ไม่ต้องกล่าวถึงว่าเฉิงลู่นั้นจะโกรธขึ้งและร้อนใจเพียงใด หรือต่งซื่อจะชอกช้ำและเศร้าเสียใจเพียงใด เพราะมันทำให้ทั้งนายและบ่าวของตระกูลเฉิงที่ตรอกฉุนอี้ต่างก็ไม่มีใจเฉลิมฉลองปีใหม่เลยสักคน ทางด้านโจวเสาจิ่นเนื่องจากใกล้ถึงปีใหม่แล้ว จึงพักการคัดลอกพระธรรมเอาไว้ก่อน แล้ววาดรูปพระโพธิสัตว์กวนอิมอยู่ในเรือน
โจวชูจิ่นคลี่ยิ้มให้น้องสาว “หยุดพักสักครู่ไม่ได้เลยหรือ”
โจวเสาจิ่นโผเข้าหาพี่สาวพลางเม้มปากกลั้นยิ้ม
โจวชูจิ่นให้สาวใช้ยกดอกดารารัตน์ที่ผูกเชือกสีแดงหลายกระถางเข้ามาประดับในห้องของนาง กล่าวว่านี่คือดอกไม้ที่อวี๋มามาผู้ดูแลเรือนเพาะชำฝากหม่าฟู่ซานนำมาส่งให้พวกนางสองพี่น้องสำหรับฉลองปีใหม่ โจวชูจิ่นมอบให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวนสองสามกระถาง มอบให้ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนสองสามกระถาง ที่เหลือก็นำมาประดับไว้ที่เรือนหว่านเซียง
โจวเสาจิ่นเห็นว่าดอกดารารัตน์เหล่านั้นล้วนออกดอกตูมพร้อมจะเบ่งบาน ทั้งมีรูปทรงที่แตกต่างกันและมีหลากหลายสายพันธุ์ จึงชื่นชอบเป็นอย่างมาก จุดกระถางไฟหลายกระถางในห้องน้ำชา แล้วนำดอกดารารัตน์ทั้งหมดไปวางเอาไว้ในห้องน้ำชา
โจวชูจิ่นยิ้มพลางบอกนางว่า “ภายในห้องร้อนถึงเพียงนี้ เจ้าระวังเถิดจะทำดอกดารารัตน์เฉาตายเสียก่อน”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “ข้าอยากเร่งให้พวกมันผลิบานก่อนวันที่สามสิบให้ทันก่อนวันตรุษจีนเจ้าค่ะ”
โจวเสาชูจิ่นกล่าวอย่างสงสัย “ทำเช่นนี้ก็ได้หรือ”
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางดันตัวพี่สาวออกจากห้องน้ำชา ตอบว่า “ท่านรอดูก็แล้วกันเจ้าค่ะ”
โจวชูจิ่นยิ้มน้อยๆ แล้วไปที่เรือนหานชิว เพื่อตระเตรียมมื้ออาหารสำหรับคืนฉลองวันตรุษจีนเล็กกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยน
ซานเป่าผู้เป็นบ่าวชายข้างกายของเฉิงอี้เดินเข้ามาแจ้งด้วยความหวาดกลัวว่า “ฮูหยินใหญ่ขอรับ คุณชายรองบะ…บอกว่าเขาปวดบั้นท้าย จะอยู่ระ…รับมื้อค่ำฉลองวันตรุษจีนเล็กที่ห้องตนเองขอรับ!”
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนโกรธเกรี้ยวประหนึ่งพระพุทธองค์ลงมาประสูติแล้วปรินิพพาน แผดเสียงกล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นเจ้าก็บอกเขาว่า เขาไม่ต้องมาแล้ว ข้ามีบุตรชายสองคน ขาดเขาไปสักคน ก็ยังมีอีกหนึ่งคน”
ซานเป่าตกใจกลัวจนตัวสั่นงันงก ขานรับอย่างนอบน้อมว่า “ขอรับ” แล้วถอยกลับไปอย่างลุกลน
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนลูบหน้าผากแล้วสะอื้นไห้ต่อหน้าโจวชูจิ่น “ไฉนข้าถึงได้คลอดตัวเช่นนี้ออกมาได้! หากไม่ทำให้ข้าโมโหจนตายก่อนเขาก็จะไม่ยอมเลิกราหรืออย่างไร!”
