“คนในรถม้าเมื่อตอนนั้น! ใช่ไหมคะ?”
เขาคือลอร์ดที่นั่งอยู่บนรถม้าคันที่ชนกับรถม้าของนางระหว่างทางไปคฤหาสน์เอเฟรนีนั่นเอง ขณะที่เปโตรนิยาคิดจะทักทายเขาด้วยความยินดี นางก็พบว่าเขาเป็นฝ่ายยื่นมือมาให้ก่อน ชายหนุ่มพูดกับนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“จับมือนี้แล้วลุกขึ้นก่อนเถอะครับ เลดี้”
“เอ่อ…ค่ะ”
ในตอนนั้นเองเปโตรนิยาก็นึกอายจึงรีบทำตามที่อีกฝ่ายบอก นางวางแก้วค็อกเทลที่หกคว่ำไว้บนโต๊ะก่อนจะมองผู้ชายตรงหน้า เขาสูงกว่านางประมาณหนึ่งคืบ มองปราดเดียวก็รู้ว่าเติบโตมาภายใต้การอบรมของตระกูลชั้นสูง แน่นอนว่าภาพของเปโตรนิยาในสายตาของเขาก็เป็นเช่นเดียวกัน
“ต้องขออภัยเลดี้ ข้าควรจะระวังให้มากกว่านี้ ทำให้เลดี้ต้องลำบากแล้ว”
“หามิได้ค่ะ ลอร์ด ข้าเองก็ไม่ระวังเช่นกัน เช่นนั้นข้าขอตัว…”
ในตอนนั้นเองเปโตรนิยาก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา นางจึงมีท่าทีระมัดระวังตัว แต่ฝ่ายชายกลับเด็ดเดี่ยวกว่าที่คิด
“เดี๋ยวครับ”
เขารั้งเปโตรนิยาไว้ นางเงยหน้ามองอีกฝ่ายอย่างงุนงง เขายิ้มอย่างอ่อนโยนและกล่าว
“นี่คงเป็นพรหมลิขิตนะครับ”
“…”
“โบราณว่าไว้ เพียงชายเสื้อเฉียดกันก็นับเป็นพรหมลิขิตแล้ว”
‘เชื่อเรื่องแบบนั้นด้วยหรือ’
เปโตรนิยาหัวเราะเยาะอีกฝ่ายในใจ ชายผู้นี้ต้องยังไม่เคยลิ้มรสความโหดร้ายของโลกใบนี้เป็นแน่จึงได้คิดไปเองเป็นตุเป็นตะ แม้นางจะคิดเช่นนั้น แต่ชายหนุ่มก็ยังคงแนะนำตัวอย่างหนักแน่น
“ข้า รอธซี ไอล์ ลี เบรดิงตันครับ”
“…”
อ้อ บุตรชายคนโตของตระกูลเคานต์เบรดิงตันที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศนี่เอง เปโตรนิยาไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนว่าควรจะแนะนำตัวกับคนที่เพิ่งพบหน้ากันเพียงสองครั้งหรือไม่ แต่ในเมื่อเขาแนะนำตัวแล้ว นางจะจากไปเสียเฉยๆ ก็กระไรอยู่ สุดท้ายหญิงสาวก็สูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเอ่ยนามของตน
“เปโตรนิยา ลอว์รา เลอ โกรเชสเตอร์…ค่ะ”
เปโตรนิยาแนะนำตัวด้วยความระแวง ก่อนจะกล่าว ‘เช่นนั้นข้าขอตัว…’ เพื่อจะขอปลีกตัวออกไปจริงๆ เสียที แต่น่าเสียดายที่รอธซีเมินความต้องการของนางอย่างง่ายดาย
