ใครจะรู้ว่าทันทีที่คำพูดของโจวเสาจิ่นสิ้นเสียงลง จี๋อิ๋งก็ส่งเสียง เฮอะ ออกมาครั้งหนึ่ง และกล่าวว่า “เจ้าล้อข้าเล่นอยู่กระมัง ปีนี้เจ้าอายุเท่าไร เพียงแค่ตะเข็บกากบาทอย่างเดียวเจ้าต้องฝึกฝนนานสามเดือน หากต้องฝึกเรียนวิธีเย็บผ้าทั้งหมดนี้ เจ้าไม่ต้องใช้เวลาเจ็ดถึงแปดปีหรอกหรือ เจ้าดูงานเย็บปักที่เจ้าทำอยู่ตอนนี้สิ ไม่น่าเชื่อว่าฝีมือพอเทียบเท่าหนานผิงแล้ว…” นางกล่าวพลางหยิบผ้าที่ตนเย็บขึ้นมาพิเคราะห์ดูอย่างละเอียดสองสามครั้ง จากนั้นก็กล่าวอย่างภูมิใจเล็กน้อยว่า “อย่างไรก็ตาม ข้าคิดว่าหากนับจากเวลาที่ข้าเรียนเย็บผ้าแล้ว ถือว่าข้าก็เย็บได้ไม่เลวเลยจริงๆ!”
โจวเสาจิ่นร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก
จี๋อิ๋งเร่งเร้านางว่า “เจ้ารีบตัดถุงเท้ามาให้ข้าลองเย็บดูสักคู่หนึ่งเถิด!”
โจวเสาจิ่นจึงกล่าวกับนางอย่างไม่เกรงใจแล้วเหมือนกันว่า “ตอนนี้เจ้ายังต้องฝึกเย็บอีกสักพักถึงจะเย็บถุงเท้าได้”
“ข้าทำถุงเท้าให้ตัวเองสักคู่หนึ่งก็ไม่ได้หรือ”
“ได้สิ!” โจวเสาจิ่นยิ้มพลางตอบ “ขอเพียงเจ้ากล้าสวมมันออกไปก็พอ”
“มีอะไรให้ไม่กล้าสวมมันออกไปกัน” จี๋อิ๋งกล่าวแย้งอย่างไม่เห็นด้วย “ใครจะมาส่องดูเท้าของข้าหรืออย่างไร”
โจวเสาจิ่นหัวเราะคิกๆ แล้วตัดถุงเท้าให้นางคู่หนึ่ง
จี๋อิ๋งก้มหน้าก้มตาเย็บถุงเท้าอย่างตั้งใจ
โจวเสาจิ่นยิ้มออกมาพลางนั่งปักของขวัญวันเกิดสำหรับฮูหยินผู้เฒ่ากัวเช่นกัน พอหันหน้าไปก็เห็นเสวี่ยฉิวที่นอนอยู่ในตะกร้าอย่างเชื่อฟัง กำลังใช้ดวงตาอันกลมโตและดำขลับของมันมองออดอ้อนนางอยู่
นางรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ หุบรอยยิ้มเบิกบานที่แต้มอยู่บนริมฝีปากไม่ได้เลยทีเดียว
โจวชูจิ่นเห็นท่าทางของนางแล้วก็รู้ได้ในทันทีว่านางคืนดีกับจี๋อิ๋งแล้ว จึงแอบรู้สึกดีใจกับน้องสาวด้วย
จี๋อิ๋งผู้นี้มีอุปนิสัยตรงไปตรงมา หากว่าน้องสาวมีสหายคุยเล่นเช่นนี้สักคนหนึ่ง นิสัยใจคอก็คงจะเปิดเผยขึ้นมาบ้าง
นางจงใจเลือกวันที่จี๋อิ๋งมาเพื่อไปที่ห้องข้างๆ โจวเสาจิ่น และอยู่พูดคุยกับจี๋อิ๋ง พร้อมทั้งมอบขนมเปี๊ยะกับลูกกวาดมากมายให้จี๋อิ๋ง
