บทที่ 271 เทพธิดาช่วยชีวิต
และนี่ยังเป็นการแข่งขันล่าสัตว์ที่ราชวงศ์ได้จัดขึ้น เหยื่อที่นักล่าล่าได้นั้นถือได้ว่าสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้ อีกทั้งยังมีผู้ได้รับรางวัลที่หนึ่งพร้อมกันจำนวนสองคน
ขุนนางประวัติศาสตร์ที่ทำการบันทึก ต้องจารึกการแข่งขันล่าสัตว์ที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์แน่นอน
“หายไป? อ๋องเย่ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ในเมื่อรู้แล้ว ทำไมไม่บอกตั้งแต่แรก”
มองสีหน้าคล้ายเยาะเย้ยของเย่แจ๋หยิ่ง ใบหน้าของฮ่องเต้จากที่เป็นความสงสัยก็ค่อยๆหน้าตึงขึ้น แต่แววตาล้ำลึกเหมือนมีบางสิ่งต้องการหารือ
“ข้าแค่คิดไม่ถึงว่าเหยื่อที่เทพธิดาล่าได้จะเหมือนกับข้า เพราะฉะนั้นจึงอยากจะถามให้แน่ใจอีกครั้ง มีคนอยู่ที่อันดับหนึ่งพร้อมข้า ข้าไม่โกรธ แต่เสด็จพี่ไยต้องโมโหด้วย?”
ประโยคนี้ไม่ว่าจะฟังในแง่ไหนก็มีนัยซ่อนอยู่
ผู้คนที่ไม่เข้าใจเหตุผล ฟังแล้วรู้สึกงงงวย
แต่ฮ่องเต้ฟังเพียงชั่วครู่ก็เข้าใจแล้ว แต่เขาไม่สามารถทำอะไรได้ ทำได้เพียงมองเย่แจ๋หยิ่งตาปริบๆ
เย่แจ๋หยิ่งมองเขาที่กำลังใช้สายตาที่ดูถูก และกำลังเหยียบย่ำแผนการในใจเขาอย่างไม่ปรานี
มือที่อยู่ใต้ชุดมังกรกำหมัดแน่น กำแน่นจน……
จากนั้นไม่รู้ว่าเพราะอะไร ฮ่องเต้รู้สึกผ่อนคลายกะทันหัน มุมปากเผยรอยยิ้มขึ้นมา
“เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ทั้งยังเกี่ยวพันถึงหน้าตาของราชวงศ์ ข้าจะไม่โมโหได้อย่างไร”
“หน้าตา”
เย่แจ๋หยิ่งสีหน้าจริงจัง วางถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะอย่างรุนแรง ทำให้น้ำชาหกกระจาย เลอะไปทั้งโต๊ะ
“หน้าตาของท่านมีประโยชน์อะไร”
ไม่ใช่เพราะผลประโยชน์ของตัวเองหรอกหรือ เรื่องอะไรก็ทำได้
“เจ้า……”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกเย่แจ๋หยิ่งประชดประชันต่อหน้าอย่างเปิดเผย และยังทำต่อหน้าทุกคนด้วย
ฮ่องเต้สีหน้าเขียวสลับขาว เส้นเอ็นที่ลำคอก็เด่นชัดขึ้น แต่กลับทำได้เพียงมองเย่แจ๋หยิ่งที่หยัดกายลุกขึ้น จากนั้นก็จากไปอย่างสง่างาม
หลังจากอ๋องเย่ไปแล้ว
ฮ่องเต้ก็กวาดทุกสิ่งทุกอย่างบนโต๊ะกระจายเกลื่อน
“ฮ่องเต้โปรดสงบสติอารมณ์ ระวังพระวรกายด้วย”
เหล่าขุนนางต่างพากันคุกเข่าด้วยความระมัดระวังและวิตกกังวล ทุกคนต่างก้มศีรษะลงต่ำเท่าที่จะทำได้
เห็นสถานการณ์เช่นนี้
หลานเยาเยาเลื่อนสายตามองไปบนโต๊ะที่อยู่ตรงหน้าตน เดิมทีสายตานางได้เล็งขนมชิ้นหนึ่งไว้แล้ว
แต่นางยังไม่ทันได้ลงมือ ขนมก็ดันตกไปอยู่ในมือของคนตะกละที่อยู่ข้างๆ
นางอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปยังโหลวเย่วแวบหนึ่ง
ไม่เข้าใจจริงๆ พ่อนางโมโหออกปานนั้น เหลือแค่กระอักเลือดเท่านั้นแล้ว นางยังมีกะจิตกะใจกินอีก
จากการมองอย่างสำรวจของนาง ในที่สุดโหลวเย่วก็รู้ตัวว่าไม่ปกติ
โหลวเย่วเงยหน้าขึ้นมามองนาง จากนั้นก็มองไปรอบๆ สุดท้ายก็หยุดมองไปที่ร่างของฮ่องเต้
แต่ก็แค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น นางก็เลื่อนสายตาไปยังขนมที่อยู่ในมือ
จากนั้นก็ถอนหายใจหนึ่งเฮือก เอ่ยเสียงต่ำว่า
“หากข้าสามารถจากไปอย่างสง่างามเช่นเสด็จอาแล้วละก็คงจะดีไม่น้อย”
ที่จวนยังมีของน่ากินมากมายรออยู่
ฉับพลัน
มองท่าทีของโหลวเย่ว หลายเยาเยาอดไม่ได้ที่จะมีรอยยิ้ม แต่เพียงไม่นานรอยยิ้มนั้นก็ถูกตรึงอยู่บนหน้า
จากนั้น
นางสีหน้าจริงจัง
ไอแห่งความอันตรายรุนแรงได้ปะทะหน้าเข้ามา
แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ไอแห่งความอันตรายนั้นก็ได้อันตรธานไปอย่างรวดเร็ว
ฉับพลัน
ก็ได้ยินเสียงหนึ่งตามมาติดๆ “ฟิ้ว”อาวุธลับชิ้นหนึ่งที่แหลมคมมาก ยิงออกมาจากที่ซ่อน ตรงเข้าไปตรงกลางคิ้วของฮ่องเต้
รวดเร็วแม่นยำรุนแรง และยังมีความเย็นยะเยือกแผ่ซ่านอยู่
“ฮ่องเต้ระวัง……”
“ปกป้องฮ่องเต้……”
“มีนักฆ่า ปกป้องฮ่องเต้”
เสียดายที่อาวุธลับนั้นเร็วเกินไป องครักษ์ใกล้ชิดทั้งหลายยังไม่ทันได้ตั้งตัว อาวุธลับก็มาถึงหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้แล้ว
อย่างไรก็ตาม……
ฉากที่น่าพิศวงได้เกิดขึ้นแล้ว
ทันใดนั้นอาวุธลับได้หยุดนิ่งอยู่บนอากาศก่อนจะถึงระหว่างคิ้วของฮ่องเต้เพียงไม่ถึงหนึ่งเซนเท่านั้น ทุกคนต่างสูดหายใจเป็นจังหวะเดียวกัน
ทุกคนต่างก็มองเห็น อาวุธลับที่อยู่ตรงกลางระหว่างคิ้วของฮ่องเต้ ถูกด้ายสีเงินเส้นบางๆยาวๆพันไว้อย่างแน่นหนา
วินาทีต่อมา อาวุธลับก็ถูกกำลังภายในแรงกล้าสายหนึ่งดึงถอยหลังกลับไป สุดท้ายอาวุธลับก็ตกอยู่ในอุ้งมือของหลานเยาเยา
ชั่วขณะที่ผู้คนตื่นตระหนก งานเลี้ยงในสนามม้าก็อลหม่านไปชั่วขณะ
องครักษ์ใกล้ชิดพระองค์ทั้งหลายปกป้องฮ่องเต้จนแม้แต่ยุงสักตัวยังบินเข้าไปไม่ได้
มีขุนนางและขันทีบางคนรีบซ่อนตัวเองยังใต้โต๊ะตัวเตี้ยอย่างรวดเร็ว ปากยังคงตะโกนร้องไม่หยุดว่า “รีบปกป้องฮ่องเต้ ปกป้องฮ่องเต้”
หลานเยาเยามองงานเลี้ยงที่วุ่นวายด้วยสายตาเยือกเย็น
สังเกตเห็นว่าโหลวเย่วที่อยู่ข้างกายไม่ขยับแม้แต่น้อย อดไม่ได้ที่จะหันไปมองนาง ปรากฏว่านางมองอาวุธลับบนมือของตนอย่างไม่เข้าใจ จากนั้นสายตาก็มีแววแห่งความหวาดกลัววาบผ่านไป
จากนั้นก็ตะโกนร้องขึ้นว่า “ระวัง บนอาวุธลับมีพิษ”