“เอ่อ เดี๋ยวก่อนครับ”
“…”
อะไรอีกล่ะ…ปล่อยข้าไปเถอะ เปโตรนิยามองเขาด้วยสีหน้าที่เริ่มส่อแววหงุดหงิดใจ แต่สีหน้าของรอธซีกลับอ่อนโยนเสียจนเปโตรนิยาไม่อาจแสดงความรำคาญใจได้เกินสามวินาที เปโตรนิยาเหม่อลอย ทั้งชีวิตนางไม่เคยเห็นมุมอ่อนโยนเช่นนั้นของผู้ชายมาก่อน
“ชุดของเลดี้เปื้อน…” น้ำเสียงของรอธซีเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
“…”
“หากปล่อยเลดี้ไปเช่นนี้ ข้าคงรู้สึกผิดมาก”
“เอ่อ ไม่เป็นไรเลยค่ะ…”
“แต่ข้าเป็นครับ”
รอธซีดื้อดึง เปโตรนิยามองเขาด้วยสีหน้างุนงงปนรำคาญ ปากก็พร่ำพูดว่า ‘ไม่เป็นไร’ จนในที่สุดรอธซีก็ยอมยกธงขาว
“ช่างเป็นเลดี้ที่ดื้อรั้นจริงๆ นะครับ”
“ค่ะ ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น”
“ข้าไม่ใช่คนน่าสงสัยเสียหน่อย…”
“ข้าก็ไม่เคยบอกว่าท่านเป็นคนน่าสงสัยนะคะ ลอร์ด”
“เช่นนั้นไยจึงเอาแต่หลบเลี่ยง… ข้าเพียงแต่รู้สึกผิดต่อเลดี้เท่านั้นจริงๆ นะครับ”
“…”
เปโตรนิยาหลับตาด้วยความเหนื่อยใจและลืมตาขึ้น สุดท้ายนางก็เลือกที่จะรับฟังคำพูดของคุณชายขี้สงสัยและช่างเอาใจใส่คนนี้
“ก็ได้ค่ะ ลอร์ด ท่านต้องการอะไรจากข้ากันแน่คะ…” นางถาม
ข้าชักจะสงสัยขึ้นมาแล้วเหมือนกัน ได้ยินดังนั้นรอธซีก็ฉีกยิ้มกว้างอย่างเบิกบาน อา ชายคนนี้ช่างเหมาะกับรอยยิ้ม เปโตรนิยาคิดเช่นนั้นระหว่างที่รอคำตอบจากอีกฝ่าย
“ก่อนอื่นข้าจะชดใช้เรื่องชุดเดรสที่เลดี้สวมในวันนี้ให้ครับ”
“…ชุดสีเข้มนะคะ คงไม่เป็น…”
เปโตรนิยาตั้งใจจะปรามแต่สุดท้ายนางก็หยุดคำพูดของตัวเองไว้ ปล่อยให้เขาทำอะไรที่อยากทำไปดีกว่า เรื่องจะได้จบๆ ไป
“ค่ะ เช่นนั้นส่งชุดไปที่คฤหาสน์มาร์ควิสโกรเชสเตอร์…”
“ยังมีอีกเรื่องครับ”
“…อะไรหรือคะ”
สิ้นคำถามของเปโตรนิยา รอธซีก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนที่สุดในโลกและคุกเข่าลงข้างหนึ่งต่อหน้าหญิงสาว เมื่อสายตาอยู่ในระดับที่สูงกว่า เปโตรนิยาก็ทำตัวไม่ถูก ในตอนนั้นเองเสียงนุ่มทุ้มของเขาก็ดังก้องในหูของนาง
“วันนี้ช่วยเต้นรำกับข้าสักเพลงได้ไหมครับ เลดี้?”