ท่าทางของจี๋อิ๋งสุภาพนอบน้อมยิ่ง ยามสนทนาก็ยิ้มแย้มอย่างอ่อนหวาน แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด โจวเสาจิ่นถึงได้รู้สึกว่าจี๋อิ๋งไม่ค่อยชอบพี่สาวของนางนัก พอพี่สาวเดินออกไปแล้ว นางจึงถามจี๋อิ๋งว่า “เจ้าเป็นอะไร พี่สาวของข้าทำอะไรไม่ถูกใจเจ้าหรือ”
“เปล่า!” จี๋อิ๋งยักไหล่ พลางกล่าวอย่างช่วยไม่ได้ว่า “พี่สาวของเจ้าดียิ่ง แต่ข้ามักจะรู้สึกว่าพี่สาวของเจ้าคล้ายคลึงกับหนานผิงยิ่งนัก ต่างเคร่งครัดในกฎระเบียบเกินไป ปกติแล้วข้าเข้ากับคนประเภทนี้ไม่ค่อยได้สักเท่าไร”
“นี่มันเรื่องเหลวไหลอะไรกัน” โจวเสาจิ่นจ้องนางเขม็งไปครั้งหนึ่ง พลางกล่าว “ข้าไม่เคร่งกฎระเบียบอย่างนั้นหรือ”
จี๋อิ๋งแกะกล่องขนมที่โจวชูจิ่นมอบให้นางเมื่อครู่ต่อหน้าโจวเสาจิ่น แล้วหยิบขนมกรุบกรอบยัดไส้เข้าปาก พลางกล่าว “เจ้าไม่ใช่คนเคร่งครัดในกฎระเบียบ แต่เป็นคนซื่อต่างหาก!”
โจวเสาจิ่นขุ่นเคืองเป็นอย่างมาก
จี๋อิ๋งหัวเราะฮ่าๆ พลางกล่าว “เจ้าเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า ‘คนซื่อมีความสุขอย่างคนซื่อ’ หรือไม่ นี่ข้ากำลังชมว่าเจ้ามีโชคลาภวาสนาอยู่นะ!”
หากว่ามีโชคลาภวาสนาล่ะก็ ไฉนในชาติก่อนถึงถูกผู้คนย่ำยีจนน่าสมเพชขนาดนั้นได้!
โจวเสาจิ่นรู้สึกกระดากอาย
จี๋อิ๋งเอ่ยถามอย่างระแวดระวัง “เจ้าโกรธหรือ”
“ไม่ได้โกรธ!” โจวเสาจิ่นกล่าวเสียงละห้อยว่า “เพียงแค่นึกถึงเรื่องวันวานแล้วรู้สึกทอดถอนใจเล็กน้อยเท่านั้น”
จี๋อิ๋งเบ้ปากอย่างไม่เห็นด้วย พลางกล่าว “ข้าจะเล่านิทานเรื่องหนึ่งให้เจ้าฟัง” จากนั้นไม่รอให้โจวเสาจิ่นตอบ ก็กล่าวขึ้นเองแล้วว่า “มีเด็กคนหนึ่งนั่งอยู่บนขั้นบันไดอย่างเศร้าสร้อยยิ่งนัก คนที่เดินผ่านมาเห็นเข้าจึงถามเขาว่า เจ้าเป็นอะไรหรือ เจ้าทายซิว่าเด็กน้อยคนนั้นตอบว่าอย่างไร เด็กน้อยคนนั้นถอนหายใจยาวแล้วกล่าวว่า ข้ากำลังรำลึกถึงสมัยตอนเป็นเด็กอยู่ “
นี่นับเป็นนิทานอะไรด้วยหรือ
นานสักพักกว่าโจวเสาจิ่นจะมีปฏิกิริยาโต้ตอบกลับมา
จี๋อิ๋งกำลังล้อนางอยู่อย่างนั้นหรือ!