โจวเสาจิ่นช่วยโน้มน้าวเฉิงอี้ไปหนหนึ่ง ภายหลังแม้เฉิงอี้จะไม่อ้อนวอนขอจี๋อิ๋งจากเฉิงฉืออีก แต่ก็ยังคงปิดปากไม่ยอมสำนึกผิด ตามความคิดเห็นของฮูหยินผู้เฒ่ากวนกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยน พวกเด็กๆ หน้าบางยิ่งนัก เท่านี้ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว ทว่าเฉิงเหมี่ยนกลับไม่ยินยอม กล่าวทำนองว่า “ตอนนี้อายุยังน้อยเพียงเท่านี้ กำลังเป็นเวลาที่ต้องฝึกแยกแยะชั่วดี หากกระทำผิดแล้วไม่รู้สำนึกผิด ภายหลังเมื่อโตขึ้นยังจะเดินจากไปอย่างไร้ซุ่มไร้เสียงโดยไม่รับผิดชอบเช่นนี้ได้อยู่หรือ” เขาจึงสั่งให้เฉิงอี้เขียนคำสำนึกผิด เฉิงอี้โอดครวญอย่างไม่พอใจ เฉิงเหมี่ยนจึงให้บ่าวชายมัดตัวเขาไว้ แล้วโบยด้วยไม้พลองยี่สิบทีที่หน้าห้องโถงของเรือนเจียซู่
เฉิงอี้ร้องไห้ฟูมฟายอยู่ข้างนอก ส่วนฮูหยินผู้เฒ่ากวนกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนต่างร้องห่มร้องไห้ประหนึ่งคนอาบน้ำตาอยู่ข้างใน แต่กัดฟันอดกลั้นไม่ออกไปวิงวอนขอความเห็นใจให้เฉิงอี้เลยแม้สักประโยคเดียวตลอดการโบย
พอโจวเสาจิ่นกับโจวชูจิ่นทราบเรื่องต่างก็รุดไปเยี่ยมเฉิงอี้ เฉิงอี้พูดคุยสรวลเสเฮฮากับโจวชูจิ่น เฉิงเก้า แม้กระทั่งกับเฉิงเจียที่มาเยี่ยมเขา แต่กลับเมินโจวเสาจิ่นเพียงผู้เดียว โจวเสาจิ่นรู้สึกเสียใจเล็กน้อย เฉิงเก้าตบเฉิงอี้ไปฉาดหนึ่งด้วยอยู่ใกล้มือ พลางกล่าว “หากเจ้ายังแยกแยะไม่ออกแม้กระทั่งว่าใครดีกับเจ้าหรือใครไม่ดีกับเจ้าล่ะก็ ต่อไปเจ้าก็จงรั้งอยู่แต่ในเรือนห้ามออกไปที่ไหนอีก กินๆ นอนๆ รอความตายไปก็แล้วกัน กิจการงานในตระกูลทั้งหมดข้าจะเป็นผู้ดูแลจัดการเอง เจ้าจะได้ไม่ผลาญทรัพย์สมบัติอันน้อยนิดที่ท่านพ่อตรากตรำเก็บหอมรอมริบมาอย่างยากลำบากจนสูญสิ้น”
เฉิงอี้ร้อง “โอ๊ย” ทีหนึ่ง กล่าวยืนกรานเสียงแข็งว่า “ชายชาตรีกล่าวคำไหนคำนั้น ข้าบอกไปแล้วว่าจะตัดขาดกับนางไปตลอดชีวิต!”
