บทที่ 454 ร่างกายมีบาดแผล?
ตอนนี้ถนนหนทางในยามค่ำคืนเงียบเหงามาก โดยเฉพาะหลังจากมีการปรากฏตัวของคนโดนมนต์ดำ เพิ่งจะมืดค่ำ บนถนนก็แทบจะไม่มีคนแล้ว แม้แต่ตลาดกลางคืนที่เบียดเสียดเสียงดังเป็นปกติก็ไม่ครึกครื้นอีก
หลานเยาเยาผ่านบนหลังคาบ้านที่อยู่ข้างถนนไปอย่างรวดเร็วเพียงลำพัง เหลือเพียงเงาจางๆ
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง
จวนแห่งหนึ่งที่เงียบสงัดและป้องกันอย่างเข้มงวดปรากฏอยู่ต่อหน้าสายตา หมอกยามค่ำคืนโจมตีมา หลานเยาเยาอดไม่ได้ที่จะสั่นด้วยความหนาว ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางได้เห็นจวนราชครู
แต่ครั้งนี้มากลับมีความรู้สึกไม่เหมือนเดิม
รู้สึกอึมครึมน่ากลัวมากว่าปกติ นี่คือความรู้สึกที่ไม่เคยมีมาก่อน
นางไม่ได้เข้าไป เพราะนางรู้ นางเข้าไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด ยิ่งไปกว่านั้น ข้างในเตรียมการป้องกันอย่างหนาแน่น แทบจะเหมือนกับจวนอ๋องเย่ ด้านในผู้มีวิทยายุทธสูงมากมาย
นางไม่ใช่คู่ต่อกรของราชครูเทียนเวิง บวกกับ หลังจากที่สวนว่างฮัวสถานที่เลี้ยงบำรุงดอกกระดูกขาวถูกทำลาย คาดว่าเวลานี้ราชครูคงอารมณ์เสียเป็นอย่างมาก หากได้บังเอิญเห็นนางเข้า คงจะต้องฉีกนางเป็นชิ้นขยะแน่
ดังนั้นนางทำได้เพียงรอคอยอยู่ด้านนอกเงียบๆ
ในจวน
ในห้องลับที่มืดมิด ด้านในมีสิ่งของแปลกๆอยู่มากมาย ขวดและกระปุกก็มีมากมาย มีเตาและมียาวิเศษ
เมื่อมองดู ก็มีความรู้สึกประหลาดมากชนิดหนึ่ง
เย่แจ๋หยิ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่งที่ดูพิเศษ โดยมีผ้าสีขาวผูกไว้ที่แขนข้างหนึ่ง ยังมีสิ่งของที่เหมือนกับหลอดของเข็มฉีดยาแทงเข้าไปที่หลอดเลือดของเขา
จากนั้น ด้านหลังต่อด้วยท่อยาวๆเรียวๆ ด้านในมีเลือดไหลอยู่ ปลายหัวอีกด้านของท่อวางภาชนะใส่ของอันใหญ่ไว้ ในภาชนะใส่ของมีเลือดอยู่ส่วนหนึ่ง
เวลานี้!
สีหน้าของเย่แจ๋หยิ่งซีดเผือด ริมฝีปากไร้สีเลือด เหมือนกับว่าเขากำลังหลับตาพักผ่อนร่างกาย และก็เหมือนกำลังสลบอยู่ไม่ได้สติ เพียงแค่ระหว่างหน้าผากบางครั้งขมวดคิ้วเล็กน้อย ถึงได้รู้ว่าเขายังฟื้นอยู่
รู้สึกว่าได้เวลาแล้ว เขาก็เปิดตาทั้งสองข้างขึ้น มองไปทางภาชนะใส่ของที่รวบรวมเลือดของเขา
แต่ทว่าเลือดที่เก็บได้มีปริมาณมากกว่าปกติ ราชครูกลับไม่ให้คนมาหยุด
เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย รออยู่ครู่หนึ่ง ราวกับว่ากำลังพยายามอดทนอะไรอยู่ แต่เขาก็ยังไม่ได้พูดอะไร และก็หลับตาพักผ่อนร่างกายต่อ
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง!
ความวิงเวียนศีรษะของเขา ทั้งใบหน้าที่สง่าผ่าเผยของเขายิ่งซีดขาวเรื่อยๆ ราวกับว่าเลือดถูกดูดออกจนแห้งแล้ว
ทันใดนั้น เขาก็ขมวดคิ้วแน่น ทั้งคนกระอักเลือดออกมาโดยตรง จากนั้นก็ไออยู่ตรงนั้นตลอด
เห็นดังนั้น!