***
แพทริเซียชอบลมเย็นๆ ด้านนอกขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก หากมีร์ยาอยู่ข้างๆ คงจู้จี้บอกให้นางรีบสวมเสื้อหนาๆ ด้วยเกรงว่าจะเป็นไข้หวัด แต่โชคดีที่ตอนนี้อีกฝ่ายไม่อยู่ แพทริเซียเดินเนิบช้าอยู่บนระเบียงพลางใช้มือปิดปากหาว นางเตรียมสถานที่เช่นนี้ไว้สำหรับชนชั้นสูงที่อยากปลีกตัวออกมาอยู่เงียบๆ คนเดียวเหมือนนาง แต่สุดท้ายมันกลับกลายเป็นที่สำหรับคนที่ไม่ชอบงานสังสรรค์อย่างนางไปเสียแล้ว แพทริเซียเดินเตร่อยู่ที่ระเบียงครู่ใหญ่ก็เริ่มรู้สึกหนาวจึงคิดว่าควรจะกลับเข้าไปในงาน
“…ไปแล้ว?”
ในตอนนั้นเองเสียงที่คุ้นเคยก็ทำให้แพทริเซียเกร็งไปทั้งร่าง นั่นเป็นเสียงของโรสมอนด์ หญิงสาวแนบตัวหลบหลังเสาต้นหนึ่งก่อนจะสอดส่ายสายตามองรอบๆ เพื่อมองหาต้นเสียง และพบว่าโรสมอนด์กำลังคุยกับผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ไม่ไกลเท่าไรนัก นางเห็นเพียงแผ่นหลังของโรสมอนด์และด้านข้างของผู้หญิงอีกคน ฝ่ายนั้นมีผมและนัยน์ตาสีน้ำตาลแดงดูโดดเด่น นางแอบฟังบทสนทนาของทั้งคู่พลางคิดในใจว่ารูปลักษณ์ของผู้หญิงคนนั้นช่างดูสะดุดตา
“ใช่ค่ะ ดูเหมือนผู้หญิงคนนั้นจะทำอะไรสักอย่าง”
“บ้าจริง ทำไมจัดการอะไรกันแบบนี้”
“แล้วมันเป็นความผิดข้าหรือคะ ข้าก็บอกตั้งแต่แรกแล้วว่านางเข้าไปตามอำเภอใจ”
“หุบปาก นี่เจ้ากำลังต่อล้อต่อเถียงข้ารึ”
น้ำเสียงของโรสมอนด์ดูโกรธมาก
“หายไปแล้ว? นี่เจ้ายังมีสติอยู่หรือไม่ ไม่รู้หรือว่าถ้าสิ่งนั้นถูกเปิดเผยออกมาจะเกิดอะไรขึ้น”
“ข้าถึงได้หาวิธีแก้ปัญหาอยู่นี่อย่างไรเล่า! ไม่ใช่แค่เจ้าที่จะตาย ข้าเองก็จะตายไปด้วย ถึงอย่างไรเราก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว เพราะฉะนั้นเจ้าก็หุบปากแล้วรีบช่วยกันคิดหาวิธีเสียสิ”
“…”
แม้จะเห็นเพียงด้านหลังแต่นางก็รู้สึกได้ว่าทั้งสองกำลังเขม้นมองกันอยู่ ลงเรือลำเดียวกัน? สองคนนั้นร่วมมือกันทำอะไรอยู่กันแน่ หรือว่าโรสมอนด์จะวางแผนอะไรไว้…
“จักรพรรดินี?”
ครั้นได้ยินน้ำเสียงคุ้นหู แพทริเซียก็หันหลังขวับด้วยความตกใจตาเบิกโพลง ลูซิโอยืนอยู่ตรงนั้น แววตาดูงุนงง
“ทำอะไรอยู่ที่นี่คนเดี…”
“ชู่ว!”