“เจ้าลองพูดอีกที!” เฉิงเก้าตบเฉิงอี้ไปอีกหนึ่งฉาด
โจวเสาจิ่นรีบห้ามเฉิงเก้า พลางกล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า “พี่ชายเก้าอย่าทำให้มือของท่านต้องเจ็บเลยเจ้าค่ะ หากเขาไม่อยากจะเสวนากับข้า ก็ดีเสียอีกข้าจะได้มีเวลาว่าง พี่ชายของผู้ใดบ้างที่พบสหายของน้องสาวแล้วจ้องจนตาค้างแบบเขา พี่ชายเช่นนี้ไม่มีก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” จากนั้นก็เรียกเฉิงเจีย “เจ้าจะอยู่ที่นี่หรือจะไปกับข้า ข้าจะกลับแล้ว”
เฉิงเจียมาเยี่ยมเฉิงอี้ด้วยเห็นแก่ความเป็นพี่ชายน้องสาวกันเท่านั้น นางกับเฉิงอี้ไม่ถูกกันแม้แต่น้อย ครั้นได้ยินแล้วก็คล้องแขนของโจวเสาจิ่นทันที พลางตอบว่า “แน่นอนว่าต้องไปกับเจ้า ข้าว่าพี่ชายอี้คงต้องนอนพักติดเตียงนานถึงร้อยวันไม่ใช่แค่ครึ่งเดือนแน่ๆ พวกเราก็อย่ารั้งอยู่ที่นี่ให้เขาต้องรำคาญใจเลย” จากนั้นก็ดึงตัวโจวเสาจิ่นเดินออกไป
“เฮ้ๆๆ เจ้ากลับมาอธิบายให้ข้าก่อนเดี๋ยวนี้ ข้าต้องนอนติดเตียงนานขนาดนั้นเชียวหรือ” เฉิงอี้ได้ยินแล้วก็ตื่นตระหนก พลางตะโกนไล่หลังโจวเสาจิ่นกับเฉิงเจียไป
ตั้งแต่เหตุการณ์ไฟไหม้ที่จวนห้าเมื่อคราวก่อน เฉิงนั่วและคนอื่นๆ อยากจะมาเที่ยวหาเขาที่จวนสี่ก็ไม่อาจทำได้ง่ายขนาดนั้นอีกแล้ว หากว่าโจวเสาจิ่นกับเฉิงเจียไม่มาอีก ไม่ใช่ว่าเขาต้องนอนติดเตียงนานร้อยวันคนเดียวอย่างโดดเดี่ยวหรือ
เขาครุ่นคิดแล้วก็รู้สึกหวั่นกลัว
เฉิงเก้ากับโจวชูจิ่นเห็นท่าทีเช่นนี้ของเขาก็ส่ายศีรษะอย่างอดไม่ได้
โจวเสาจิ่นเอ่ยถามขึ้นว่า “บาดแผลของพี่ชายอี้ต้องพักรักษาตัวนานขนาดนั้นเชียวหรือ ข้าได้ยินท่านพี่บอกว่า บาดแผลของพี่ชายอี้ล้วนเป็นแผลบริเวณเนื้อหนังเท่านั้น พักฟื้นสักสิบวันถึงครึ่งเดือนก็หายดีแล้ว…”
“เจ้าช่างซื่อบื้อจริงๆ” เฉิงเจียหัวเราะคิก พลางตอบว่า “ข้าก็แค่โพล่งออกไปเท่านั้น! ใครบอกให้เขาอวดดีเช่นนั้นกันเล่า”
โจวเสาจิ่นรู้สึกเก้อเขิน
เฉิงเจียชวนนางไปเดินชมโคมไฟในช่วงเทศกาลโคมไฟ
หลังจากอยู่ร่วมกินข้าวในคืนฉลองวันตรุษจีนเล็กที่ตระกูลเฉิงแล้ว โจวเสาจิ่นกับโจวชูจิ่นจะกลับไปอยู่ที่บ้านตระกูลโจวจนถึงวันที่สองถึงจะกลับมาคารวะท่านลุงเนื่องในวันปีใหม่
“ข้าไม่รู้ว่าถึงเวลานั้นจะออกไปได้หรือไม่!” โจวเสาจิ่นตอบ “หากว่าข้าออกไปได้ จะไปเดินชมโคมไฟกับเจ้าอย่างแน่นอน”
เฉิงเจียเดินกลับไปอย่างดีอกดีใจ
เมื่อโจวเสาจิ่นกลับถึงเรือนหว่านเซียน จี๋อิ๋งก็รอนางอยู่