ราชครูที่ศึกษายาวิเศษอยู่ข้างๆมาตลอด หันมามองเขาอย่างเย็นชา ในแววตาที่กลัดกลุ้มสลัวมีความอันตรายที่ไม่สิ้นสุด
เพียงแค่แวบเดียว ราชครูเทียนเวิงก็เคลื่อนสายตาจากไป เคลื่อนมายังภาชนะใส่ของที่ใส่เลือด มองเห็นจุดนั้นแม้ว่าจะมากกว่าปกติมาก แต่สำหรับเขาแล้ว ยังขาดอีกเยอะ
ด้วยเหตุนี้!
ราชครูเทียนเวิงหรี่ดวงตา จากนั้นก็เดินไปทางเขา ถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น :
“เป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
สำหรับเย่แจ๋หยิ่ง แต่ไหนแต่ไรมาราชครูเทียนเวิงไม่ได้เห็นเขาเป็นคน ตั้งแต่ที่รู้ว่าเลือดของเขาพิเศษเป็นต้นมา ก็ช่วยชีวิตเขา และรับเขาเป็นลูกศิษย์ ตั้งแต่เริ่มจนจบเป้าหมายก็เพื่อเลือดของเขา
เพราะว่าเลือดของเขา จึงทำให้เขากลั่นยาวิเศษที่สามารถยืดอายุได้ มิฉะนั้น ในยุคสมัยนี้ผู้ที่สามารถมีชีวิตอยู่ถึงอายุร้อยปีมีน้อยเป็นอย่างยิ่ง และเขาก็เป็นผู้ที่อายุเกือบจะร้อยปีแล้ว ยังมีร่างกายที่แข็งแรง เป็นผู้มีพลังกระจ่างใส
แต่ทว่า……
แม้ว่าเป็นเช่นนี้
เขาก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ของอาจารย์กับลูกศิษย์ต่อเย่แจ๋หยิ่งมากเท่าไหร่ มีบางคราวเขารู้สึกว่าชะตาของเย่แจ๋หยิ่งผู้นี้ไม่สามารถที่จะประเมินได้ ก็ทำให้เขาแอบเป็นกังวล
ก่อนหน้าที่ความรู้สึกเช่นนี้จะเกิดขึ้น เขาก็ต้องการให้เย่แจ๋หยิ่งตายแล้ว
เพียงเพราะเลือด เขาจำเป็นต้องไว้ชีวิตเขา รอจนเขาหายาฉางตานพบ เช่นนั้นเขาก็จะฆ่าเขาโดยไม่ลังเล
“ไม่รู้” เย่แจ๋หยิ่งส่ายหัว เหมือนกับว่าไม่มีเรี่ยวแรงสักนิด
“ช่างเถอะ เห็นว่าที่ร่างกายเจ้ายังมีบาดแผล วันนี้ถึงตรงนี้ก่อนเถอะ!”
สายตาของราชครูเทียนเวิงมองไปที่บนท้องของเย่แจ๋หยิ่ง ก่อนหน้านี้เขาเคยแอบสั่งให้คนตรวจสอบบาดแผลของเขามาก่อน บาดแผลหนักมาก เดิมทีก็เสียเลือดไปมาก วันนี้ยังเอาเลือดออกมามากมายอีก
ไม่ให้เขาบำรุงสักระยะค่อยดูดเลือด คาดว่าคนก็ตายแล้ว
หลังจากที่เย่แจ๋หยิ่งทำมือเคารพเงียบๆ จึงได้ดึงท่อที่แทงเข้าไปในแขนออก จากนั้นค่อยๆลุกขึ้น เดินโซเซสองสามก้าว จึงได้ขอตัวกับราชครูเทียนเวิง
นอกจากห้องลับ
ชายหนุ่มอวดดีรูปงามผู้หนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้โบราณ เขาก็คือหลานชายรุ่นที่ห้าของราชครูเทียนเวิง ด้านข้างยังมีคนติดตามสองคน คนติดตามสองคนนั้นพยุงคนผู้หนึ่งเป็นผู้ที่มีบาดแผลไปทั่ว
หลานชายรุ่นที่ห้าราชครูเปิดปากพูด :
“ท่านนี้คือท่านพ่อของคุณชายเหลียงเฉิน ราชครูบอกว่า คิดถึงคุณความดีที่ท่านได้มอบเลือดให้สองสามปีนี้ จึงมอบคนผู้นี้ให้ท่าน
อ๋องเย่ ราชครูให้ข้าเตือนท่าน ท่านต้องจำไว้ คนปล่อยได้ก็จับได้ ไม่ว่าผู้ใดก็หนีไม่พ้นเงื้อมมือของเขา หากว่าท่านทำเรื่องอะไรที่ผิดต่อราชครู