นางผลักหัวไหล่ของจี๋อิ๋งอย่างอดไม่ได้ พลางกล่าวว่า “ดี! ไม่คิดว่าเจ้าจะหยอกล้อข้า วันหลังข้าจะไม่ให้ห้องครัวทำเกี๊ยวทอดที่เจ้าชอบกินอีกแล้ว”
จี๋อิ๋งหัวเราะร่าเริง พลางกล่าวว่า “เจ้าตอบโต้ช้าเกินไปแล้ว ตอนแรกที่เฉิงจื่อชวนเล่านิทานเรื่องนี้ให้ข้าฟัง ข้าโต้ตอบไปในทันที…ข้าถึงบอกว่าเจ้าซื่อ เจ้ายังจะไม่ยอมรับอีก”
โจวเสาจิ่นอึ้ง กล่าวขึ้นว่า “ที่แท้ท่านน้าฉือเป็นผู้เล่านิทานเรื่องนี้ให้เจ้าฟัง อย่างไรก็ตาม เหตุใดท่านน้าฉือต้องเล่าเรื่องนี้ให้เจ้าฟังด้วยเล่า”
นางจินตนาการตอนที่ท่านน้าฉือเล่านิทานไม่ออกว่าจะเล่าด้วยท่าทางอย่างไร
จี๋อิ๋งได้ยินแล้วหน้าก็แดงเรื่อขึ้นอย่างไม่คาดคิด กระแอมไอเบาๆ ครั้งหนึ่ง พลางกล่าว “เฉิงจื่อชวนผู้นี้ชอบกวนประสาทผู้อื่นอยู่เรื่อย ไหนเลยข้าจะจดจำรายละเอียดได้ชัดเจนขนาดนั้น”
โจวเสาจิ่นไม่เชื่อเลยสักนิด
หากว่าจำได้ไม่ชัดเจน เหตุใดถึงหยิบยกนิทานเรื่องนี้มาหยอกล้อนางได้
อย่างไรก็ตาม ยามนั้นจี๋อิ๋งจะต้องรู้สึกอับอายยิ่งนักเป็นแน่
โจวเสาจิ่นไม่ใช่คนที่ชอบสะกิดรอยแผลของผู้อื่น เช่นนั้นจึงไม่ได้ซักไซ้ต่ออีก เพียงแต่เม้มปากกลั้นยิ้มเอาไว้เท่านั้น
จี๋อิ๋งผ่อนลมหายใจเบาๆ ครั้งหนึ่ง แล้วลูบศีรษะของโจวเสาจิ่น กล่าวว่า “เจ้านิสัยดีจริงๆ ไม่รู้ว่าคุณชายจากตระกูลใดที่โชคดีได้แต่งงานกับเจ้า”
โจวเสาจิ่นไม่อยากพูดถึงเรื่องเหล่านี้ จึงเปลี่ยนเรื่องคุย “ท่านน้าฉือคงจะกลับมาจากไหวอันแล้วกระมัง ธุระที่ไหวอันก็คงจะจัดการเรียบร้อยดีแล้วใช่หรือไม่”
“เฉิงจื่อชวนลงมือจัดการด้วยตนเอง ไหนเลยจะไม่สำเร็จเรียบร้อย” จี๋อิ๋งตอบอย่างไม่สนใจ ยื่นถุงเท้ายาวที่เย็บด้วยฝีมือที่ยังอ่อนหัดให้โจวเสาจิ่นตรวจดู “เป็นอย่างไร น่าจะพอใช้ได้แล้วกระมัง”
แม้ว่าฝีเข็มจะยังไม่สม่ำเสมอเท่าใดนัก แต่ก็พอเป็นรูปเป็นร่างแล้ว
โจวเสาจิ่นถอนหายใจพลางกล่าว “เจ้าเรียนรู้ไวจริงๆ!”
“แน่นอนอยู่แล้ว” จี๋อิ๋งตอบอย่างไม่ถ่อมตัว “แต่ก่อนข้า…มือนิ่งมาก ดังนั้นการเรียนทำของพวกนี้จึงง่ายดายเหมือนเป่าฝุ่น!”
“เจ้าก็จริงๆ!” โจวเสาจิ่นกุมหน้าผาก
แม้ว่าอยากจะถามต่อไปอีกว่า แต่ก่อนนางทำอะไรถึงได้มือนิ่งมาก แต่นางใคร่ครวญดูแล้ว จึงไม่ได้ถาม
จี๋อิ๋งกล่าวขึ้นว่า “พรุ่งนี้ข้าจะเอาขนมหมี่กรอบมาให้เจ้าชิม”
โจวเสาจิ่นเอ่ยถามว่า “ขนมหมี่กรอบคืออะไร”
“เป็นของกินเล่นขึ้นชื่อชนิดหนึ่งของไหวอัน” จี๋อิ๋งยิ้มพลางตอบ “ข้าว่ามันอร่อยดี”
โจวเสาจิ่นยิ้มน้อยๆ พลางถามว่า “ท่านน้าฉือนำกลับมาฝากหรือ”
จี๋อิ๋งเบ้ปากและกล่าวว่า “เจ้าคิดว่าท่านน้าฉือของเจ้าผู้นั้นเป็นคนที่จะทำเรื่องเช่นนี้หรือ”
ไม่เหมือนเลย!
