แม้จะเป็นเพียงภาพวาดแต่ยังคงสัมผัสได้ถึงประกายหยดน้ำที่วิบวับอยู่ในดวงตาคู่นั้น หญิงสาวในภาพอยู่ในชุดสีเรียบ สีหน้าแย้มยิ้มมือประคองโอบกอดฉินอยู่ท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้ แม้แต่ดอกไม้ในภาพยังดูประหนึ่งสีซีดจางไป
“ขาวสว่างดังอาทิตย์กลางแสงอุทัย งามจับใจดั่งดอกบัวในสระน้ำ” เยี่ยหลีอุทานขึ้นเสียงเบา
เมื่อเลื่อนสายตายังไปมุมของภาพ มีตัวหนังสือเขียนไว้ว่า…จุ้ยเตี๋ยยอดหญิงงามแห่งเมืองหลวงต้าฉู่ ผู้วาดหานหมิงเย่ว์
ม่อซิวเหยาเองก็ตะลึงไปเช่นกัน สายตาที่มองภาพวาดเหมือนของหญิงสาวแสนสวยมีแวววูบไหวเล็กน้อย ก่อนจะเลื่อนสายตาไปที่เยี่ยหลีอย่างรวดเร็ว เยี่ยหลีนิ่งเงียบอยู่เพียงครู่ ก่อนเงยหน้าขึ้นยิ้มให้ม่อซิวเหยา
“ได้ข่าวว่าภาพวาดยอดหญิงงามแห่งต้าฉู่ของหานหมิ่งเย่ว์มีมูลค่ามหาศาล นี่ข้าเพียงแต่งงานเข้ามาเป็นวันที่สองก็ส่งภาพวาดเช่นนี้มาให้ ทำให้ข้าอดละอายใจไม่ได้”
ม่อซิวเหยายิ้มบางๆ มองนาง “เจ้าดีมากแล้ว”
เยี่ยหลีหันไปมองหญิงสาวในภาพเหมือนนั้นอีกครั้ง ก่อนม้วนภาพเก็บพร้อมเอ่ยถามอย่างลำบากใจว่า “จะทำอย่างไรกับของชิ้นนี้ดี” ถึงแม้ภาพนี้จะเป็นภาพที่ดี และมีมูลค่าสูงมาก แต่การเก็บไว้กับตัวไม่ถือเป็นความคิดที่ดีเอาเสียเลย ถึงแม้นางจะไม่ได้รู้สึกหึงหวง แต่ก็รู้สึกว่าตนไม่ควรที่จะเก็บภาพวาดอดีตคู่หมั้นของสามีตนเอาไว้
ม่อซิวเหยาตอบว่า “นี่เป็นของที่เขาให้เจ้า อาหลีจัดการเองได้เลย”
เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้น หรือเขาคิดว่านางจะบังคับให้เขาจัดการกับรูปภาพอดีตคู่หมั้นเขาอย่างนั้นหรือ นางแค่อย่างถามว่าเขาอยากได้หรือไม่ หากเขาอยากได้นางก็จะให้เขาเท่านั้นเอง
“ข้าไม่มีความสนใจเรื่องภาพวาด อีกอย่าง การนั่งมองภาพหญิงสาวที่สวยกว่าตนทุกวันถือเป็นความสะเทือนใจไม่น้อย”
ม่อซิวเหยาหยุดคิดเล็กน้อย แล้วหันไปพูดกันซุนหมัวมัวว่า “เปลี่ยนกล่องใหม่ให้ที แล้วเดี๋ยวให้ใครนำภาพนี้ไปส่งให้ที่จวนผู้อาวุโสซู”
“บ่าวน้อมรับคำสั่งเพคะ”
ซุนหมัวมัวตอบรับอย่างนอบน้อม แล้วเดินออกมารับม้วนภาพวาดจากมือเยี่ยหลีไป ซุนหมัวมัวหมุนตัวหันไปส่งของให้สาวใช้ข้างกายก่อนถอยออกไปเตรียมการ
ม่อซิวเหยาหันมายิ้มให้เยี่ยหลี “ไปกันเถิด องค์หญิงคงจะเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว” เยี่ยหลีพยักหน้า ลุกขึ้นจูงมือม่อซิวเหยาแล้วออกเดินไปพร้อมกัน ไม่ทันได้เห็นสีหน้าอิ่มเอมใจของซุนหมัวมัวและหัวหน้าพ่อบ้านม่อที่มองอยู่ด้านหลัง
“ท่านคิดว่าใครเป็นคงส่งภาพนี้มาให้หรือ” ระหว่างทางเดินไปยังเรือนที่องค์หญิงมาพำนักชั่วคราว เยี่ยหลีก็เอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย ม่อซิวเหยาส่ายหน้า
“ภาพนั้นเดิมทีเคยเก็บอยู่ที่ตำหนักนี้ ข้าเคยคิดจะส่งไปให้ผู้อาวุโสซู แต่ในปีนั้นเกิดเรื่องขึ้นมากมาย กว่าเรื่องต่างๆ จะคลี่คลาย ภาพวาดนี้ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว”
เยี่ยหลียิ้ม “ภาพของหานหมิงเย่ว์ภาพนี้มีมูลค่าพอๆ กับเมืองเมืองหนึ่ง ท่านไม่คิดจะส่งคนออกค้นหาเลยหรือ” อีกอย่าง…นั่นเป็นหญิงสาวที่งดงามหมดจดมากจริงๆ ด้วย มิน่าหานหมิงเย่ว์ถึงได้กล้าตั้งชื่อว่ายอดหญิงงามแห่งเมืองหลวง
ม่อซิวเหยาเงยหน้าขึ้นมองนางนิ่งอยู่พักหนึ่ง ก่อนกล่าวว่า “หากข้าคิดอยากจะวาดภาพ ภาพวาดของข้าย่อมไม่ด้อยไปกว่าหานหมิงเย่ว์ หากมีเวลาข้าวาดภาพเจ้าให้ภาพหนึ่ง ดีหรือไม่”
เยี่ยหลีอึ้งไปเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “เอาสิ ขอบคุณท่านมาก”
[1] ไท่เฟย ชื่อเรียกพระชายาของอ๋ององค์ก่อน