แพทริเซียรีบใช้มือปิดปากอีกฝ่ายและดึงร่างสูงมาหลบหลังเสาด้วยความตกใจ ลูซิโอพลอยตกใจไปด้วยขณะถูกดึงเข้าไปหลบหลังเสาด้วยแรงของหญิงสาว สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยคำถามมากมายแต่ตอนนี้แพทริเซียไม่มีเวลาจะไปสนใจ
“เงียบก่อนเพคะ”
“…”
ในระหว่างนั้นเองบทสนทนาของโรสมอนด์และสาวผมแดงก็จบลง ทั้งคู่รีบร้อนแยกย้ายกันไปเสียแล้ว เท่าที่เห็นดูเหมือนว่าสองคนนั้นไม่ได้ไปมาหาสู่กันอย่างเปิดเผย ในตอนนั้นเองแพทริเซียก็ปล่อยมือที่ปิดปากลูซิโอไว้ ร่างสูงยังคงงุนงง ในขณะที่แพทริเซียบ่นพึมพำด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง
“เพราะฝ่าบาท หม่อมฉันจึงไม่ได้ยินส่วนที่เหลือเลยเพคะ”
“…นี่มันเรื่องอะไรกันหรือ”
“เรื่องสำคัญเพคะ”
แพทริเซียว่าพลางถอนหายใจ ลูซิโอยังคงมีสีหน้าสงสัย เห็นดังนั้นแพทริเซียก็ยิ้มหยันพลางกล่าว
“พวกเราไม่ได้สนิทกันถึงขั้นจะเล่ารายละเอียดให้ฟังมิใช่หรือเพคะ”
“…”
ก็ถูกของนาง ลูซิโอไม่พูดอะไร ในขณะที่แพทริเซียกัดริมฝีปาก ไม่รู้ทำไมนางถึงรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นผู้ร้ายอยู่ฝ่ายเดียว เมื่อบรรยากาศเริ่มอึดอัด นางก็เอ่ยปาก
“…ฝ่าบาทเสด็จมาด้วยเหตุใดหรือเพคะ”
“เห็นเจ้าหายไปนาน เราจึงมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นหรือไม่ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ดีแล้วล่ะ”
“ทรงเป็นกังวลเสียเปล่าแล้วเพคะ”
“เสียเปล่าหรือไม่เราจะเป็นคนตัดสินเอง”
ได้ยินน้ำเสียงเฉียบขาดของอีกฝ่าย แพทริเซียก็เบือนสายตาหนี แปลกคน ในตอนนั้นเองร่างกายของแพทริเซียก็ถูกคลุมด้วยอะไรบางอย่าง นางเงยหน้าขึ้นมาด้วยความตกใจ
“ทรงคิดจะทำอะไร…!” นางแหว
“หากไม่สบายจะลำบากเอาได้ คลุมไว้เถิด”
“…”
ทำไมถึงได้…
“ฝ่าบาท” แพทริเซียเรียกลูซิโอ
“ทำไมหรือ”
“หม่อมฉันมีเรื่องหนึ่งอยากจะถามให้แน่ใจเพคะ”
แพทริเซียถามด้วยสีหน้าจริงจัง “เหตุใดจึงทำเช่นนี้กับหม่อมฉันหรือเพคะ”
“…”
“ทำไมจู่ๆ พระองค์ถึงเป็นเช่นนี้ เรื่องแบบนี้…สำหรับพวกเรามันผิดปกติมิใช่หรือเพคะ”
แพทริเซียพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “นี่เป็นเรื่องที่ควรจะทำกับเลดี้เอเฟรนีมิใช่หรือเพคะ ฝ่าบาทน่าจะทรงจำคืนแรกของเราได้ ผู้ที่ประกาศกร้าวว่าไม่รักหม่อมฉันก็คือฝ่าบาทนะเพคะ”
“…”
ถูกต้องทุกถ้อยคำ ลูซิโอไม่อาจแก้ตัว
“ฝ่าบาททรงทำร้ายจิตใจหม่อมฉัน ทำให้หม่อมฉันถูกอนุภรรยาดูแคลน…”
อา ให้ตายเถอะ ยิ่งพูดยิ่งรู้สึกรันทดใจอย่างประหลาด แพทริเซียกัดริมฝีปากอย่างแรงเพื่อกลั้นน้ำตา
“หม่อมฉันโง่เขลานัก มิอาจเข้าใจเหตุผลที่จู่ๆ ฝ่าบาทก็ทรงทำเช่นนี้หรอกเพคะ”
