อาจเพราะนี่เป็นงานเลี้ยงแรกหลังจากที่โรสมอนด์ถูกประหาร แพทริเซียจึงมีความรู้สึกว่าตนเป็นที่จับจ้องของผู้คนมากกว่าแต่ก่อนเป็นเท่าทวีคูณ แน่นอนว่าหากมองจากภายนอกย่อมมิใช่เรื่องไม่ดี แต่โดยส่วนตัวแล้วแพทริเซียกลับรู้สึกไม่ยินดี ด้วยนิสัยของนางทำให้รู้สึกว่าการได้รับความสนใจจากผู้อื่น โดยเฉพาะคนที่ไม่รู้จักเป็นเรื่องที่ไม่ใคร่น่ายินดีนัก อย่างไรก็ตาม ตำแหน่งจักรพรรดินีแห่งมาวินอสต้องมาก่อนความรู้สึกส่วนตัว แพทริเซียจึงต้องเก็บซ่อนความรู้สึกนั้นไว้ในใจให้ดี และให้การต้อนรับแขกผู้มีเกียรติทั้งหลายอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง และในระหว่างที่ทำเช่นนั้นย่อมต้องเหน็ดเหนื่อยพอสมควร
‘เหนื่อย’
แม้ลูซิโอจะสั่งไว้ว่าถ้ารู้สึกเหนื่อยแม้เพียงเล็กน้อยให้รีบบอก แต่นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย เขาไม่ใช่เด็กแล้ว นางเองก็เช่นกัน นางไม่อยากเอาแต่ใจตัวเอง
“…เพราะฉะนั้น ฝ่าบาท ชุดเดรสใหม่ที่จะวางขายที่ร้านของหม่อมฉันคราวนี้…”
“เอ่อ ขอตัวสักครู่นะคะ เลดี้”
แพทริเซียกล่าวกับเลดี้คนหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของห้องเสื้อที่ใหญ่ที่สุดในเมืองคาร์วูดด้วยรอยยิ้มก่อนจะออกจากงานและตรงไปที่ระเบียง จู่ๆ นางก็ปวดท้องขึ้นมา แพทริเซียลองคิดหาสาเหตุอย่างถี่ถ้วนว่าเมื่อครู่นางกินอะไรแปลกๆ เข้าไปหรือเปล่า แต่ที่นี่ไม่น่ามีอาหารเช่นนั้น หรืออาจเป็นเพราะอากาศวันนี้…
“ฝ่าบาท”
ทันใดนั้นแพทริเซียก็ได้ยินเสียงขึ้นจมูกของหญิงสาวดังมาจากที่ไหนสักแห่ง แพทริเซียตัวแข็งทื่อโดยไม่รู้ตัวก่อนที่สองเท้าจะพานางเข้าไปหลบหลังเสาโดยอัตโนมัติจากนั้นนางก็แอบมองไปยังต้นเสียง ลูซิโอกำลังอยู่กับ…หญิงสาววัยแรกแย้มเจ้าของเรือนผมสีทองยาวสยาย แพทริเซียรู้สึกสับสนมือเผลอขยุ้มกระโปรงแน่น
อะไรกัน ไหนบอกให้เชื่อสักครั้ง ไม่ทันไรออกลายแล้วหรือ แพทริเซียพยายามเงี่ยหูฟังบทสนทนาของคนทั้งคู่ด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
“ฝ่าบาท อัญมณีที่หม่อมฉันซื้อมาคราวนี้…”