“ได้ยินว่าเจ้าไปเยี่ยมเฉิงอี้มาหรือ” นางเอ่ยถาม “เขาเป็นอย่างไรบ้าง”
เรื่องที่เฉิงอี้ตกหลุมรักจี๋อิ๋งถูกลือไปทั่วจวนอย่างเงียบๆ ฉะนั้นเรื่องที่เขาถูกโบยก็ย่อมมีคนนำไปเล่าให้จี๋อิ๋งฟังแล้วอย่างแน่นอน
“ก็ดี!” โจวเสาจิ่นเล่าเรื่องเมื่อครู่ให้จี๋อิ๋งฟัง แล้วกล่าวว่า “ข้าเห็นว่าอารมณ์ของเขาค่อนข้างดี ประหนึ่งว่าไม่ได้วิตกกังวลแต่อย่างใด”
จี๋อิ๋งก็เพียงถามดูเท่านั้น แต่พอได้ยินเช่นนั้นแล้วก็ยกยิ้มกล่าวว่า “ครอบครัวของพวกเจ้านับว่าเป็นครอบครัวที่สั่งสอนกันอย่างเข้มงวด คราวก่อนตอนที่เฉิงเจียซ่านถูกโบย ไม่คาดคิดว่าฮูหยินหยวนจะส่งสาวใช้ข้างกายไปลอบบอกป้าผู้โบยว่าให้เบามือสักเล็กน้อย ไม่แปลกใจที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะไม่พอใจกับฮูหยินหยวนเป็นอย่างมาก จึงต้องการให้พาคุณชายรองรั่งของนายท่านรองกลับมาให้เฉิงจื่อชวนช่วยชี้แนะ แต่ดูเหมือนเฉิงจื่อชวนจะไม่เห็นด้วย”
โจวเสาจิ่นประหลาดใจยิ่งนัก เอ่ยขึ้นว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
จี๋อิ๋งเบิกตาโต พลางตอบว่า “ตอนนี้ข้าอาศัยอยู่ที่เรือนหานปี้ซาน แน่นอนว่าเรื่องราวเหล่านี้ย่อมได้ยินมาจากพวกบ่าวรับใช้น้อยใหญ่เหล่านั้นที่ซุบซิบกันอย่างไรเล่า!”
ดวงตาของโจวเสาจิ่นที่จ้องมองจี๋อิ๋งพลันเบิกกว้างยิ่งขึ้น แล้วกล่าวว่า “ข้าคัดพระธรรมอยู่ที่เรือนหานปี้ซานมาครึ่งปียังไม่เคยได้ยินเลย เจ้าเพิ่งจะเข้ามาอยู่ได้ไม่กี่วัน ไฉนเรื่องอะไรก็รู้ไปหมดเช่นนี้!”
จี๋อิ๋งปรายตามองโจวเสาจิ่นอย่างดูแคลนทีหนึ่ง พลางกล่าวว่า “เจ้ากล้าเทียบชั้นกับข้าอย่างนั้นหรือ”
โจวเสาจิ่นหัวเราะร่า พลางกล่าว “เหตุใดท่านน้าฉือถึงไม่อยากชี้แนะคุณชายรองรั่งหรือ”
ในภาพจำของนาง เฉิงรั่งเป็นคนที่ขลาดกลัวแต่ซื่อสัตย์ผู้หนึ่ง โดยทั่วไปบุคคลเช่นนี้ล้วนอยู่ในโอวาท
หากว่าชี้แนะเฉิงรั่งได้ก็นับว่าไม่เลว อย่างน้อยที่สุดตระกูลเฉิงก็จะมีจวี่เหรินเพิ่มขึ้นมาอีกสักคนหนึ่ง
“อาจจะเป็นเพราะยุ่งยากกระมัง!” จี๋อิ๋งกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ ยิ้มพลางเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ข้าได้ยินว่าพรุ่งนี้เจ้าจะกลับบ้าน และอยู่จนถึงวันที่สองเดือนหนึ่งถึงจะกลับมา เป็นเรื่องจริงหรือไม่”
โจวเสาจิ่นพยักหน้า แล้วยิ้มน้อยๆ พลางตอบว่า “พวกเราตระกูลโจวก็ต้องกราบไหว้บรรพชนเหมือนกัน!”
“เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว” นางถามเสร็จก็หมายจะกลับเลย
โจวเสาจิ่นงงงวย ถามขึ้นว่า “เจ้ามาเพื่อถามเพียงเท่านี้หรือ”
“ใช่แล้ว!” จี๋อิ๋งตอบ “ถึงเวลานั้นข้าจะไปเที่ยวหาเจ้า!”
“อ้อ!” โจวเสาจิ่นส่งจี๋อิ๋งออกจากประตูไป นึกได้ว่าอีกประเดี๋ยวต้องไปรวมตัวรับประทานมื้อค่ำฉลองวันตรุษจีนเล็กที่เรือนเจียซู่ จึงเกล้าผมใหม่เป็นมวยคู่ธรรมดา เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดเพ่ยจื่อผ้าไหมจวงฮวาสีแดงชาด สวมที่คาดผมมุกทอง แล้วไปที่ห้องของโจวชูจิ่น
โจวชูจิ่นเพิ่งจะกลับมา พอเห็นดวงตาของโจวเสาจิ่นฉายแววยิ้มแย้ม ดวงใจที่แขวนค้างอยู่นั้นพลันร่วงลงมา แต่ก็ยังถามนางอย่างระมัดระวังหลายส่วน “ไม่โกรธหรือ”
“ไม่โกรธเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นสบถเสียงหนึ่ง “เขาไม่สนใจข้า ข้าก็จะไม่ให้พี่สาวเจียไปเยี่ยมเขา รอดูว่าใครจะทุกข์ร้อนกว่ากัน”
“เจ้าเด็กน้อย” โจวชูจิ่นอดไม่ได้หยิกหน้าของโจวเสาจิ่น กล่าวอย่างทอดถอนใจ “นี่สิถึงจะถูกต้อง! เขาไม่สนใจเจ้า ก็เป็นความสูญเสียของเขา พวกเรามามีความสุขกัน ปล่อยให้เขาโมโหตายไปเสีย”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นหัวเราะคิกๆ ความทุกข์ใจเหล่านั้นพลันมลายหายไป กล่าวเร่งพี่สาวว่า “รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะเจ้าค่ะ พวกเราต้องไปให้เร็วสักหน่อย”
โจวชูจิ่นให้คนนำกล่องขนมหวานมาให้โจวเสาจิ่น แล้วจึงไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
เนื่องจากจวนสี่มีสมาชิกเพียงไม่กี่คน อีกทั้งพวกโจวเสาจิ่นยังเป็นรุ่นเด็ก มื้อค่ำฉลองวันตรุษจีนเล็กของเรือนเจียซู่จึงไม่แบ่งแยกโต๊ะบุรุษกับสตรี
ตอนที่โจวเสาจิ่นกับพี่สาวมาถึง ชุดตะเกียบถ้วยชามก็จัดวางบนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกำลังสนทนาอยู่กับฮูหยินผู้เฒ่ากวนด้วยรอยยิ้มเริงร่า ทว่าหว่างคิ้วของนางกลับยากจะปกปิดความระทมเอาไว้ได้ พอเห็นสองพี่น้องตระกูลโจว นางรีบฉีกยิ้มพลางเอ่ยทักทาย บอกสาวใช้ให้ยกจานผลไม้มาขึ้นโต๊ะ “…กินผลไม้รองท้องก่อนสักหน่อย ตอนที่พี่ชายเก้าของเจ้าไปเชิญลุงใหญ่ของเจ้า ไม่รู้ว่าลุงใหญ่เจ้านึกครึ้มอะไรขึ้นมา อยากจะทดสอบความรู้ของพี่ชายเก้าของเจ้า เลยไม่รู้ว่าจะทดสอบเสร็จเมื่อใด”
ไม่ได้เอ่ยถึงเฉิงอี้เลยสักนิด
ทุกคนต่างก็ไม่ถามถึงเช่นกัน
โจวเสาจิ่นอมยิ้มน้อยๆ อยู่ในใจ
ท่านลุงใหญ่เหมี่ยนคงกังวลว่ายามที่พี่ชายเก้าไปเยี่ยมตระกูลเหอแล้วถูกนายท่านผู้เฒ่าของตระกูลเหอซักถามความรู้จะตอบไม่ได้กระมัง
นางแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง นั่งลงข้างฮูหยินผู้เฒ่ากวนข้างซ้ายคนหนึ่งข้างขวาคนหนึ่งกับพี่สาวพลางรับประทานผลไม้ไปด้วย นั่งอยู่เป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่าและสนทนากับพวกผู้ใหญ่ไปด้วย
เวลาผ่านไปประมาณสองก้านธูป เฉิงเหมี่ยนกับเฉิงเก้าก็เดินเข้ามาตามๆ กัน
สีหน้าของเฉิงเหมี่ยนเบิกบาน เห็นได้ชัดว่าพึงพอใจกับผลการเล่าเรียนของเฉิงเก้าเป็นอย่างมาก
ผู้คนภายในห้องรีบทำความเคารพเฉิงเหมี่ยน
เฉิงเหมี่ยนกวาดสายตารอบหนึ่ง ท่าทางงุนงงเล็กน้อย จากนั้นสีหน้าก็คร่ำเคร่งขึ้น พลางเอ่ยถามว่า “คุณชายรองเล่า”
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนตอบอย่างระมัดระวังว่า “เขายังบาดเจ็บอยู่เจ้าค่ะ ดังนั้นข้าก็เลยให้เขาพักอยู่ที่ห้อง…”
“เหลวไหลสิ้นดี!” ถ้อยคำของนางยังไม่ทันกล่าวจบ เฉิงเหมี่ยนก็ตวาดเสียงดังครั้งหนึ่ง เส้นเลือดบนขมับปูดโปนพลางกล่าวว่า “เจ้าไปเรียกเขามาหาข้า หากว่าเขากล้าเถียงข้างๆ คูๆ แม้ประโยคเดียว เจ้าก็บอกเขาว่า เช่นนั้นต่อไปเขาก็ไม่ต้องมาอีก วันหลังยามตระกูลเฉิงเซ่นไหว้บรรพชนหรือฉลองปีใหม่ก็ไม่เกี่ยวข้องกับเขาอีกแล้ว…”
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนตกใจจนใบหน้าถอดสี มองไปยังฮูหยินผู้เฒ่ากวน
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนหลุบตาลง ลูบลูกประคำในมือ
โจวเสาจิ่นตกใจอกสั่นขวัญแขวน อดไม่ได้ที่จะไปอิงแอบอยู่ข้างกายพี่สาว
โจวชูจิ่นจับมือของน้องสาวไว้ พลางยิ้มน้อยๆ ปลอบใจนาง
ข้างนอกมีเสียงประหลาดใจระคนยินดีของซื่อเอ๋อร์ดังขึ้นมา “นายท่านใหญ่ ฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยิน คุณชายรองมาแล้วเจ้าค่ะ!”
ทุกคนในห้องต่างรู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง ดวงตาของฮูหยินใหญ่เหมี่ยนก็ยิ่งรื้นไปด้วยประกายน้ำตา เอ่ยขึ้นว่า “ระ..รีบประคองคุณชายรองเข้ามา”
ซื่อเอ๋อร์ไม่รอให้ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเอ่ยสั่งก็เลิกผ้าม่านขึ้นแล้ว
ซานเป่าประคองคุณชายอี้เดินเข้ามา
สีหน้าของเฉิงเหมี่ยนผ่อนคลายลงเล็กน้อย
เฉิงอี้คารวะเฉิงเหมี่ยนอย่างจริงใจ
“พอแล้ว” เฉิงเหมี่ยนปรายตามองเฉิงอี้อย่างเยียบเย็น แล้วบอกฮูหยินใหญ่เหมี่ยนว่า “นำอาหารขึ้นโต๊ะเถอะ!”
บรรยากาศภายในห้องพลันอบอุ่นขึ้นมา
โจวเสาจิ่นจึงรู้สึกว่าบรรยากาศปลอดโปร่งขึ้นมาไม่น้อย
………………………………………………………………….