“…นั่นสินะ” ลูซิโอตอบเบาๆ “เราเองก็โง่เขลาเกินกว่าจะให้คำตอบเจ้าเช่นกัน”
“…อะไรนะเพคะ”
“เราเพียงแต่อยากทำหน้าที่ของสามีให้ภรรยาของเราเท่านั้น”
“เฮอะ หน้าที่ของสามีหรือเพคะ”
แพทริเซียอดหัวเราะออกมาไม่ได้ หน้าที่ของสามีหาได้เป็นเช่นนั้นเพคะ พระจักรพรรดิแห่งมาวินอส
“หน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสามี…”
แพทริเซียเอื้อมมือไปค้ำเสา ขณะที่ลูซิโอถอยหลังชนกำแพงโดยไม่รู้ตัว เขาทอดสายตามองแพทริเซียเขม็ง แพทริเซียยิ้มอย่างเย็นชาและกระซิบข้างหูอีกฝ่าย
“คือการซื่อสัตย์ต่อครอบครัวและทำทุกอย่างเพื่อรักษาความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาไว้”
“…”
“ฝ่าบาททรงทำให้หม่อมฉันไม่ได้เลยสักอย่าง หม่อมฉันพูดผิดหรือไม่เพคะ”
“…จักรพรรดินี”
“ฉะนั้น ใช้ชีวิตอย่างที่ฝ่าบาทต้องการในคืนแรกก็คงไม่เลวร้ายนักหรอกเพคะ ความหมายของหม่อมฉันก็คือ มาถึงขั้นนี้แล้วทรงอย่าแสร้งทำตัวเป็นสามีที่ดี ทำตัวเป็นจักรพรรดิผู้อ่อนโยนเลยเพคะ” แพทริเซียพูดด้วยน้ำเสียงอดกลั้น
“…ถ้าหาก”
“…”
“ถ้าหากเราทำได้ทั้งสองข้อนั้น ถึงตอนนั้นเจ้าจะว่าอย่างไร”
“ไม่เพคะ ฝ่าบาท” แพทริเซียขีดเส้นอย่างเด็ดขาด “ไม่ว่าข้อไหน ฝ่าบาทก็ทำให้หม่อมฉันไม่ได้ทั้งนั้น ความเชื่อใจระหว่างเราสองคนถูกทำลายไปตั้งแต่คืนแรกของการแต่งงานแล้วเพคะ”
“…”
“ต่อให้ทรงปรารถนาและวิงวอน เราก็ไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้แล้วเพคะ และหม่อมฉันเองก็ขอปฏิเสธที่จะทำเช่นนั้น หม่อมฉันได้ให้โอกาสพระองค์ไปแล้วตั้งแต่แรก โอกาสที่พวกเรา…จะอยู่ด้วยกันได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
“จักรพรรดินี”
แม้เขาจะเรียกนางด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดใจ แต่หญิงสาวก็ยังหนักแน่น นางยังคงตำหนิตัวเองเสมอที่ครั้งหนึ่งเคยหวั่นไหวเพราะเขาแม้เพียงเสี้ยววินาที และคอยขีดเส้นกั้นระหว่างนางและเขาเรื่อยมา นี่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง แพทริเซียคิดเช่นนั้น
“โปรดทำตามที่ให้สัญญาไว้ด้วยเพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันขอเพียงมีรัชทายาทหนึ่งเดียวในการสืบบัลลังก์เท่านั้น”
“…”
“…หม่อมฉันทูลลา”
แพทริเซียหันหลังเดินเนิบๆ กลับเข้าไปในห้องจัดเลี้ยง นางได้พูดทุกสิ่งทุกอย่างที่อยากพูดมานานและได้ละทิ้งหัวใจที่ค่อยๆ หวั่นไหวทีละน้อยไปหมดแล้ว ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่นางปรารถนาเรื่อยมา และให้สัญญากับตัวเองว่าจะต้องทำต่อไป แต่ทำไม…
‘น่าหงุดหงิดนัก’
นางถึงรู้สึกไม่พอใจเช่นนี้