บทที่ 513 กลอุบาย? คนตาย?
เมื่อเห็นว่าคนของทางฮ่องเต้ประเทศก่วงส้าอยากจะไปครอบครองสวนแตงโม ทางหลานเยาเยาก็มีคนร้อนรน
“เจ้าสำนัก…”
หลานเยาเยายกมือขัดขึ้นและก้าวเดินอย่างไม่ช้าไม่เร็วไปทางสวนแตงโม
“แตงโมที่นั่นมันวิ่งหนีไม่ได้ สำรวจโดยรอบอย่างระมัดระวัง”
ความปลอดภัยเป็นที่หนึ่ง กลางทะเลทรายเต็มไปด้วยสิ่งลึกลับแปลกประหลาด ในขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยกลิ่นไอของความตาย
ต้องระวังสุขุม ป้องกันเกิดเหตุอันตราย
คนของฮ่องเต้ไปถึงที่สวนแตงโมก่อนจากนั้นรีบทำเส้นแนวป้องกันไม่ให้คนของหลานเยาเยาเข้าใกล้
แม้ว่าในมือของพวกเขาจะไม่มีอาวุธ แต่เพื่อการกินแล้ว บนใบหน้าของเขาบ่งบอกว่าไม่ยอมอ่อนข้อให้แม้เพียงน้อย แต่ละคนดวงตาสีแดงเข้มราวกับจะกินคนอย่างไรอย่างนั้น
“เทพธิดา โปรดอย่าเข้ามาใกล้อีก แตงโมพวกนี้เป็นของฮ่องเต้แล้ว กำลังพลของท่านมีน้ำมีอาหารอย่าได้แย่งกับพวกเราเลย”
คนของเทพธิดาแต่ละคนพกอาวุธมาด้วย ใบหน้าดุดันโหดเหี้ยม จำนวนคนก็มากกว่าพวกเขา พวกเขาหวาดกลัวว่าจะสู้ไม่ได้
แต่เมื่อใช้ไม้แข็งไม่ได้ก็ใช้ไม้อ่อน พวกเขาใช้วาจาในการจู่โจม
หลานเยาเยานำคนไปยื่นตรงหน้าพวกเขา สองมือกอดอก ไม่มองพวกเขาแม้แต่น้อย
มองข้ามพวกเขาไปยังสวนแตงโมที่อยู่ตรงหน้า บนใบและผลของแตงโมพวกนี้ล้วนมีทรายเหลืองอยู่เป็นชั้นๆ
แตงโมบางลูกถูกฝังอยู่ในทะเลทราย โผล่ขึ้นมานิดเดียว บางลูกโผล่ขึ้นมาครึ่งเดียว
ดูท่าแล้วที่พวกเขาไม่เห็นสวนแตงโมไม่ใช่ว่าเพราะไม่มีอยู่ แต่เพราะว่ามรสุมทะเลทรายก่อนหน้านี้ ปกคลุมสวนแตงโมผืนนี้เอาไว้
เมื่อวานมีลมพัดแรง ยามค่ำคืนยังมีลมพัด
ทรายถูกพัดพาไป สวนแตงโมถึงได้ปรากฏขึ้น
เมื่อคิดได้ดังนั้น ดวงตาอันสวยงามของหลานเยาเยามองไปยังเหล่าองครักษ์วังหลวง พูดด้วยน้ำเสียงธรรมดาว่า:
“หลบไป อย่าขวางทาง”
หลานเยาเยาไม่ได้ต้องการครอบครองสวนแตงโมคนเดียว แต่นางต้องตรวจสอบว่าที่นี่มีสิ่งอันตรายหรือไม่
แต่ทว่า!
ทั้งเหนื่อยทั้งหิวทั้งวิตกกังวล ทำให้พวกเขาถึงจุดพังทลาย เมื่อได้ยินนางพูดแบบนั้น แต่ละคนก็พูดถากถาง ตาแดงเย็นชา
“เทพธิดาไม่ใช่ว่าต้องอยู่ที่สูง และคอยอวยพรให้ผู้คนหรอกหรือ? ตอนนี้พวกเราเป็นชาวบ้าน เทพธิดาอยากแย่งแตงโมกับพวกเราชาวบ้านหรือ?”
“พวกท่านมีน้ำมีอาหาร หิวก็ไม่ตาย หรือว่าไม่ควรที่จะสงสารพวกเราที่หิวใกล้จะตายแล้วหรือ?”