โจวเสาจิ่นส่ายศีรษะ
“ใช่แล้ว” จี๋อิ๋งตอบ “ฉินจื่อผิงเป็นผู้นำกลับมาให้ เขากับเฉิงจื่อชวนไปไหวอันด้วยกัน เฉิงจื่อชวนกลับมาก่อน ส่วนฉินจื่อผิงเพิ่งกลับมาเมื่อวาน”
ฉินจื่อผิงหรือ
โจวเสาจิ่นถามขึ้นว่า “เขากับฉินจื่ออันมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันอย่างไร”
จี๋อิ๋งรู้ว่าโจวเสาจิ่นเคยพบฉินจื่ออันมาก่อน จึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “เป็นน้องชายของเขา ตระกูลฉินมีพี่น้องสามคน คนโตชื่อว่าฉินจื่อหนิง คนรองชื่อว่าฉินจื่ออัน ส่วนคนที่สามชื่อว่าฉินจื่อผิง ทั้งหมดเป็นหลานชายของพ่อบ้านใหญ่ฉินโส่วเยว์”
โจวเสาจิ่นถามอีกว่า “เช่นนั้นเจ้าเคยได้ยินเกี่ยวกับพ่อบ้านที่ชื่อว่าฉินต้าหรือไม่”
จี๋อิ๋งคิดแล้วคิดอีก ตอบว่า “ไม่เคยได้ยิน อย่างไรก็ตาม หากว่าเจ้าอยากรู้ ข้าจะไปถามให้เจ้า”
โจวเสาจิ่นกล่าวขอบคุณไม่หยุด แล้วกล่าวว่า “ไม่คิดว่าฉินจื่อผิงจะเป็นคนที่ใส่ใจยิ่งนัก ไปไหวอันก็ยังนำของกินกลับมาฝากพวกเจ้าด้วย”
“เขานำมาฝากพวกข้าที่ไหนกัน เขานำมาให้หนานผิงต่างหาก” จี๋อิ๋งไม่ได้รู้สึกขอบคุณแต่อย่างใด กล่าวว่า “เขานำกลับมาสี่กล่อง สองกล่องมอบให้หนานผิง อีกสองกล่องแบ่งให้พวกเรา”
โจวเสาจิ่นรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง เอ่ยถามว่า “ฉินจื่ออันอายุเท่าไรหรือ ที่เขามอบของฝากให้หนานผิง ท่านน้าฉือรู้หรือเปล่า”
จี๋อิ๋งหัวเราะคิก พลางกล่าว “เจ้าคิดไปถึงไหนต่อไหนแล้ว! หนานผิงเป็นพี่สะใภ้ของฉินจื่ออัน”
โจวเสาจิ่นตะลึงงัน
จี๋อิ๋งถอนหายใจพลางกล่าวว่า “หนานผิงกับฉินจื่อหนิงเป็นคู่รักกันมาตั้งแต่ในวัยเด็ก แต่น่าเสียดายที่หมั้นหมายกันได้ไม่นานฉินจื่อหนิงก็จากไปเสียแล้ว เฉิงจื่อชวนกับพ่อบ้านใหญ่ฉินตั้งใจไว้ว่า รอให้ผ่านพ้นการไว้ทุกข์ของฉินจื่อหนิงสักสองสามปี แล้วจะหาชายหนุ่มจากตระกูลดีๆ สักคนหนึ่งมาให้หนานผิง ทว่าหนานผิงกลับไม่ยินยอม กล่าวว่าปรารถนาจะครองตัวเป็นหม้ายให้ฉินจื่อหนิง ท่านน้าฉือของเจ้าจึงไม่คิดจะฝืนใจนาง เรื่องนี้จึงลากยาวมาถึงตอนนี้ ตระกูลฉินเห็นแล้ว จึงอดไม่ได้ต้องดูแลนางบ้างสักหน่อย…บางครั้งเมื่อข้าพิเคราะห์ดู ก็รู้สึกว่านางน่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง ข้าควรจะพูดคุยกับนางดีๆ แต่ทว่าข้ากับนางคิดเห็นไม่ตรงกันจริงๆ พูดคุยกันอย่างมากที่สุดก็สองถึงสามเค่อก็ต้องเลิกคุยด้วยเพราะไม่สบอารมณ์กันเสียแล้ว”