ไม่รู้ว่าเป็นฉากที่เกิดขึ้นมาแล้วตั้งกี่ปี กลับผุดขึ้นในหัวของนางอีกครั้ง
ตอนนั้นมีอาวุธลับเช่นนี้แทงเข้าไปยังตัวของนาง จากนั้นชีวิตนางก็เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างไม่คาดฝันขึ้น จากองค์หญิงผู้สูงส่ง ถูกคนมากมายเคารพบูชา เพียงชั่วข้ามคืนกลับกลายเป็นสัตว์ประหลาดกระหายเลือดที่พบเจอแสงสว่างไม่ได้
โหลวเย่วยื่นมือออกไปอยากจะช่วยตบให้อาวุธลับบนมือหลานเยาเยาร่วงหล่นไป ยื่นมือออกไปได้เพียงครึ่งทางก็ต้องหดกลับไปอย่างเกรงกลัว ปากก็พึมพำกับตัวเอง เอ่ยอย่างหวาดกลัวว่า
“อาวุธลับมีพิษ อย่าเตะต้องมัน”
เจอสถานการณ์เช่นนี้
หลายเยาเยาอดไม่ได้ที่จะหรี่ตาลง จากนั้นก็มองดูอาวุธลับบนมือ
ที่จริงแล้วอาวุธลับนี้ไม่ได้มีพิษ แต่ทำไมโหลวเย่วกลับบอกว่ามี
หรือว่าอาการไม่สบายของนางยังไม่หายดี
หรือบางทีนางอาจจะเคยเห็นอาวุธลับชนิดนี้มาก่อน
ก็เลย
จู่ๆนางก็ยื่นมือออกไปจับมือที่โบกไปมาไม่หยุดด้วยความกลัวของโหลวเย่ว มือวางอยู่ตรงตำแหน่งชีพจรของนางพอดี แค่หยุดอยู่ชั่วครู่เท่านั้น จากนั้นก็วางมือของนางลง
“ฟู่……”
นางค่อยๆผ่อนลมหายใจ
อาการป่วยของโหลวเย่วนั้นหายแล้ว
คิดว่าคงเป็นอาวุธลับที่อยู่ในมือของตนทำให้นางหวนคิดถึงเรื่องน่ากลัวขึ้นมา
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องกลัว อาวุธลับนี้ไม่มีพิษ”
แต่ว่า
อาการของโหลวเย่วยังคงตื่นเต้นอยู่ สายตาเอาแต่จ้องมองอยู่ที่อาวุธลับอันคมกริบ ปากยังคงพึมพำไม่หยุด
“มีพิษ มันมีพิษ เจ้าอาจจะถูกพิษก็ได้ รีบไปหาเยาเยา นางถอนพิษให้เจ้าได้ นางเก่งมาก……”
คำว่าเยาเยา พุ่งตรงเข้าที่กำลังภายในของหลานเยาเยา ทำให้นางรู้สึกตัวสั่นอย่างไม่รู้ตัว
เยาเยา
นอกจากหานแสแล้ว นานแล้วที่ไม่มีคนเรียกนางว่าอย่างนี้
จากนั้น
นางค่อยๆถอนหายใจหนึ่งเฮือก เอ่ยขึ้นอย่างเย็นชาว่า
“นางตายแล้ว หลานเยาเยาตายไปแล้ว”
“และอาวุธลับนี้ก็ไม่มีพิษ พระราชธิดาจาวหยางควรมีสติสักนิด”
เป็นไปตามคาด
คำพูดไม่กี่คำที่นางพูดจบไป โหลวเย่วหยุดนิ่งไม่ไหวติง ตัวแข็งเหมือนท่อนไม้มองมาที่นาง จากนั้นก็มองไปรอบๆ เสียงวุ่นวายต่างๆค่อยๆชัดเจนขึ้นมา
“เยาเยา……”โหลวเย่วประสานสายตากับนางอีกครั้ง ดวงตามีน้ำตารื้นอยู่ เอ่ยเสียงอู้อี้ว่า “นางยังไม่ตาย นางยังมีชีวิตอยู่แน่……”
“หึ”
หลายเยาเยาเก็บอาการ หึเสียงเย็น รอยยิ้มหยาดเยิ้มปรากฏขึ้นบนหน้า
“ไม่มีเหตุผลเอาซะเลย”
พูดจบ นางก็หันสายตามองไปยังฮ่องเต้ ในตามีแววเศร้า
คนที่ทำให้คาดไม่ถึงมากที่สุดคือไทเฮา
ถึงแม้จะมีองครักษ์และสาวรับใช้คุ้มกันนางไว้อย่างแน่นหนา แต่นางกลับดูนิ่งสงบมาก มองไม่เห็นถึงความกลัวเลยแม้แต่น้อย