อีกด้านหนึ่ง ตอนนี้ลูซิโอกำลังไม่สบอารมณ์เลยทีเดียว ดูเหมือนเขาจะดื่มค็อกเทลมากเกินไปทำให้รู้สึกปวดหัวเล็กน้อยจึงออกมาที่ระเบียงสักพัก ไม่รู้เลดี้ผมทองอายุน้อยคนนี้ตามมาได้อย่างไร คิดว่าสนทนาโต้ตอบสักสองสามคำก็จะจากไป ที่ไหนได้กลับกลายเป็นข้ามขั้นขึ้นทุกทีเสียอย่างนั้น ตอนนี้เขารู้สึกว่าควรจบการสนทนานี้เสียทีจึงเอ่ยกับอีกฝ่าย
“เลดี้ เราสนุกที่ได้สนทนากับเจ้า แต่เจ้าไปได้แล้วล่ะ”
“เพคะ? แต่ฝ่าบาทรับสั่งว่าสนุกที่ได้สนทนากับหม่อมฉันมิใช่หรือเพคะ”
ลูซิโอถอนหายใจในใจพลางกล่าวกับเลดี้สมองทึบที่ไม่เข้าใจว่าเขากำลังปฏิเสธอย่างรักษามารยาท
“ตอนนี้เราอยากอยู่คนเดียว”
“ฝ่าบาท เหตุใดจึงตรัสเช่นนั้นเล่าเพคะ”
พูดจบ สาวผมทองก็เอียงคออย่างมีจริตและค่อยๆ ขยับเข้ามาคล้องแขนลูซิโอ ท่าทีเช่นนั้นย่อมต้องทำให้ลูซิโอตกใจ นี่นางเสียสติไปแล้วกระมัง
“ไม่ต้องการอนุภรรยาสักคนหรือเพคะ ฝ่าบาท” หญิงสาวกระซิบด้วยน้ำเสียงแสลงหู
“ถอยออกไป”
ตอนนี้ลูซิโอโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว เขาดึงแขนตัวเองกลับมาและพูดกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่ต่ำกว่าปกติ
“เราไม่อยากเสียมารยาท แต่เจ้ารีบไปเสียตอนนี้จะดีกว่า ต้องขอบคุณเจ้าที่ทำให้เราอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาแล้ว”
“ฝ่าบาท ไฉนพระองค์จึงทำเหมือนการที่จักรพรรดิมีอนุภรรยาสักคนเป็นเรื่องที่ผิดเล่าเพคะ หรือทรงทำเช่นนี้เพราะจักรพรรดินี? บิดาของหม่อมฉันเองก็…”
“พอได้แล้ว” ลูซิโอตัดบทอย่างเย็นชา “ไหนๆ ก็พูดถึงบิดาของเจ้าแล้ว หากเจ้าไม่กลับไปเสียตอนนี้ เราเองก็ไม่รู้ว่าจะทำอันใดลงไปบ้าง เราหวังว่าเจ้าจะไม่ทำกิริยาล้ำเส้นเช่นนี้อีก เลดี้ มิฉะนั้นอาจไม่ใช่แค่เจ้าที่เดือดร้อน แต่ยังรวมไปถึงบิดาของเจ้าด้วย”
ท่าทีที่เด็ดขาดของลูซิโอทำให้เลดี้ผมทองสั่นเทิ้มไปทั้งร่างราวกับถูกดูหมิ่น จากนั้นนางก็เดินกระฟัดกระเฟียดออกจากระเบียงไปทันที หลังจากกำจัดความวุ่นวายออกไปได้ ลูซิโอก็ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ทันใดนั้นเขาก็หันไปสบตากับแพทริเซียเข้า
“…”
“…”
วินาทีนั้นต่างฝ่ายต่างตกใจจนพูดไม่ออก คนที่ได้สติขึ้นมาก่อนคือแพทริเซีย นางถอยกายออกไปโดยไม่รู้ตัว ลูซิโอเห็นดังนั้นก็คิดว่าแพทริเซียกำลังเข้าใจผิดจึงรีบวิ่งไล่ตามไป
“จักรพรรดินี เดี๋ยวก่อน จักรพรรดินี!”