ไม่แปลกใจที่หนานผิงอายุมากขนาดนั้นแล้วแต่ยังไม่แต่งงาน
โจวเสาจิ่นลอบถอนหายใจครั้งหนึ่ง นึกถึงว่าตอนที่จี๋อิ๋งเข้ามารับใช้ในจวนนั้นอายุก็ปาเข้าไปสิบแปดปีแล้ว…นางจึงอดกล่าวขึ้นมาไม่ได้ว่า “เช่นนั้นตอนที่เจ้าอยู่ที่บ้านเกิดได้หมั้นหมายกับใครแล้วหรือยัง”
สีหน้าของจี๋อิ๋งเคร่งขรึมขึ้นมา มือที่ถือเข็มอยู่สั่นเล็กน้อย ยิ้มพลางตอบว่า “เป็นเด็กเป็นเล็ก จะสนใจเรื่องพวกนี้ไปทำไมหรือ” ทว่ารอยยิ้มกลับดูค่อนข้างฝืนๆ เล็กน้อย
โจวเสาจิ่นพอจะเข้าใจได้บ้างรางๆ
ตอนที่จี๋อิ๋งอยู่ที่บ้านเกิดย่อมต้องเคยมีคู่หมั้นแล้วเป็นแน่ แต่นางต้องมาเป็นสาวใช้ข้างกายท่านน้าฉือเป็นเวลาสิบปี…ต่อให้คู่หมั้นของนางจะไม่ถอนหมั้นนาง เกรงว่าคงยากที่จะรักษาตนให้บริสุทธิ์ประดุจหยกตลอดระยะเวลาที่รอนางเป็นเวลาสิบปีได้…แม้ว่าจี๋อิ๋งจะยอมมารับใช้อยู่ในจวนแทนพี่ชายด้วยตัวเอง แต่ความเข้าใจเป็นเรื่องหนึ่ง ส่วนความรู้สึกก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เป็นไปได้หรือไม่ว่าเป็นเพราะเหตุผลนี้ นางถึงได้ดูจิตใจไม่สงบนัก ดังนั้นก็เลยปฏิเสธที่จะทำการงานต่างๆ ที่สาวใช้พึงต้องทำมากขนาดนี้
โจวเสาจิ่นเอ่ยถามว่า “ระหว่างที่รับใช้อยู่ที่นี่เจ้ากลับไปเยี่ยมบ้านเกิดไม่ได้เลยหรือ บรรดาสาวใช้ข้างกายของข้า ยกเว้นพวกที่ถูกบิดามารดาขายมาตั้งแต่เด็ก หรือพวกที่ไม่รู้ว่าบ้านเกิดอยู่แห่งหนใด หรือพวกที่บ้านเกิดอยู่ห่างไกลและไม่มีญาติสนิทเหล่านั้น คนที่เหลืออื่นๆ ทุกปีข้าจะให้พวกนางลากลับไปเยี่ยมเยียนบิดามารดาได้สองสามวัน ที่เรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ยใครเป็นคนดูแลจัดการเรื่องนี้หรือ เจ้าลองไปพูดกับเขาดู! หากยังไม่ได้ผล เจ้าก็ลองขอท่านน้าฉือดู ข้าคิดว่าท่านน้าฉือไม่ใช่คนที่ไม่มีเหตุผลขนาดนั้นหรอก”
“ช่างเป็นเด็กซื่อบื้อผู้หนึ่งจริงๆ” จี๋อิ๋งได้ยินแล้วก็ยิ้มพลางอยากจะหยิกแก้มโจวเสาจิ่น โจวเสาจิ่นคิดจะหลบ ทว่ามือของจี๋อิ๋งกลับว่องไวดั่งสายฟ้าฟาด ยื่นมือมาหยิกหน้านางได้ในพริบตา “หากว่าข้ากลับไปเยี่ยมบิดามารดาได้ทุกเมื่อล่ะก็ เช่นนั้นยังจะถือเป็นการเดิมพันได้อย่างไร! เจ้าคงไม่คิดจะไปอ้อนวอนท่านน้าฉือของเจ้าแทนข้าหรอกกระมัง ข้าเห็นคราวก่อนที่เจ้าบุกเข้าไปที่ศาลาชิงอันช่างดูอาจหาญและมั่นใจยิ่งนัก”