อย่าพูดถึงคนเหล่านี้ แม้แต่คนข้างกายท่าน กระทั่งชีวิตของท่านเอง ราชครูก็ล้วนไม่สามารถปล่อยไว้ได้”
แววตาของเย่แจ๋หยิ่งเย็นชา เหลือบมองคนบนเก้าอี้ไม้โบราณผู้นั้นแวบหนึ่ง ส่งเสียงไม่พอใจอย่างเย็นชาออกมาเสียงหนึ่ง หมัดที่ได้กำไว้แน่นขณะอยู่ในห้องลับ เวลานี้ค่อยๆคลายออก น้ำเสียงเย็นชาดังปกติ
“เหอะ เรื่องของข้าไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะมายุ่ง กลับเป็นเจ้า อย่าทำให้ราชครูจับจุดอ่อนได้เด็ดขาด ไม่เช่นนั้น เจ้าจะตายอยู่ด้านหน้าของข้า”
คำพูดนี้ซ่อนความหมายที่ลึกซึ้งไว้ ไม่ต้องพูดพวกเขาสองคนก็รู้อยู่แก่ใจ
เห็นคนผู้นี้โกรธจนเส้นเลือดเขียวปูดบวม ริมฝีปากบางๆของเย่แจ๋หยิ่งยิ้มขึ้นเล็กน้อย สะบัดแขนเสื้อแล้วจากไปโดยตรง
คนผู้นั้นเห็นเย่แจ๋หยิ่งยังคงมีท่าทีที่ไม่เห็นใครในสายตาทำตัวสูงส่ง และเขาเองไม่ว่าอย่างไรก็เทียบไม่ได้ จึงได้ตบเก้าอี้ด้วยโทสะ
“ก็เพียงแค่ท่านอ๋องที่ขายเลือดเพื่อขอชีวิตผู้หนึ่งก็เท่านั้น เจ้ามีอะไรให้โอหังนัก? ข้าถึงจะเป็นผู้ที่จงรักภักดีต่อราชครูที่สุด คอยดูเถอะ ต้องมีสักวันที่ข้าจะฆ่าเจ้าด้วยมือตัวเอง”
เพียงแค่…….
แม้ว่าเขาจะเป็นหลานชายรุ่นที่ห้าของราชครูเทียนเวิง แต่ไม่ว่าเขาจะทำดีเท่าไหร่ ราชครูก็ล้วนดูถูกเขา
เป็นความน่าเกลียดชัง
ไม่นาน ประตูใหญ่ที่มืดทึบของราชครูเทียนเวิงเปิดออก เย่แจ๋หยิ่งสวมชุดคลุมสีดำยาวเดินออกมา มือทั้งคู่ของเขาวางไว้ด้านหลัง เดินเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ท่าทางหยิ่งผยองเหมือนดั่งปกติที่ผ่านมา
รอจนเขาเดินลงบันได มาถึงทางตรงกลาง ก็เห็นคนสองคนในจวนพยุงชายวัยกลางคนผู้หนึ่งหยุดลง แล้วถีบชายวัยกลางคนผู้นั้นไปที่ข้างเท้าของเย่แจ๋หยิ่งอย่างไม่เกรงใจ
“ปึง……”
ชายวัยกลางคนก็ไม่ได้ร้องออกเสียง เพียงแต่ส่งเสียงอัดอึดไม่พอใจออกมาเสียงหนึ่ง ลุกขึ้นอย่างสั่นเทา สองคนสบตากัน ชายวัยกลางคนอยากพูดอะไร เย่แจ๋หยิ่งหันไปส่ายหน้ากับเขาเล็กน้อยโดยตรง
จากนั้น ก็เดินจากไป
ชายวัยกลางคนโซซัดโซเซตามอยู่ด้านหลังเขามาตลอด หลังจากที่เลี้ยวมาสองสามโค้ง รถม้าสีดำก็ปรากฏขึ้นด้านหน้าของพวกเขา
ทันใดนั้น!
หลังจากกลางอากาศมีความเคลื่อนไหวระยะหนึ่ง ก็กลับสู้ความเงียบสงบอีก
เย่แจ๋หยิ่งจึงได้ให้ชายวัยกลางคนขึ้นรถม้าก่อน ชายวัยกลางคนอยากพูดอะไร เย่แจ๋หยิ่งกลับบอก : “กลับจวนค่อยพูด”
“แฮ่มแฮ่มแฮ่ม……”
เย่แจ๋หยิ่งไอสองสามเสียงด้วยความเจ็บปวดอย่างฉับพลัน สีหน้าก็ยิ่งขาวซีดไปอีก
“อ๋องเย่ ท่าน……”
ชายวัยกลางคนที่ได้นั่งในรถม้าแล้ว เมื่อได้ยินเสียงไอ รีบเปิดหน้าต่างบนรถม้าทันที แววตาเป็นกังวลอย่างที่สุด
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็ดี”
เย่แจ๋หยิ่งกำลังคิดจะใช้กำลังภายในเพื่อปรับลมปราณของตัวเอง ดวงตาก็หรี่ลง คนทั้งคนเย็นยะเยือกขึ้นมาในพริบตา
“ใคร?”