“……”
พวกเขาสองสามคนต่างพูดกันเหมือนหมาบ้า
ผู้ที่อยู่ด้านหลังหลานเยาเยาแต่ละคนเบิกตาโต อดไม่ได้ที่ใช้กระบี่ฟันทีละคน ละคน
ปรารถนาดีแต่ไม่ได้ดีจริงๆเลย เจ้าสำนักไม่ได้ต้องการแย่งกับพวกเขา อีกอย่างแตงโมพวกนี้ก็ไม่ใช่ของพวกเขา ทำไมต้องให้พวกเขาครอบครองคนเดียว?
เย่หลีเฉินซึ่งอยู่ด้านข้างกำหมัดแน่น สถานการณ์ที่รุนแรงนี้องครักษ์วังหลวงที่ได้รับการฝึกฝนอบรมมาอย่างเข้มงวด ได้กลายเป็นแบบนี้แล้ว
เขาไม่ได้พูดอะไรเพราะสีหน้าของหลานเยาเยานั้นสุขุม ในใจนางต้องมีความคิดบางอย่าง เพียงแต่เหนื่อยกับองครักษ์วังหลวงที่ใกล้บ้าเหล่านั้น
หลานเยาเยาเลิกคิ้ว ไม่พูดอะไร และใช้นิ้วมือสะกิดยู่หลิวซูที่อยู่อีข้าง
“อะแฮ่ม!”
เดิมคิดว่าหลานเยาเยาไม่พูดอะไรคงกำลังเรียบเรียงคำพูด คิดไม่ถึงว่านางจะให้เขาเอ่ยปากพูด
“อ้า! ครอบครองสวนแตงโม? แท้จริงแล้วใครได้ครอบครองนั้นยังไม่แน่!
อีกอย่างสวนแตงโมนั้นอยู่ในทะเลทรายไม่ได้อยู่ที่ประเทศก่วงส้า ไม่ใช่ของฮ่องเต้ของพวกเจ้า ผู้พบย่อมมีส่วนแบ่ง
ถ้าต้องการแย่ง พวกเจ้าแย่งพวกเราไม่ได้หรอก คิดจะสู้อย่างสุดชีวิต พวกเจ้าก็เอาอย่างงี้แหละ พวกเราขี้เกียจจะขยับ
แต่ว่า! พวกเราไม่สามารถกดดันทำให้คนสิ้นหวัง แบบนี้แล้วกัน แบ่งกันคนละครึ่ง”
ทันทีที่เขาพูดจบ องครักษ์วังหลวงที่อยู่ตรงข้ามรีบโต้ขึ้นมา: “ทำไมต้องแบ่งคนละครึ่ง เห็นอยู่ชัดๆว่าพวกเราเห็นก่อน สวนแตงโมต้องเป็นของพวกเรา”
“เอ่อ!”
ยู่หลิวซูยิ้ม ชำเลืองมองพวกเขาด้วยสีหน้าเยือกเย็น
“นี้ไม่ใช่การเจรจากับพวกเจ้า เพราะพวกเจ้าไม่มีทางเลือก ถอยออกไปเสียดีๆ มิเช่นนั้น……”
พัดขนนกที่เอวถูกหยิบขึ้นมาในชั่วพริบตา ในพัดขนนกได้ซ้อนใบมีดคมไว้ แค่หยิบพัดขนนกขึ้นมา คนที่เหลือล้วนหยิบกระบี่ขึ้นมาทันที
เมื่อเห็นว่าพวกเขาท่าทางเอาจริง
เหล่าองครักษ์วังหลวงตกใจถอยออกไปหลายก้าว ต่างมองตากันแต่กลับไร้หนทาง
ทำได้เพียงแต่ส่งสายตามองไปยังฮ่องเต้ที่เดินมายังข้างพวกเขา
สถานการณ์ตึงเครียด ขันทีที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้ตกใจจนหวาดกลัว แต่เขายังคงกล้าที่จะพูด:
“ไม่ได้ สวนแตงโมเป็นของฮ่องเต้อย่างไรก็ให้ไม่ได้”
ทันทีที่พูดจบ ก็ถูกฮ่องเต้ประเทศก่วงส้าจ้องมองอย่างดุดัน
คิดอะไรสั้นๆ มองไม่เห็นหรือว่าฝ่ายตรงข้ามคนเยอะแค่ไหน?
แบ่งคนละครึ่งแล้วอย่างไร?
อย่างไรเสียพวกเขาก็ไม่เสียเปรียบ
ดังนั้นเขาจึงเอ่ยปากขึ้น: “ในเมื่อไม่มีทางเลือก อย่างนั้นก็คนละครึ่งแล้วกัน!”
พูดจบ!