โจวเสาจิ่นตบมือของจี๋อิ๋งอย่างขุ่นเคือง บ่นขึ้นว่า “เจ้าหยิกแก้มข้าอีกแล้ว วันหลังหากข้าทำอะไรกินอร่อยๆ อีกก็จะไม่ให้เจ้ากินด้วยแล้ว”
จี๋อิ๋งหัวเราะร่าพลางกล่าว “ทุกครั้งที่เจ้าข่มขู่ข้าล้วนเป็นเรื่องไม่มอบของกินให้ข้า เจ้าเปลี่ยนคำขู่เป็นอย่างอื่นบ้างไม่ได้หรือ”
โจวเสาจิ่นรู้สึกขัดเขิน โต้กลับไปว่า “ข้าไม่มีทางไปขอร้องให้เจ้าอย่างแน่นอน! ตั้งแต่ที่ท่านน้าฉือมาดูแลกิจการงานของซอยจิ่วหรู วันเวลาของซอยจิ่วหรูก็รุ่งเรืองยิ่งขึ้นทุกวัน เขาจะต้องเป็นผู้ที่มีความสามารถมากเป็นแน่ ในเมื่อเขาเดิมพันเช่นนี้กับบิดาของเจ้า แสดงว่าเขาต้องมีจุดมุ่งหมายของตัวเองอย่างแน่นอน ข้าไม่หลงกลคำยั่วยุของเจ้าหรอก!”
“มองไม่ออกเลยว่าบางครั้งบางคราวเจ้าก็เฉลียวฉลาดยิ่งนัก!” จี๋อิ๋งหยอกเย้านางอีกครั้ง
โจวเสาจิ่นไม่สนใจนาง
จี๋อิ๋งหัวเราะร่าขึ้นมาอีกครั้ง ไหนเลยจะมีท่าทีเย็นชาและหยิ่งยโสเหมือนเมื่อครั้งที่นางกับโจวเสาจิ่นพบหน้ากันใหม่ๆ ให้เห็นสักนิด
ซือเซียนเข้ามาเปลี่ยนน้ำชาให้พวกนาง และเปลี่ยนขนมกับผลไม้จานใหม่ให้ด้วย
จี๋อิ๋งหยิบสาลี่ของฤดูใบไม้ร่วงลูกหนึ่งขึ้นมารับประทาน
โจวเสาจิ่นถามนางว่า “เช่นนั้นบิดากับพี่ชายของเจ้ามาเยี่ยมเจ้าได้หรือไม่”
จี๋อิ๋งเงียบงันครู่หนึ่ง แล้วจึงตอบว่า “นั่นก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าอารมณ์ของเฉิงจื่อชวนดีหรือไม่…”
โจวเสาจิ่นอยากจะกล่าวเหลือเกินว่า เช่นนั้นเจ้าก็เชื่อฟังและทำตัวดีๆ สักหน่อย ไม่แน่ว่าท่านน้าฉืออาจจะใจอ่อน และให้เจ้ากลับไปเยี่ยมเยียนบิดามารดาก็เป็นได้ แต่ขณะที่ความคิดนี้กำลังแล่นอยู่ในห้วงความคิดนั้น นางก็ยั้งความคิดได้ทันเวลา
ด้วยอุปนิสัยของจี๋อิ๋งแล้ว หากจะให้นางก้มหน้าก้มตาเหมือนดังสาวใช้ที่เคารพนอบน้อมเหล่านั้นละก็ เกรงว่าฆ่านางทิ้งเสียยังจะดีกว่าให้นางมาทนทุกข์ด้วยเรื่องเหล่านี้กระมัง
โจวเสาจิ่นได้แต่กล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น เจ้าเขียนจดหมายให้ครอบครัวของเจ้าสักสองสามฉบับ…เพียงแค่เขียนจดหมายก็น่าจะได้อยู่กระมัง”
………………………………………………………………….