“…”
แพทริเซียเพียงแต่หนีเพื่อซ่อนใบหน้าที่แดงระเรื่อจากอีกฝ่ายเท่านั้น ครู่หนึ่งหลังจากนั้นเมื่อนางคิดว่าสลัดลูซิโอได้แล้ว นางก็มาหยุดอยู่ในจุดที่ปลอดคนและพึมพำออกมา
“ทำไมข้าถึงทำแบบนั้นนะ…”
เห็นได้ชัดว่าเขาจัดการสถานการณ์ได้ดี และที่จริงระดับลูซิโอจะมีคนมาให้ท่าก็ไม่แปลก แพทริเซียหอบหายใจพลางกุมอกที่มีหัวใจเต้นระรัวด้วยความระทึกจากตอนวิ่ง เพราะมัวแต่ให้ความสนใจกับการวิ่งหนี ตอนนี้นางจึงเจ็บอกไปหมด ไม่สิ ความเจ็บนี้เป็นเพราะวิ่งจริงๆ หรือ
“ริซซี่…”
ตอนนั้นเองนางก็ได้ยินเสียงที่คุ้นชิน แพทริเซียสะดุ้งโหยงและมองหาเจ้าของเสียง เป็นลูซิโอนั่นเอง
“ฝ่า…บาท เหตุใดจึง…” นางพึมพำโดยไม่รู้ตัว
“ก็เจ้าเข้าใจผิดจนหนีมาแบบนี้” เขาหอบหายใจและกุมมือของแพทริเซียไว้อย่างแผ่วเบา “หากข้าไม่รีบแก้ตัวเสียตั้งแต่ตอนนี้”
“…”
“ข้าจะกลายเป็นคนเลวที่โกหกเจ้าน่ะสิ”
“…ไม่จำเป็นต้องแก้ตัวหรอกเพคะ”
“หรือว่า…เจ้าผิดหวังในตัวข้าแล้ว แต่ริซซี่ ข้า…”
“เปล่าเพคะ ไม่ใช่แบบนั้น” แพทริเซียปฏิเสธอย่างเด็ดขาด “หม่อมฉันเห็นทุกอย่าง ดังนั้นพระองค์จึงไม่จำเป็นต้องอธิบายสิ่งใดเพคะ”
“อ้อ…” ลูซิโอเอ่ยถามแพทริเซียด้วยสีหน้าตื้นตันใจอย่างประหลาด “ขอกอดได้หรือไม่”
“…ตรงนี้เลยหรือเพคะ”
“ไม่ใช่ๆ ไม่ใช่กอดแบบนั้น”
เมื่อแพทริเซียรู้ว่าตนเข้าใจความหมายของคำว่า ‘กอด’ ผิดไปก็หน้าแดง ลูซิโอเห็นดังนั้นก็ยิ้มเจ้าเล่ห์พลางกอดแพทริเซียไว้หลวมๆ เมื่ออยู่ในอ้อมกอดของลูซิโอ แพทริเซียก็มีแต่จะหน้าแดงมากยิ่งขึ้น
“เจ้าหวัง ‘สิ่งนั้น’ อยู่หรือ” เขาเอ่ยถามเบาๆ อยู่เหนือศีรษะของนาง
“…”
ผู้ชายคนนี้ต้องกำลังล้อข้าเล่นอยู่แน่ๆ แพทริเซียกัดริมฝีปากด้วยสีหน้าแดงเถือก ลูซิโอยกมือขึ้นสัมผัสที่ริมฝีปากของแพทริเซียเพื่อหยุดการกระทำนั้นทั้งที่มองไม่เห็น ริมฝีปากตัวเองก็กัดไม่ได้ แพทริเซียจึงชักจะโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว
“แกล้งหม่อมฉันหรือเพคะ”
“จะเป็นไปได้อย่างไร”
ลูซิโอยิ้มทะเล้นและจุมพิตที่หน้าผากของหญิงสาว
“จักรพรรดินีที่รักของข้า ขอข้าเต้นรำกับเจ้าสักเพลงเพื่อเป็นการไถ่โทษได้หรือไม่”
เสียงกระซิบของเขาหวานล้ำจนแพทริเซียอดยิ้มบางๆ ไม่ได้ นางเอ่ยตอบแผ่วเบา
“ได้ตามพระประสงค์เพคะ”