ฮ่องเต้ประเทศก่วงส้าก็รีบให้คนไปเลือกข้างที่มีแตงโมจำนวนมากที่สุดและผลโตที่สุด ไม่นานสวนแตงโมก็ถูกแบ่งเป็นสองส่วน
หลานเยาเยากำลังนั่งยองๆ ยังไม่ทันได้ตรวจสอบ เพียงแค่นำผ้าวางบนแตงโม และหยิบกระบี่ยาวขึ้นมา เตรียมที่จะผ่าแตงโมออก
ก็เห็นทางด้านของฮ่องเต้ประเทศก่วงส้ามีองครักษ์วังหลวงสามคนวิ่งเข้าไปในสวนแตงโมอย่างบ้าคลั่ง คนหนึ่งเลือกแตงโมลูกใหญ่ ใช้มือผ่าแตงโมเป็นสองซีก อดไม่ได้ที่จะกินอย่างเอร็ดอร่อย
แต่กินไปไม่ถึงสองคำ สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยน ชั่วพริบตาก็อ้วกเอาแตงโมที่กินเข้าไปออกมา มือทั้งสองเกาคอไม่หยุด หลังจากนั้นก็อาเจียนออกมาเป็นเลือด
สุดท้ายก็ล้มลงในสวนแตงโม กลิ้งไปตามพื้นไม่หยุด ปากร้องด้วยเสียงคร่ำครวญทรมาน เลือดที่อาเจียนออกมายิ่งมากขึ้นทุกที สีใบหน้าเปลี่ยนเป็นดำขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ฮ่องเต้ประเทศก่วงส้าที่ยื่นอยู่สวนแตงโม มองฉากนั้น ในใจก็พอใจเป็นอย่างมาก เป็นเขาที่บอกพวกเขาให้ทำอย่างนั้น
คิดไม่ถึงว่าจะแสดงได้เหมือนจริง
ดังนั้น เขาแกล้งเปลี่ยนสีหน้าในทันที ร้องตะโกนดังว่า: “แตงโมนี้มีพิษ กินไม่ได้ พวกเจ้ารีบออกมา”
องครักษ์วังหลวงที่ล้มกลิ้งๆอยู่ที่พื้นไม่ขยับแล้ว ขันทีหน้าซีด ร้องเสียงสูง:
“ตายแล้ว พวกเขาทั้งสามตายแล้ว”
หลานเยาเยาเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว สีหน้าท่าทางไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก สายตามองไปยังผ้าที่ใช้คลุมแตงโมไว้ สายตามองลึกซึ้ง แม้แต่ผ้าก็ไม่ได้หยิบขึ้นมา นางรีบยืนขึ้น ริมฝีปากแดงของนางเผยอกว้างขึ้น
“ไปเถอะ!”
ยู่หลิวซูนัยน์ตาเป็นประกาย มองสีหน้าของฮ่องเต้ประเทศก่วงส้าอย่างละเอียด จากนั้นจึงมองไปยังใบหน้าของหลานเยาเยา นัยน์ตาฉายความสงสัย
แต่ด้านหลังมีคนอยู่เยอะ เขาจึงไม่ได้เอ่ยปากถาม
หลานเยาเยารับรู้ถึงสายตาของยู่หลิวซู มุมปากยกขึ้นเล็กๆอยากที่จะเห็น นางรีบให้คนกลับไปที่รูปปั้นหินทารกยักษ์ก่อน ส่วนตนเองกับเขาค่อยๆ เดินกลับไปช้าๆ
เดินมาถึงครึ่งทางหลานเยาเยาไม่มองเขา พูดขึ้นด้วยเสียงที่ไม่รีบร้อนว่า:
“อยากถามก็ถามมา! เก็บไว้ในใจจะเกิดปัญหาได้”
ยู่หลิวซูและเย่หลีเฉินต่างเป็นคนเฉลียวฉลาด แต่เย่หลีเฉินฉลาดในการจัดการ ส่วนยู่หลิวซูฉลาดในการตรวจสอบ นอกจากนี้ยู่หลิวซูยังมีวิชาการรักษา ดังนั้นสามารถตรวจสอบปัญหาได้ง่าย
“สวนแตงโมนั้น…”
“มีพิษอยู่จริง พูดให้ถูกต้องนั้นไม่ใช่แตงโม แต่เป็นน้ำเต้ายาที่เติบโตอยู่ในทะเลทรายและเจริญมาเหมือนแตงโม ถ้าไม่ดูอย่างละเอียดไม่มีทางมองออก เถาของมัน ใบ ผิว และผลล้วนมีพิษ กินเข้าไปถึงตายได้”