เสียงดนตรีจากในงานดังพอที่จะทำให้ทั้งคู่ไม่ต้องผละไปจากระเบียงเพื่อเต้นรำ ลูซิโอรู้ดีว่าระเบียงที่ปลอดคนทำให้แพทริเซียสบายใจมากกว่า และตัวเขาเองก็คิดว่าเป็นเช่นนี้ดีแล้ว เขาไม่ต้องการให้ใครเข้ามาขัดจังหวะในช่วงเวลานี้ แน่นอนว่าการแสดงให้ทุกคนเห็นอย่างชัดเจนว่าแพทริเซียเป็นของเขาก็สร้างความรื่นรมย์ให้ได้ไม่น้อย แต่ถึงอย่างไรความรู้สึกของแพทริเซียก็สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด
“…”
ลูซิโอวางมือลงบนสะโพกของแพทริเซียเงียบๆ แพทริเซียจึงยกมือที่สั่นเล็กน้อยของตนขึ้นไปวางบนไหล่ของอีกฝ่าย ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่ทั้งคู่ไม่ได้เต้นรำด้วยกันเช่นนี้ แพทริเซียเริ่มขยับเท้าทั้งใบหน้าซับสีเลือด
ลูซิโอเองก็ขยับตัวไปพร้อมกัน แม้เสียงดนตรีที่ดังลอดออกมาจากงานจะไม่นับว่าดังมากนักแต่ก็ดังมากพอสำหรับคนทั้งคู่ ลูซิโอและแพทริเซียเริ่มเต้นรำเข้าจังหวะของกันและกัน ไม่หนักไม่เบา พวกเขารู้สึกถึงเหงื่อในมือที่ประสานกันอยู่ และนั่นเป็นหลักฐานว่าแม้จะทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรแต่แท้จริงแล้วกลับตื่นเต้นด้วยกันทั้งคู่ ระหว่างที่เคลื่อนไหวร่างกายไปพร้อมๆ กันนั้นแพทริเซียก็เอ่ยเสียงเบา
“ดีจังเลยนะเพคะที่ไม่มีใคร”
“เจ้าว่าดีข้าก็ว่าดี”
“…”
หยุดพูดอะไรน่าอายแบบนั้นด้วยเพคะ แพทริเซียอยากจะเอ็ดเช่นนั้นด้วยสีหน้าแดงๆ ของนาง แต่บรรยากาศรอบข้างกลับอ่อนโยนเสียจนนางไม่อาจพูดออกไปได้ จึงเลือกที่จะปล่อยผ่านไป นางสูดลมหายใจเงียบๆ และได้กลิ่นน้ำหอมของลูซิโอจางๆ ที่ปลายจมูก เมื่อคิดว่าอีกฝ่ายก็น่าจะได้กลิ่นน้ำหอมของนางเหมือนกัน ใจของแพทริเซียก็เกิดความรู้สึกที่แปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูกจนต้องก้มหน้าเพื่อซ่อนใบหน้าที่แดงระเรื่อยิ่งขึ้น ลูซิโอเห็นดังนั้นก็เอ่ยถามอย่างประหลาดใจ
“เป็นอะไรไป ริซซี่? ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า หน้าเจ้าแดงมาก”
“…ไม่เป็นไรเพคะ ฝ่าบาท”
แม้คำตอบที่ได้รับจะยังมีจุดที่น่ากังขาแต่ลูซิโอก็ต้องหยุดความสงสัยอย่างช่วยไม่ได้ การเต้นรำเร่งจังหวะขึ้นเรื่อยๆ ทั้งสองเคลื่อนไหวประสานกันอย่างสมบูรณ์จนลืมความตื่นเต้น ระหว่างที่เต้นรำอยู่นั้นแพทริเซียก็รู้สึกสุขใจ เดิมทีนางไม่ได้ชื่นชอบการเต้นรำเท่าใดนัก แต่ถึงกระนั้นการเต้นรำในครั้งนี้กลับทำให้นางสนุกสนานอย่างประหลาด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสถานที่หรือเพราะคู่เต้น แพทริเซียครุ่นคิด แต่ในขณะนั้นเองนางก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำดังมาจากด้านบน
“อย่าคิดเรื่องอื่น”
“…”
“สนใจแต่ข้าก็พอ”
น้ำเสียงกึ่งบังคับกึ่งขอร้องดังขึ้นข้างหู แพทริเซียกระซิบตอบรับอีกฝ่ายเบาๆ ที่อกของเขาและหมุนตัวช้าๆ ผมที่ถูกเกล้าสูงคลายออกและหลุดออกมาบางส่วนแต่ก็ไม่มีใครสนใจ บางทีลูซิโออาจจะคิดว่าแม้แต่ในสภาพนี้แพทริเซียก็ยังสวย
“เฮ้อ…”
และแล้วเพลงก็จบลง แพทริเซียเงยหน้ามองลูซิโอในสภาพใบหน้าแดงก่ำผมเผ้าไม่เรียบร้อย พวกเขาอยู่ใกล้กันมาก ในตอนนั้นเอง ทั้งสองก็มอบจูบให้แก่กันโดยไม่ต้องมีใครเป็นฝ่ายเริ่มก่อน การเต้นรำเมื่อครู่ได้ลบความประหม่าและความหวาดระแวงในใจของแพทริเซียไปจนหมดสิ้น
“อือ…”
การจูบที่รุนแรงกว่าปกติทำให้แพทริเซียครางผะแผ่ว ลูซิโอกระชับอ้อมแขนรั้งร่างบางเข้ามาชิดราวกับเสียงนั้นเป็นตัวกระตุ้น
“ตรงนี้…ไม่ได้เพคะ” แพทริเซียเอ่ยเสียงแผ่ว
“ข้ารู้” เขายังคงจูบต่อไปพลางกระซิบ “เนื้อในของเจ้ามีเพียงข้าเท่านั้นที่ดูได้ ไม่ยอมให้ใครหน้าไหนได้เห็นหรอก”
“…”
คำพูดแสดงความเป็นเจ้าของนั้นทำให้แพทริเซียพลันปิดปากอีกฝ่ายด้วยปากของตัวเองทันทีพลางคิดในใจว่าโชคดีจริงๆ ที่ตรงนี้เป็นระเบียง ไม่ใช่ในงานเลี้ยง นิ้วเรียวกำปกเสื้อของร่างสูงแน่นขึ้นเล็กน้อย
จูบนั้นดำเนินต่อไปอย่างยาวนาน
***
“ไม่เห็นจักรพรรดินีเลยนะ”
เปโตรนิยาที่เพิ่งเต้นรำกับรอธซีเสร็จถามหาแพทริเซียอย่างฉงนสงสัย ได้ยินดังนั้นรอธซีก็เอ่ยตอบเสียงเย้า
“จักรพรรดินีอาจจะกำลังมีช่วงเวลาดีๆ กับจักรพรรดิอยู่หรือเปล่าครับ นิล”
“อุ๊ย” เปโตรนิยาส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ “ทั้งๆ ที่ปฏิเสธขนาดนั้น”
“ความรักก็แบบนี้แหละครับ แม้แรกๆ จะไม่ชอบ แต่สุดท้ายก็ถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกดี…”
“แต่พวกเราไม่ได้เป็นเช่นนั้นนะคะ”
“นั่นเป็นเพราะเราไม่ต้องประสบเคราะห์ร้ายน่ะสิครับ กลับกัน ฝ่าบาททั้งสองพระองค์ทรงลำบากมามากทีเดียว” รอธซีพูดจบก็จูบแก้มเปโตรนิยาเบาๆ และกระซิบว่า “ค่ำแล้วนะครับ นีย่า”
“นั่นสิคะ” เปโตรนิยาพึมพำ “ค่ำแล้ว ไม่รู้งานเลี้ยงจะเลิกเมื่อใด”
“น่าจะปิดท้ายด้วยพลุตอนเที่ยงคืนกระมังครับ ก่อนหน้านั้น…”
รอธซีกระซิบที่ข้างหูของเปโตรนิยาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“ออกไปข้างนอกกันสักครู่ไหมครับ”